27 พ.ย. เวลา 02:35 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

หากไม่ยอมทำอะไรเลย ก็ตาย ๆ ไปเสียเลยจะดีกว่า

:รีวิว Alchemy of Souls
ปกติแล้วฉันไม่ชอบดูหนังแนวแฟนตาซี ประเภทที่สมมุติสถานการณ์เหนือความเป็นจริง สัตว์พูดได้ คนตัวเขียวมีเขา หรือตัวอะไรที่เหนือจินตนาการ ไม่อยากทำความเข้าใจที่ไปที่มาของอภินิหาร เวทย์มนต์ คาถาต่าง ๆ รู้สึกสมองทำงานหนักขึ้นในการติดตามเรื่องราวแบบนี้
แต่สำหรับเรื่องนี้ Alchemy of Souls หรือ เล่นแร่แปรวิญญาณ ซีรีส์เกาหลีแนวแอ้คชั่นไซไฟ กระแสรีวิวเชียร์แรงมากทำให้ตัดสินใจดู นับเป็นซีรีส์เกาหลีแฟนตาซีเรื่องแรกที่ดูจนจบ นับตั้งแต่เข้าวงการนี้มา 2-3 ปี
เรื่องราวในซีรีส์นี้เกิดขึ้นในประเทศที่สมมุติชื่อขึ้นว่า “อาณาจักรแดโฮ” ซึ่งเป็นประเทศที่ไม่มีอยู่จริงในโลกใบนี้
อาณาจักรแห่งนี้ปกครองโดยระบบกษัตริย์ หรือ ฮ่องเต้ มีเหล่าจอมเวททำหน้าที่แทนขุนนางเพื่อทำหน้าที่บริหารกิจการบ้านเมือง
จอมเวทเหล่านี้มีหลายตระกูลแบ่งหน้าที่กันทำงาน บางตระกูลก็จัดตั้งสถาบันฝึกสอนการใช้เวทมนตร์ บางตระกูลก็รับผิดชอบจัดเก็บรักษาวัตถุสิ่งของมีค่ามีอิทธิฤทธิ์พลังวิเศษ
หลังจากที่บ้านเมืองสงบเรียบร้อยมากว่า 200 ปี อาณาจักรแดโฮ กลับเกิดเหตุวุ่นวาย เพราะมีจอมเวทบางคนทดลองวิชาเวทมนตร์ต้องห้าม หรือ วิชาแปรวิญญาณ คือ การ ทำให้วิญญาณสลับกันระหว่าง คนเป็นกับคนตาย ถือเป็นมนต์ดำ เป็นการกระทำต้องห้าม ทำให้ทางการต้องทำการปราบปราม
พระเอกในเรื่องนี้ชื่อ จางอุก เขาเป็นลูกชายจอมเวทที่เป็นหัวหน้าสำนักชอนบูกวัน (สำนักนี้คล้าย ๆ สำนักราชองค์รักษ์ มีหน้าที่พิทักษ์ฮ่องเต้และราชวงศ์)
จางอุกเกิดมาเป็นคนอ่อนแอเพราะถูกปิดกั้นพลังจากพ่อตัวเอง ด้วยเหตุผลว่าเขาเป็นลูกของกษัตริย์องค์ก่อนที่เกิดจากการสลับร่างกายกันระหว่างพ่อของเขากับฮ่องเต้ที่อยากมีทายาทสืบราชบัลลังก์
พ่อจางอุกอยากให้เขาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติธรรดาไม่อยากให้เป็นจอมเวทเพราะกลัวชีวิตเขาจะมีปัญหาเดือดร้อน ถ้าหากคนอื่นรู้ว่าเขาเป็นลูกกษัตริย์
ต่อมาจางอุกถูกเปิดพลังและสามารถเรียนวิชาจอมเวทขั้นสูงได้ เพราะนักซูสอนวิชาให้เขา
นักซู หรือ นางเอก เธอคือ หญิงนักฆ่าผู้โหดเหี้ยม ถูกทางการไล่ล่าสังหารเสียชีวิตแล้ว แต่เธอใช้วิชาแปรวิญญาณเอาตัวรอดมาเข้าร่างหญิงตาบอดที่ชื่อ มูด็อก
มูด็อกเป็นหญิงสาวกำพร้า ถูกนายหน้าพามาจากบ้านนอก นำมาขายใช้หนี้ที่หอนางโลมในเมือง แล้วมาพบกับพระเอก พระเอกจึงซื้อตัวเธอให้เป็นอิสระ นำมาเป็นบ่าวรับใช้ข้างกาย
พระเอกจับได้ว่า มูด็อก คือ นักซู เขาเลยขอให้เธอเป็นอาจารย์สอนวิทยาจอมเวท นักซูตัดสินใจสอนจางอุกเพื่อรอเวลาฟื้นพลังของตัวเอง
ความสัมพันธ์จากนายน้อยกับบ่าวรับใช้กลายเป็นลูกศิษย์กับอาจารย์ นักซูฝึกจนพระเอกบรรลุวิชาจอมเวทขั้นสูง จากความใกล้ชิดทำให้ทั้งสองมีความผูกพันกัน
ซีรีส์แบ่งเป็น 2 ภาค ภาคแรกพระเอกถูกนักซูใช้ดาบแทงตายเพราะเธอถูกสะกดจิตสั่งให้ฆ่า แต่จางอุกก็ไม่ตายเพราะมีของวิเศษอยู่ในตัวเอง พอมาภาคสอง พระเอกกลายเป็นจอมเวทนักฆ่าผู้แปรวิญญาณที่ฝีมือไร้เทียมทาน แต่ชีวิตเงียบเหงาเพราะคิดถึงแต่นักซูที่จากไป
นักซูหลังจากฆ่าพระเอกในภาคแรกก็เสียใจ กระโดดลงทะเลสาบฆ่าตัวตาย แต่มีคนงมร่างเธอขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เธอกลายเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลจอมเวทที่ยิ่งใหญ่อีกตระกูลหนึ่งที่มีอิทธิพลในแดโฮ
หนึ่งร่างมี 2 วิญญาณ ร่างกายเป็นบูยอนลูกสาวคนโตตระกูลจอมเวทที่ยิ่งใหญ่ แต่จิตวิญญาณเป็นนักซู
ตอนจบพระเอกก็รู้ความจริงว่านักซูกลับมาอยู่ในร่างโบยอนก็ยอมรับ ทั้งคู่แต่งงานกันแล้วใช้ชีวิตเป็นนักฆ่าผู้แปรวิญญาณออกท่องยุทธจักรด้วยกัน จบแบบแฮ็ปปี้เอนดิ้ง
พล็อตเรื่องนี้ยาวและละเอียดมาก แต่เดินเรื่องเร็วไม่ปล่อยให้คนดูงงนาน ทำให้แต่ละตอนน่าติดตาม
แง่คิดและมุมมองที่ชอบจากซีรีส์เรื่องนี้ :
1.“คนเราเกิดมา หากไม่ยอมทำอะไรเลย ก็ตาย ๆ ไปเสียเลยจะดีกว่า”
ประโยคคำพูดติดปากของนางเอกในขณะฝึกวิทยายุทธ์ให้กับพระเอก
จางอุกมีนิสัยรักสบาย แม้แต่จะกินปูก็ยังให้เพื่อนแกะให้ชอบใช้ชีวิตไปวัน ๆ ถ้าใจไม่อยากทำอะไรก็ไม่ทำ แต่พอได้ยินประโยคนี้จะทำให้เขาฮึดสู้ขึ้นมาทุกครั้ง
ในสายตาคนอื่นเขาเป็นคุณชายที่ไม่พอใจโลกนี้อย่างมาก ดีแต่โอ้อวดปกปิดความเกียจคร้าน เขาไม่เคยทำอะไรอย่างมีเป้าหมาย เป็นนายน้อยที่ได้รับแต่การเอาใจจากคนรอบข้าง ถูกตามใจและเต็มไปด้วยความอวดดี
สุดท้ายพระเอกเปลี่ยนแปลงตัวเองได้กลายมาเป็นจอมเวทที่เก่งกาจเพราะเป็นศิษย์นักซู ที่ใช้วิธีการฝึกแบบโหด ให้เจอสถานการณ์จริง
จริง ๆ แล้ว จางอุกไม่ใช่คนที่ไม่มีเป้าหมาย เขามีเป้าหมายแต่เป็นเป้าหมายที่เรียบง่าย เขาต้องการฝึกเป็นจอมเวท เพื่ออยากสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าชอนบูกวันเหมือนพ่อของเขา และต้องการปกป้องนักซูคนรัก เขาไม่ได้อยากจะเป็นที่ยอมรับหรืออยากจะมีอำนาจมากมาย
ไลฟ์สไตล์แบบแมน ๆ ของจางอุก ใช้ชีวิตเป็นตัวของตัวเอง ถ้าอยากทำอะไรก็ทำเต็มที่ ตัดสินใจแล้วไม่มีลังเลสงสัย ถ้าไม่อยากทำก็ไม่แคร์สังคม ทำให้ได้ใจคนดูเต็มร้อย
2.ซีรีส์เรื่องนี้ยกย่องผู้หญิงเก่ง สร้างเรื่องให้นางเอก หรือ นักซูเป็นมือสังหาร “แค่เดินผ่านใคร เงาหัวคนนั้นก็จะหายไปในทันที”
แต่ชีวิตเธอน่าสงสาร อยู่ลำพังตัวคนเดียวในป่าเขา ครอบครัวถูกฆ่าตายตั้งแต่เด็ก เธอถูกฝึกมาให้เป็นนักฆ่า แล้วถูกหลอกใช้จนถูกทางการตามล่า แต่ใช้วิชาแปรวิญญาณจึงรอดชีวิตมาเจอกับพระเอก
สังคมเกาหลีก็เหมือนสังคมในประเทศเอเซียที่มีวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่มาตั้งแต่โบราณกาล หนังเรื่องนี้จึงอยากจะเปลี่ยนค่านิยมของสังคม แสดงให้เห็นบทบาทผู้หญิงว่าเก่งไม่แพ้ผู้ชาย
3. เรื่องนี้ทำให้เห็นธรรมชาติของมนุษย์จากตัวละครองค์รัชทายาท เป็นองค์ชายที่เป็นคนเอาแต่ใจตัว หูเบา เชื่อคนง่าย ชอบคำยกยอปอปั้น
แต่เขาก็ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนจิตใจคับแคบ เห็นแก่ตัว ไม่เสแสร้งว่าเป็นคนดี เขาไม่ชอบจางอุก รู้สึกอิจฉาที่มีแต่รุมรักเอาใจใส่ทั้งที่เขาเป็นรัชทายาท แต่ก็ขาดความอบอุ่นเพราะฮ่องเต้เป็นคนขี้ขลาด พระราชินีก็สนใจแต่ความสวยงามร่างกาย
แต่พอรู้จักจางอุกมากขึ้น ได้ร่วมต่อสู้ในเหตุการณ์ต่าง ๆ เขาจึงเห็นว่าจางอุกเป็นคนไม่ทะเยอทะยาน ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ไม่คิดแย่งราชบัลลังก์ พระองค์จึงเข้าใจจางอุก จึงร่วมกันต่อสู้กับจินมูตัวร้าย
ตอนที่พระเอกถามหาสาเหตุที่รัชทายาทมาเลือกสนับสนุนเขาแทนจินมู พระองค์ตอบว่า
“เขาเอาเต่าของข้าไปทิ้ง
ข้าจะไม่ยกข้ออ้างยิ่งใหญ่อย่างเช่น ข้าจะกอบกู้โลกหรืออะไรก็ตามหรอก ทันทีที่เขานำเต่าของข้าไปทิ้ง ข้าก็ตัดสินใจทิ้งจินมูเหมือนกัน”
พระองค์คิดว่าจางอุกจะไม่เชื่อเหตุผลนี้ จึงพูดต่อว่า
“เจ้าเชื่อไม่ลงเพราะ เหตุผลเป็นแค่เต่าหรือ”
แต่จางอุกซึ่งเขาเป็นคนไม่มีเป้าหมายอะไรใหญ่โต ใช้ชีวิตมีความสุขไปวัน ๆ ตอบว่า ”ที่ทรงตัดสินใจต่อต้านเขาเพียงเพราะเต่าตัวเดียวดูน่าเชื่อถือกว่าทิ้งเขาด้วยเหตุผลที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกพะยะคะ“
ซึ่งจริง ๆ แล้ว องค์รัชทายาทเป็นคนฉลาด ช่างสังเกต จิตใจอ่อนโยน รักสัตว์
คนเขียนบทสร้างตัวละครตัวนี้เพื่อให้คนดูสับสนในตอนแรกว่าต้องเป็นคนร้ายแน่นอน แต่กลายเป็นว่าเนื้อเรื่องพลิกกลับ
คนเราต้องดูกันไปนาน ๆ ไม่ควรตัดสินคนอื่นตั้งแต่แรกเห็น
4.เรื่องนี้ให้คะแนนเต็ม 10 ในการเขียนบท แนวเรื่องใหม่แตกต่างจากซีรีส์อื่น ๆ เป็นการวางพล็อตที่ใหญ่ มีโครงสร้างสลับซับซ้อน แล้วสามารถสร้างตัวละครที่มีหลากหลายบุคลิก เป็นตัวละครที่มีมิติ ลุ่มลึก สมจริง การกระทำไม่ว่าจะเป็นพระเอก นางเอก พระรอง ตัวร้าย แต่ละตัวมีเหตุมีผลในการกระทำ ทุกอย่างมันดูโยงเข้าหากันได้หมดเลย
พล็อตหลักของเรื่อง คือ การลุกขึ้นสู้เพื่อเอาชนะความอ่อนแอของตัวพระเอก พล็อตรอง เป็นเรื่องความรักโรแมนติกมาเสริมทำให้เรื่องราวไม่น่าเบื่อ แม้เนื้อหาจะแบ่งเป็น 2 ภาค จำนวน 30 ตอน
โดยรวมซีรีส์เรื่องนี้ สร้างแรงบันดาลใจให้คนดู ทำให้คนอยากทำในสิ่งที่ทำได้ ไม่เคร่งเครียดกับการใช้ชีวิตจนเกินไป พยายามตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ แล้วทำให้สำเร็จ
ถึงแม้จะเป็นเพียงเป้าหมายเล็ก ๆ ไม่ยิ่งใหญ่ แต่ขอให้สำคัญกับตัวเราก็เพียงพอ
เขาว่ากันว่า คนที่ชอบดูหนังแฟนตาซี มักจะเป็นเด็ก ๆ ที่ตื่นเต้นกับสิ่งแปลกใหม่ แต่คนที่ชอบแนวนี้อาจเป็นรสนิยมของแต่ละคน บางคนชอบเพราะรู้สึกเป็นอิสระได้ปลดปล่อยจินตนาการ หลุดออกนอกกรอบจากโลกความเป็นจริง
รู้สึกภูมิใจที่ดูเรื่องนี้จนจบ แถมสนุกและอินไปกับเรื่องราว แสดงว่าในวัยนี้ของฉันยังคงมีวิญญาณความเป็นเด็กหลงเหลืออยู่ในจิตใจ 😂🤪
#อ้อยคราฟต์ไดอารี่
โฆษณา