Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Time
•
ติดตาม
26 พ.ย. 2024 เวลา 00:22 • การศึกษา
"อำนาจของรัฐสมัยใหม่เป็นเพียงเครื่องมือของชนชั้นนายทุนในการรักษาผลประโยชน์ของตน"
โดยมีใจความสำคัญดังนี้
1. รัฐสมัยใหม่คืออะไร?
รัฐ = คณะกรรมการจัดการธุรกิจของชนชั้นนายทุน หมายความว่า รัฐมีหน้าที่สร้างกฎหมาย กฎระเบียบ และนโยบายต่างๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับชนชั้นนายทุนในการแสวงหาผลกำไรสูงสุด
รัฐสมัยใหม่ไม่ใช่ตัวแทนของประชาชนทุกคน แต่เป็น "คณะกรรมการจัดการธุรกิจร่วมกันของชนชั้นนายทุน" ซึ่งหมายความว่า รัฐถูกควบคุมโดยชนชั้นนายทุน และมีหน้าที่หลักในการปกป้องผลประโยชน์ของชนชั้นนี้ เช่น การออกกฎหมายที่เอื้อต่อธุรกิจ การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการลงทุน
ตัวอย่าง:
กฎหมายแรงงาน: อาจถูกออกแบบมาเพื่อควบคุมค่าแรงให้อยู่ในระดับต่ำ เพื่อให้นายทุนสามารถจ้างแรงงานได้ในราคาถูกและเพิ่มผลกำไร
นโยบายภาษี: อาจเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจขนาดใหญ่ โดยลดหย่อนภาษีให้นายทุน ในขณะที่ประชาชนทั่วไปต้องแบกรับภาระภาษีที่สูง
การใช้กำลัง: รัฐอาจใช้กำลังตำรวจหรือทหารเพื่อปราบปรามการประท้วงของแรงงาน หรือกลุ่มคนที่ต่อต้านนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้นายทุน
ชัยชนะของชนชั้นนายทุน: เบื้องลึกของ "เงื่อนไข"
"ชัยชนะแต่ละครั้งที่ได้รับภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวจึงล้วนแต่เป็นชัยชนะของชนชั้นนายทุนทั้งนั้น" สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในระบบทุนนิยม โดย "เงื่อนไข" ในที่นี้ หมายถึง โครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับชนชั้นนายทุนเป็นหลัก ทำให้ไม่ว่าผลลัพธ์ของเหตุการณ์ใดๆ จะออกมาเป็นอย่างไร ชนชั้นนายทุนก็มักจะเป็นฝ่ายได้ประโยชน์อยู่เสมอ
ตัวอย่าง "เงื่อนไข" ที่เอื้อประโยชน์ต่อชนชั้นนายทุน:
กฎหมายที่เอื้อนายทุน: เช่น กฎหมายที่คุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินของนายทุนมากกว่าแรงงาน กฎหมายที่ทำให้การจัดตั้งสหภาพแรงงานเป็นไปได้ยาก หรือกฎหมายที่เอื้อให้เกิดการผูกขาดทางการค้า
ระบบการศึกษา: ที่เน้นผลิตแรงงานเพื่อตอบสนองความต้องการของนายทุน มากกว่าการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์อย่างรอบด้าน
สื่อ: ที่ถูกควบคุมโดยนายทุน ใช้ในการสร้างความชอบธรรมให้กับระบบทุนนิยม และชี้นำความคิดเห็นของสาธารณะชน
ตัวอย่าง "ชัยชนะ" ของชนชั้นนายทุน:
การลดหย่อนภาษี: รัฐบาลออกนโยบายลดหย่อนภาษีให้กับบริษัทใหญ่ๆ อ้างว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ผลที่ตามมาคือ ชนชั้นนายทุนร่ำรวยขึ้น ขณะที่รัฐมีรายได้ลดลง ส่งผลกระทบต่อการจัดสวัสดิการสังคม
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ: รัฐบาลขายกิจการของรัฐให้กับเอกชนในราคาถูก อ้างว่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ แต่สุดท้าย ทรัพย์สินของรัฐกลับตกไปอยู่ในมือของนายทุนเพียงไม่กี่คน
การใช้เทคโนโลยี: นายทุนนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิต เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลกำไร แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้แรงงานจำนวนมากตกงาน
สรุป:
"ชัยชนะ" ของชนชั้นนายทุน เกิดขึ้นจากการที่พวกเขาสามารถควบคุม "เงื่อนไข" ต่างๆ ในสังคมได้ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย ระบบเศรษฐกิจ หรือแม้แต่ความคิดของผู้คน ทำให้ชนชั้นนายทุนสามารถรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตนเองไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
2. ชนชั้นนายทุนทำลายคุณค่าดั้งเดิมอย่างไร?
ชนชั้นนายทุนเข้ามาแทนที่คุณค่าดั้งเดิม เช่น ศาสนา เกียรติยศ ความรักในครอบครัว ด้วย "ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว" ทุกอย่างถูกตีค่าเป็นเงิน ความสัมพันธ์ในครอบครัวกลายเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
ผลกระทบต่อสังคม:
ความเหลื่อมล้ำ: ชนชั้นนายทุนร่ำรวยขึ้น ในขณะที่ชนชั้นกรรมาชีพถูกกดขี่ขูดรีด
การสูญเสียคุณค่า: ความสัมพันธ์ในครอบครัวถูกแทนที่ด้วยเงินตรา ศาสนาและคุณธรรมถูกมองข้าม
ความแปลกแยก: ผู้คนแข่งขันกันเอง เกิดความโดดเดี่ยวและแปลกแยกในสังคม
การกดขี่ชนชั้นกรรมาชีพ: แรงงานถูกมองเป็นเพียงเครื่องมือในการผลิต ถูกกดขี่ค่าแรงและสภาพการทำงาน
ตัวอย่าง:
บริษัทใหญ่ๆ ใช้เงินทุนล็อบบี้รัฐบาลเพื่อออกกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้ตัวเอง
การแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ
3. ชนชั้นกรรมาชีพคือใคร?
เป็นชนชั้นที่ถูกเอารัดเอาเปรียบมากที่สุดในระบบทุนนิยม
เป็นชนชั้นเดียวที่มีศักยภาพในการล้มล้างระบบทุนนิยมและสร้างสังคมใหม่ที่เท่าเทียม
ชนชั้นกรรมาชีพคือกลุ่มคนที่ต้องขาย "แรงงาน" ของตัวเองเพื่อแลกกับค่าจ้าง พวกเขาถูกเอารัดเอาเปรียบจากชนชั้นนายทุน ยิ่งทำงานหนัก ค่าแรงก็ยิ่งลดลง
ตัวอย่าง:
พนักงานโรงงานที่ทำงานหนักแต่ได้ค่าแรงต่ำ
คนขับรถรับจ้างที่ต้องแข่งขันกันแย่งลูกค้า ทำให้รายได้ไม่แน่นอน
กรรมาชีพสมัยใหม่: เครื่องมือที่ถูกกดขี่ในระบบทุนนิยม
แนวคิดนี้มองว่า กรรมาชีพสมัยใหม่ หรือ ชนชั้นแรงงาน ถูกมองเป็นเพียง "เครื่องมือ" ในการผลิตของระบบทุนนิยม เปรียบเสมือนชิ้นส่วนในเครื่องจักรขนาดใหญ่ ที่มีหน้าที่ทำงานซ้ำๆ น่าเบื่อหน่าย เพื่อสร้างผลกำไรให้นายทุน
"ค่าใช้จ่าย" ของแรงงานเหล่านี้ขึ้นอยู่กับวัยและเพศ หมายความว่า
แรงงานเด็ก: มักถูกจ้างงานในราคาถูก เพราะขาดอำนาจต่อรอง
แรงงานหญิง: มักได้รับค่าแรงน้อยกว่าแรงงานชาย แม้ทำงานในตำแหน่งเดียวกัน
แรงงานสูงอายุ: อาจถูกกดค่าแรงหรือถูกเลิกจ้าง เพราะนายทุนมองว่ามีประสิทธิภาพการทำงานลดลง
"เครื่องจักรได้ทำให้ความแตกต่างในการใช้แรงงานลดน้อยลงทุกที" หมายความว่า เทคโนโลยีและเครื่องจักรเข้ามาแทนที่แรงงานคน ทำให้ทักษะเฉพาะทางมีความสำคัญน้อยลง แรงงานถูกแทนที่ได้ง่าย ส่งผลให้ "การใช้แรงงานยิ่งน่าเบื่อหน่ายมากเท่าไร ค่าแรงก็ยิ่งลดน้อยลงเท่านั้น" เพราะงานที่ใครๆ ก็ทำได้ นายทุนก็พร้อมจะจ่ายค่าแรงในราคาถูกที่สุด
ตัวอย่าง:
โรงงานผลิตเสื้อผ้า: แรงงานส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ทำงานเย็บผ้าซ้ำๆ วันละหลายชั่วโมง ได้รับค่าแรงต่ำ
งานส่งอาหาร: ใครๆ ก็สามารถสมัครเป็นพนักงานส่งอาหารได้ ทำให้มีการแข่งขันสูง กดค่าแรงให้อยู่ในระดับต่ำ
พนักงานแคชเชียร์: ถูกแทนที่ด้วยเครื่องคิดเงินอัตโนมัติ ทำให้ความต้องการแรงงานลดลง
สรุป:
แนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นถึงการกดขี่ขูดรีดชนชั้นกรรมาชีพในระบบทุนนิยม ที่ถูกมองเป็นเพียงเครื่องมือในการสร้างผลกำไร ขาดความมั่นคงในอาชีพ และถูกกดค่าแรงอย่างไม่เป็นธรรม
ชนชั้นกรรมาชีพ: ชนชั้นปฏิวัติที่แท้จริง
แนวคิดนี้มาจากทฤษฎีของ Karl Marx ที่อธิบายว่า ชนชั้นกรรมาชีพ หรือชนชั้นแรงงาน คือชนชั้นเดียวที่มีศักยภาพในการล้มล้างระบบทุนนิยมและสร้างสังคมใหม่ที่เท่าเทียม
ทำไมชนชั้นกรรมาชีพจึงเป็นชนชั้นปฏิวัติที่แท้จริง?
ไม่มีกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิต: ชนชั้นกรรมาชีพมีเพียงแรงงานของตัวเองในการแลกเปลี่ยนเป็นค่าจ้าง ต่างจากชนชั้นนายทุนที่มีกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิต เช่น โรงงาน ที่ดิน เครื่องจักร
ถูกกดขี่ขูดรีด: ชนชั้นนายทุนแสวงหาผลกำไรสูงสุดโดยการกดขี่ค่าแรงและสภาพการทำงานของชนชั้นกรรมาชีพ
มีจำนวนมาก: ชนชั้นกรรมาชีพมีจำนวนมากที่สุดในสังคมทุนนิยม
มีศักยภาพในการรวมตัว: การทำงานร่วมกันในโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้ชนชั้นกรรมาชีพมีโอกาสในการรวมตัวกันเพื่อต่อสู้เรียกร้องสิทธิและเปลี่ยนแปลงสังคม
ชนชั้นอื่นๆ ล่ะ?
Marx มองว่าชนชั้นอื่นๆ เช่น ชนชั้นกลาง (พ่อค้า หัตถกร ชาวนา) ไม่สามารถเป็นชนชั้นปฏิวัติที่แท้จริงได้ เพราะ
ยังมีกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิต: แม้จะถูกชนชั้นนายทุนกดขี่บ้าง แต่ชนชั้นกลางยังคงมีกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิตบางส่วน เช่น ร้านค้า ที่ดินทำกิน
มุ่งรักษาสถานะของตน: ชนชั้นกลางต่อสู้กับชนชั้นนายทุนเพียงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง ไม่ได้มุ่งหวังการเปลี่ยนแปลงสังคมแบบถอนรากถอนโคน
ตัวอย่าง:
การปฏิวัติรัสเซีย: ชนชั้นกรรมาชีพนำโดยพรรคบอลเชวิคล้มล้างระบอบกษัตริย์และชนชั้นนายทุน สถาปนารัฐสังคมนิยม
การนัดหยุดงาน: ชนชั้นกรรมาชีพรวมตัวกันนัดหยุดงานเพื่อเรียกร้องค่าแรงที่เป็นธรรมและสภาพการทำงานที่ดีขึ้น
การรวมตัวเป็นสหภาพแรงงาน: ชนชั้นกรรมาชีพจัดตั้งสหภาพแรงงานเพื่อต่อรองกับนายจ้างและรัฐบาล
สรุป:
Marx เชื่อว่าชนชั้นกรรมาชีพคือชนชั้นเดียวที่มีศักยภาพในการปฏิวัติล้มล้างระบบทุนนิยม เพราะเป็นชนชั้นที่ถูกกดขี่ขูดรีดมากที่สุด และมีจำนวนมากพอที่จะรวมพลังกันเปลี่ยนแปลงสังคมได้
การต่อสู้ของชนชั้นกลาง: เพื่อรักษาสถานะของตนเอง
แนวคิดนี้ อธิบายว่า การต่อสู้ของชนชั้นกลางกับชนชั้นนายทุน ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อล้มล้างระบบทุนนิยม หรือสร้างสังคมใหม่ที่เท่าเทียม แต่เป็นการต่อสู้เพื่อรักษาผลประโยชน์และสถานะของตนเองในระบบทุนนิยม
ชนชั้นกลาง ในที่นี้ หมายถึง
• ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดเล็ก: เจ้าของโรงงานขนาดเล็ก ร้านค้าปลีก ฯลฯ
• พ่อค้าย่อย: พ่อค้าแม่ค้าในตลาด ร้านขายของชำ ฯลฯ
• หัตถกร: ช่างฝีมือต่างๆ เช่น ช่างไม้ ช่างทอง ฯลฯ
• ชาวนา: เกษตรกรรายย่อย
เหตุผลที่ชนชั้นกลางต่อสู้กับชนชั้นนายทุน:
• กลัวการถูกกลืนกิน: ธุรกิจขนาดใหญ่ของนายทุน มักมีข้อได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น เงินทุน เทคโนโลยี ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กของชนชั้นกลาง เสี่ยงต่อการถูกกลืนกิน หรือล้มละลาย
• ต้องการรักษาอำนาจต่อรอง: ชนชั้นกลางต้องการมีอำนาจในการต่อรองกับนายทุน เช่น ต่อรองราคาสินค้า หรือเงื่อนไขการค้าขาย
• ต้องการส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจ: ชนชั้นกลางต้องการมีส่วนแบ่งใน "เค้ก" ของระบบทุนนิยม ไม่ใช่ถูกนายทุนเอาเปรียบจนเกินไป
ตัวอย่างการต่อสู้ของชนชั้นกลาง:
• การรวมกลุ่มสหกรณ์: เช่น สหกรณ์ร้านค้าปลีก ที่รวมตัวกันเพื่อต่อรองราคาสินค้ากับผู้ผลิต
• การเรียกร้องนโยบายจากรัฐ: เช่น เรียกร้องให้รัฐควบคุมธุรกิจขนาดใหญ่ หรือให้เงินทุนสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็ก
• การประท้วง: เช่น การประท้วงของชาวนา เพื่อเรียกร้องราคาพืชผลทางการเกษตรที่เป็นธรรม
ข้อแตกต่างจากชนชั้นกรรมาชีพ:
• ชนชั้นกรรมาชีพ (กรรมกร, ลูกจ้าง) ไม่มีทุน มีเพียงแรงงาน จึงถูกนายทุนกดขี่ขูดรีดได้ง่ายกว่า
• ชนชั้นกรรมาชีพ ต้องการล้มล้างระบบทุนนิยม และสร้างสังคมใหม่ที่เท่าเทียม ในขณะที่ชนชั้นกลาง ต้องการเพียงรักษาสถานะของตนเองในระบบทุนนิยม
สรุป:
การต่อสู้ของชนชั้นกลาง เป็นการต่อสู้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ของชนชั้นกลาง อาจมีส่วนช่วยในการจำกัดอำนาจของนายทุน และสร้างสมดุลให้กับระบบทุนนิยมได้
ชนชั้นกรรมาชีพจรจัด: อันตรายต่อการปฏิวัติ?
แนวคิดนี้ มองว่า ชนชั้นกรรมาชีพจรจัด คือกลุ่มคนที่เป็นอันตรายต่อการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพ เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ ทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะถูกชักจูงไปใช้ในทางที่ผิด
ชนชั้นกรรมาชีพจรจัด คือใคร?
• กรรมกร ลูกจ้าง ที่ ไม่มีงานประจำ
• ไม่มีความมั่นคงในชีวิต ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพไปวันๆ
• ยากจน ขาดโอกาส ถูกสังคมกดขี่
ทำไมจึงเป็นอันตรายต่อการปฏิวัติ?
• ง่ายต่อการถูกชักจูง: เนื่องจากความยากจน พวกเขาอาจถูกนายทุนหรือผู้มีอำนาจ ซื้อตัว ไปใช้ในการ ก่อความวุ่นวาย ทำลายการปฏิวัติ หรือ สร้างความชอบธรรมให้กับฝ่ายตรงข้าม
• ขาดความตระหนักทางชนชั้น: อาจ ไม่เข้าใจเป้าหมายของการปฏิวัติ หรือ มองไม่เห็นศัตรูที่แท้จริง ทำให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยไม่รู้ตัว
• มุ่งเน้นการเอาตัวรอด: เนื่องจากต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด พวกเขาอาจ ไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงสังคม หรือ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน มากกว่าส่วนรวม
ตัวอย่าง:
ในสมัยก่อน ชนชั้นกรรมาชีพจรจัด อาจถูกจ้างให้เป็น (นักเลงรับจ้าง) เพื่อไป ข่มขู่ ทำร้าย ผู้ที่สนับสนุนการปฏิวัติ หรือ ก่อกวนการชุมนุม ของกรรมกร
ตกเป็นเครื่องมือของ การโฆษณาชวนเชื่อ: ในปัจจุบัน ชนชั้นกรรมาชีพจรจัด อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการ เผยแพร่ข่าวปลอม หรือ สร้างความเกลียดชัง ต่อกลุ่มคนที่สนับสนุนการปฏิวัติ ผ่านทาง สื่อสังคม หรือ โซเชียลมีเดีย
อย่างไรก็ตาม ชนชั้นกรรมาชีพจรจัด ก็เป็น เหยื่อของระบบทุนนิยม เช่นเดียวกับชนชั้นกรรมาชีพอื่นๆ พวกเขา สมควรได้รับความช่วยเหลือ และ โอกาสในการมีชีวิตที่ดีขึ้น การปฏิวัติที่แท้จริง ควร คำนึงถึงคนทุกกลุ่ม รวมถึงชนชั้นกรรมาชีพจรจัดด้วย
สรุป:
ชนชั้นกรรมาชีพจรจัด อาจเป็น อุปสรรคต่อการปฏิวัติ แต่พวกเขา ก็เป็น เหยื่อของระบบ เช่นกัน การปฏิวัติที่ประสบความสำเร็จ ต้อง รวมทุกคนไว้ด้วยกัน และ สร้างสังคมที่เป็นธรรม สำหรับทุกคน
4. ชนชั้นนายทุนได้กัดกร่อนคุณค่าทางจิตใจและสังคม เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
ศาสนา: จากความศรัทธาบริสุทธิ์ กลายเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลกำไร เช่น การขายวัตถุมงคลราคาแพง การใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการโฆษณา หรือการใช้สถานะทางศาสนาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
จิตใจนักรบ: จากอุดมการณ์แห่งเกียรติยศและความกล้าหาญ กลายเป็นการรับใช้ชนชั้นนายทุนเพื่อเงิน เช่น การเป็นทหารรับจ้างในสงครามที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนเอง หรือการใช้กำลังปราบปรามประชาชนเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนายทุน
อารมณ์ความรู้สึก: จากความเห็นอกเห็นใจและความรัก กลายเป็นความเย็นชา เห็นแก่ตัว และมองทุกอย่างเป็นการแลกเปลี่ยน เช่น การแต่งงานเพื่อเงิน การทอดทิ้งครอบครัวเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน หรือการแสวงหาความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์กลายเป็นสินค้า หมายความว่า คุณค่าของคนถูกวัดด้วยเงินทองและฐานะทางสังคม คนรวยมีอำนาจ มีศักดิ์ศรี ในขณะที่คนจนถูกมองข้าม ถูกกดขี่
ตัวอย่าง:
การเลือกปฏิบัติต่อลูกค้าตามฐานะ เช่น การให้บริการที่ดีกว่ากับลูกค้าที่ร่ำรวย
การใช้แรงงานเด็กและแรงงานต่างชาติอย่างไม่เป็นธรรม
การเหยียดเพศ สัญชาติ เชื้อชาติ
สรุปคือ ชนชั้นนายทุนได้เปลี่ยนแปลงสังคม โดยทำให้คนเห็นแก่ตัว มองทุกอย่างเป็นเรื่องของผลประโยชน์ คุณค่าทางจิตใจ ความรัก ความเสียสละ ถูกแทนที่ด้วยเงินตรา ซึ่งนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำ ความอยุติธรรม และความแปลกแยกในสังคม
5. ครอบครัวในยุคทุนนิยม: เมื่อ "เงิน" เข้ามาแทนที่ "ความรัก"
แนวคิดนี้วิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยมว่า ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวเปลี่ยนไป จากเดิมที่ครอบครัวมีพื้นฐานอยู่บนความรัก ความผูกพันธ์ และการดูแลช่วยเหลือกัน กลับกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยเงินตราเป็นหลัก
เงิน = อำนาจในครอบครัว:
ในสังคมทุนนิยม ใครมีเงินก็มีอำนาจ ใครหาเงินได้มากก็ยิ่งมีอำนาจมากในครอบครัว ส่งผลให้ความสัมพันธ์แบบเดิมที่เคยอบอุ่นอ่อนโยน ถูกแทนที่ด้วยความสัมพันธ์เชิงอำนาจและผลประโยชน์
ตัวอย่าง:
การตัดสินใจในครอบครัว: คนที่หาเงินได้มากที่สุด มักมีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องสำคัญต่างๆ ในครอบครัว เช่น การซื้อบ้าน การศึกษาของลูก หรือแม้แต่การเลือกคู่ครอง
การดูแลผู้สูงอายุ: ผู้สูงอายุที่ไม่มีรายได้ หรือไม่มีมรดกตกทอดให้ลูกหลาน อาจถูกมองเป็นภาระ ถูกส่งไปบ้านพักคนชรา หรือถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพัง
การเลือกคู่ครอง: การเลือกคู่ครองอาจไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความรักเพียงอย่างเดียว แต่ยังคำนึงถึงฐานะทางการเงินของอีกฝ่ายด้วย
ผลกระทบ:
ความสัมพันธ์ในครอบครัวเสื่อมถอย: ความรัก ความอบอุ่น และความผูกพันธ์ในครอบครัวลดน้อยลง
ความเหลื่อมล้ำในครอบครัว: เกิดความไม่เท่าเทียมกันระหว่างสมาชิกในครอบครัว คนที่มีรายได้น้อยอาจถูกกดขี่หรือถูกละเลย
ปัญหาสังคม: ปัญหาครอบครัวแตกแยก การทอดทิ้งผู้สูงอายุ และปัญหาสังคมอื่นๆ เพิ่มสูงขึ้น
สรุป:
ระบบทุนนิยมที่เน้นการแสวงหาผลกำไร ส่งผลให้ "เงิน" เข้ามาแทนที่ "ความรัก" ในความสัมพันธ์ของครอบครัว นำไปสู่ปัญหาครอบครัวและสังคมมากมาย
6. สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถูกลบหลู่: เมื่อความสัมพันธ์กลายเป็นเรื่องของผลประโยชน์
แนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบของระบบทุนนิยมที่มีต่อค่านิยมและความสัมพันธ์ของผู้คนในสังคม โดยสิ่งที่เคย "ศักดิ์สิทธิ์" หรือมีคุณค่าในตัวเอง เช่น ศาสนา ความรัก ความสัมพันธ์ในครอบครัว จะถูกลดทอนคุณค่าลง กลายเป็นเพียงเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์
"สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงจะถูกลบหลู่" หมายความว่า สิ่งที่คนเคยให้ความเคารพนับถือ เชื่อมั่น ศรัทธา จะถูกมองในแง่ของมูลค่าทางเศรษฐกิจ
ตัวอย่าง:
ศาสนา: ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการหาเงิน เช่น การขายวัตถุมงคล หรือการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการโฆษณา
ความรัก: ถูกมองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ เช่น การแต่งงานเพื่อเงิน หรือการใช้ความรักเป็นเครื่องมือในการไต่เต้าทางสังคม
ครอบครัว: ความสัมพันธ์ในครอบครัวถูกแทนที่ด้วยเงินตรา เช่น การดูแลพ่อแม่สูงอายุด้วยเงินจ้าง หรือการทอดทิ้งพ่อแม่ที่ไม่มีทรัพย์สมบัติ
"ผู้คนทั้งหลายจำต้องมองฐานะความเป็นอยู่ของเขา และความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันด้วยสายตาอันเย็นชา" หมายความว่า ผู้คนจะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก มองผู้อื่นเป็นเพียงเครื่องมือในการ บรรลุเป้าหมาย
ตัวอย่าง:
คนในครอบครัวเดียวกันต่างคนต่างอยู่ ไม่มีความใกล้ชิดสนิทสนม
ผู้คนในสังคมต่างแข่งขันกัน ไม่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
เกิดความรู้สึกเหงา ว้าเหว่ แม้จะอยู่ในสังคมที่มีผู้คนมากมาย
สรุป:
ระบบทุนนิยมที่เน้นการแสวงหาผลกำไร ทำให้ผู้คนมองทุกอย่างเป็นเพียงสินค้าและเครื่องมือในการสร้างความมั่งคั่ง ส่งผลให้เกิดความแปลกแยก โดดเดี่ยว และสูญเสียคุณค่า
ปรัชญา
หนังสือ
แนวคิด
บันทึก
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย