27 พ.ย. เวลา 03:49 • ประวัติศาสตร์

“Agafia Lykov” บุคคลที่โดดเดี่ยวที่สุดในโลก

“Agafia Lykov” ได้ชื่อว่าเป็น “บุคคลที่โดดเดี่ยวที่สุดในโลก”
Agafia อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลในไซบีเรียมาเป็นเวลากว่า 76 ปี กิจวัตรประจำวันก็คือทำงานในบ้าน หาอาหาร เอาชีวิตรอดไปวันๆ โดยปราศจากมิตรสหาย อยู่เพียงลำพังกับความเปลี่ยวเหงา
นอกจากเสียงแม่น้ำที่ไหลพาดผ่าน เสียงฝนตก และเสียงแพะที่ร้อง เสียงจากมนุษย์ที่มีก็มาจากตัว Agafia เอง
นี่คือเรื่องราวของเธอครับ
Agafia Lykov
Agafia เกิดที่รัสเซียในปีค.ศ.1944 (พ.ศ.2487) โดยมีพ่อที่นับถือคริสตจักรรัสเซียออร์ทอดอกซ์
หลังจากการปฏิวัติรัสเซีย “Karp Lykov” ผู้เป็นพ่อ ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ยังยึดมั่นในความเชื่อทางศาสนาของตน หากแต่เมื่อเกิดความผันผวนทางการเมืองในช่วงที่บอลเชวิกขึ้นเป็นใหญ่ Karp ก็พาครอบครัวอพยพไปอาศัยยังพื้นที่ห่างไกลใกล้กับชายแดนมองโกเลีย
ในปีค.ศ.1944 (พ.ศ.2487) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สงครามโลกครั้งที่ 2 แผ่ขยายไปทั่วโลก Agafia ก็ได้เกิดมาในพื้นที่ห่างไกลของไซบีเรีย
Agafia เป็นบุตรคนที่สี่ และครอบครัวก็ดีใจมากที่มีสมาชิกใหม่เกิดขึ้น หากแต่วันเวลาที่ยากลำบากกำลังรอพวกเขาอยู่
ครอบครัวที่มีสมาชิกทั้งหมดหกคน นั่นคือพ่อ แม่ และลูกๆ อีกสี่คน ต่างอาศัยอยู่ท่ามกลางความห่างไกล ตัดขาดจากโลกภายนอกเป็นปีๆ
ในปีค.ศ.1961 (พ.ศ.2504) ได้เกิดพายุหิมะครั้งใหญ่ ทำให้เกิดความเสียหายมาก เสบียงอาหารขาดแคลน หากแต่ครอบครัว Lykov ก็ยังเอาชีวิตรอดมาได้
แต่ในเวลาต่อมา ภรรยาของ Karp และแม่ของเด็กๆ ได้ขาดอาหาร ทนความหิวโหยไม่ไหวและเสียชีวิตในที่สุด
ครอบครัว Lykov มีชีวิตตัดขาดจากโลกภายนอกเป็นเวลานานเกือบ 50 ปี ก่อนที่ในวันหนึ่ง ทีมนักสำรวจและนักธรณีวิทยารัสเซีย จะทำการสำรวจพื้นที่แถบนี้โดยเฮลิคอปเตอร์ และพบเห็นกระท่อมหลังน้อยที่ครอบครัว Lykov พักอาศัย
นี่เป็นครั้งแรกที่ Agafia และพี่น้องได้พบเจอกับคนแปลกหน้า
3
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยได้ยินเรื่องของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนห่างไกล หากแต่การมาถึงของคนแปลกหน้าก็ทำให้เหล่าพี่น้องตกใจกลัวและคิดว่าเป็นการลงโทษจากพระเจ้า
หากแต่พี่ชายและผู้เป็นพ่อไม่ได้หวาดกลัว และได้พูดคุยกับคนแปลกหน้าจนทุกคนวางใจว่ากลุ่มคนแปลกหน้านี้มาดี
ทีมนักสำรวจได้นำอาหารและเสบียงมาส่งให้ครอบครัว Lykov แต่สิ่งที่ครอบครัว Lykov ร้องขอก็มีเพียงเกลือเท่านั้น
1
จากนั้น ทีมนักสำรวจก็ยังคงหมั่นแวะเวียนมาเยี่ยมอยู่เรื่อยๆ และสอนวิธีการปลูกมันฝรั่งและพืชอื่นๆ รวมทั้งนำอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ มามอบให้
ดูเหมือนทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี แต่อันที่จริง หายนะกำลังมาเยือน
ด้วยความที่สมาชิกทั้งครอบครัวไม่ได้ติดต่อกับบุคคลภายนอกมาเป็นเวลาหลายสิบปี ทำให้ร่างกายของพวกเขาไม่มีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคจากมนุษย์คนอื่น
ในไม่ช้า สมาชิกทั้งครอบครัวก็ติดไข้หวัดใหญ่ และทั้งครอบครัวก็ทรุดหนักกว่าคนอื่นๆ เนื่องจากไม่มีระบบภูมิคุ้มกันที่ดี ทำให้สมาชิกครอบครัวค่อยๆ ตายไปทีละคนๆ จนเหลือ Agafia เพียงคนเดียว
ในเวลานั้น เหล่าคนแปลกหน้าก็กลับไปยังโลกของตนแล้ว ส่วนสมาชิกในครอบครัวก็ไปยังโลกหน้า Agafia จึงต้องอาศัยเพียงลำพัง และถึงแม้เหล่านักสำรวจจะอาสาพาเธอเข้าเมือง แต่ Agafia ก็ปฏิเสธ
Agafia ไม่ต้องการจะทิ้งพ่อแม่และพี่ๆ ไว้ในป่าเพียงลำพัง ทำให้ Agafia ต้องอยู่ท่ามกลางความโดดเดี่ยว และความโดดเดี่ยวนั้นก็ดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้ ทำให้เธอได้รับการยกย่องให้เป็น “บุคคลที่โดดเดี่ยวที่สุดในโลก”
ปัจจุบันในวัย 80 ปี Agafia ก็ยังคงใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว หาอาหารมาตุนไว้สำหรับฤดูหนาว ทำงานบ้านต่างๆ ช่วยเหลือตัวเองในการเอาชีวิตรอด
บริเวณที่ Agafia อยู่ก็ห่างไกล โดดเดี่ยว และ Agafia ก็คุ้นชินกับความโดดเดี่ยวนี้ไปแล้ว
แต่ก็ใช่ว่า Agafia จะไม่เคยเข้าไปในเมืองเลย เธอเคยเข้าไปในเมืองใหญ่หลายครั้ง และก็มีกลุ่มที่ทำสารคดีมาถ่ายเธอ สัมภาษณ์เธอ หากแต่ Agafia ก็ไม่เคยรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน รู้สึกแปลกแยก
เคยมีคนถาม Agafia ว่าทำไมไม่ย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง ซึ่งคำตอบก็คือ
“ในเมืองมีรถเยอะเกินไป ฉันหายใจไม่ออก“
หรือเวลามีคนถามว่าทำไมเธอจึงไม่เอาวิทยุไว้ติดบ้าน คลายความเหงาบ้างล่ะ เธอก็ตอบว่า
“ฉันเคยฟังวิทยุครั้งหนึ่ง ทุกคนต่างเข่นฆ่ากัน มีการฆาตกรรมเกิดขึ้น ผู้คนล้มตายในเหมืองถ่านหิน ฉันเลยหยุดฟัง”
1
เรียกได้ว่า Agafia น่าจะเป็นผู้ที่ออกห่างจากสังคมมากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ แม้แต่ช่วงเวลาของโควิด-19 ก็แทบไม่ส่งผลอะไรกับเธอ เนื่องจากสภาวะที่เธออยู่ก็ไม่ต่างอะไรจากการโซเชียลดิสแตนซิง กักตัวอยู่ในที่พักอยู่แล้ว
โฆษณา