27 พ.ย. เวลา 13:57 • ไลฟ์สไตล์

"Wendigo" ปีศาจผู้หิวโหย กับเนื้อตากแห้งที่น่าอร่อย

ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ริมป่าลึกในแคนาดา มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับปีศาจนามว่า "Wendigo" (เวนดิโก) ปีศาจนี้เป็นสัญลักษณ์ของความหิวโหยและความโลภอันไม่มีที่สิ้นสุด ทุกๆ ปีในช่วงฤดูหนาวที่หนาวเย็นจัด หมู่บ้านจะมีประเพณีหนึ่งที่เรียกว่า "วันแห่งเนื้อตากแห้ง" เพื่อเป็นการเก็บเนื้อสัตว์สำหรับฤดูหนาวที่ยาวนาน
เช่นทุกปี ครอบครัวของจอห์น ผู้เป็นพ่อ เมียของเขาอลิซ และลูกสองคน แจ็ค และเอมิลี่ ได้เตรียมตัวสำหรับวันแห่งเนื้อตากแห้ง พวกเขานำเนื้อกวางที่ล่าได้มาหั่นเป็นแถบและตากแห้งบนชั้นไม้เหนือกองไฟ เพื่อให้เนื้อแห้งและเก็บรักษาได้นานในช่วงฤดูหนาว
คืนหนึ่งในขณะที่ครอบครัวจอห์นกำลังตากเนื้ออยู่นั้น อากาศหนาวเหน็บและลมพัดแรงทำให้พวกเขาต้องเร่งมือ ทุกคนในหมู่บ้านต่างรู้ดีว่าการตากเนื้อในคืนนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าพายุหิมะใหญ่กำลังจะมาถึง
ในขณะที่ แจ็คกำลังเร่งมือกับเนื้อชิ้นสุดท้ายอยู่ ก็ได้ยินเสียงคล้ายเสียงกระซิบที่เป็นคำพูดแปลกๆ และเสียงนี้ฟังดูเหมือนจะดังออกมาจากในป่า
“พ่อครับ มีใครมากระซิบข้างหูผม”
แจ็คพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
“มันบอกว่าเราจะไม่มีทางหนีพ้นความหิวโหย”
จอห์นรู้สึกเสียวสันหลังวาบ แต่เขาพยายามไม่สนใจและบอกกับลูกว่า
“มันเป็นแค่เสียงลม พวกเราอย่าไปสนใจ”
แต่เสียงกระซิบนั้นกลับดังขึ้นเรื่อยๆ จนอลิซ ภรรยาของจอห์น เองก็เริ่มได้ยิน
“จอห์น ฉันว่ามีบางอย่างไม่ดีเกี่ยวกับคืนนี้ เราควรจะรีบทำให้เสร็จแล้วกลับเข้าบ้าน”
ทว่าก่อนที่พวกเขาจะเก็บเนื้อเสร็จ เสียงกรีดร้องที่น่าสะพรึงกลัวดังก้องไปทั่วป่า วินาทีถัดมา ดวงตาแดงฉานของ "เวนดิโก" ก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืด จอห์นพยายามนำครอบครัวหนี แต่ เจ้าปีศาจเวนดิโก ก็วิ่งไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว
จอห์นพาครอบครัววิ่งไปที่ถ้ำใกล้ๆ เพื่อซ่อนตัว
แต่ "เวนดิโก" กลับยิ่งเข้าใกล้มากขึ้นเลื่อยๆ มันสามารถได้กลิ่นเนื้อสดจากระยะไกล และนั่นเองที่ทำให้ดึงดูดมัน
ภายในถ้ำที่มืดมิด จอห์นจุดไฟเพื่อป้องกันตนเองและครอบครัว แต่นั่นก็ไม่พอที่จะหยุดยั้งปีศาจที่มีแต่ความหิวโหยนี้ได้
อลิซและแจ็ค ร้องไห้ด้วยความกลัว ขณะที่จอห์นพยายามสู้เพื่อปกป้องครอบครัว
“เราต้องหนีไปจากที่นี่ เราต้องรอด” จอห์นตะโกน
เมื่อเขาหันกลับมามอง เขาเห็น "เวนดิโก" ยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาแดงฉานและกรงเล็บที่ยาวเหมือนกระดูกมันพุ่งมาที่จอห์น เขาพยายามต่อสู้ แต่ความแข็งแกร่ง และแรงของเจ้าปีศาจนั้นเหนือกว่ามนุษย์เป็นอย่างมาก
สุดท้าย จอห์นถูกจับและถูกลากออกจากถ้ำ ส่วนอลิซและลูกๆ ต้องอยู่ในถ้ำที่มืดมิด ฟังเสียงกรีดร้องของพ่อที่ค่อยๆ เลือนหายไปในความมืด
เมื่อฟ้าสว่าง เริ่มมีแสงหน้าปากถ้ำ แต่ทุกคนก็ยังไม่เห็นจอห์นกลับมา อลิซจึงรีบจับมือแจ็ค วิ่งออกมาจากถ่ำและตรงไปยังหมู่บ้าน พร้อมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนได้ฟัง
หลายวันผ่านไป อลิซและแจ็ค เฝ้ารอการกลับมาของจอห์น อยู่ภายในบ้านไม่ไปไหน จนเวลาล่วงเลยผ่านพ้นฤดูที่หนาวเหน็บไปแล้ว แต่จอห์นก็ไม่ได้กลับมาบ้าน
ตำนานเล่าว่า "เวนดิโก" จะไม่หยุดจนกว่าจะได้กลืนกินเหยื่อและสร้างปีศาจใหม่มาแทนที่ ทุกคืนที่หนาวเย็นและมีการตากเนื้อในหมู่บ้าน ผู้คนจะได้ยินเสียงกระซิบของ "เวนดิโก" ที่คอยเตือนให้ระวังตัวจากปีศาจแห่งความหิวโหย
เรื่องเล่าเกี่ยวกับ "เวนดิโก" (Wendigo) ยังคงเป็นตำนานที่เล่าขานกันในหมู่บ้านนั้น เป็นเครื่องเตือนใจให้ผู้คนระวังตัวและเคารพในพลังของธรรมชาติที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์ได้เสมอ
เรื่องแต่ง Wendigo: ปีศาจแห่งความหิวโหย
.
มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับวิญญาณชั่วร้ายที่รู้จักกันในนาม "Wendigo" (เวนดิโก) เป็นปีศาจในตำนานนิทานพื้นบ้านของอัลกอนเควียน และชนเผ่าแถบป่าชายฝั่งตะวันออกของแคนาดา
Wendigo เป็นปีศาจที่เกิดจากมนุษย์ที่กลายเป็นปีศาจอันน่ากลัวเพราะความหิวโหยที่ไม่มีที่สิ้นสุดและการกินเนื้อคน มันถูกเล่าลือว่ามีร่างกายสูงใหญ่ ผิวหนังแห้งกรังและกระดูกที่โผล่ออกมา ดวงตาของมันแดงฉานเหมือนเปลวไฟในความมืด
ในตำนานเล่าว่า เมื่อมนุษย์ตกอยู่ในสภาวะหิวโหยและสิ้นหวัง พวกเขาอาจหันมากินเนื้อคนอื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องห้ามและเป็นบาปอันใหญ่หลวง การกระทำนี้ทำให้วิญญาณของพวกเขาถูกสาปให้กลายเป็น Wendigo ที่จะเดินทางไปในป่าทึบและหิวโหยตลอดกาล ไม่มีวันพอใจและจะไล่ล่าเหยื่อที่เป็นมนุษย์เพื่อนำมากินเนื้อ
พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งอยู่เหนือธรรมชาติเป็นสิ่งที่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ตัวตนได้ตามวิทยาศาสตร์ แต่พวกมันก็เปรียบได้กับสัญลักษณ์ของความโลภและการสูญเสียความเป็นมนุษย์
...
วันแห่งเนื้อแห้งคราฟต์ 27 พฤศจิกายน National Craft Jerky Day
วันนี้ถูกก่อตั้งโดยบริษัท Long Beach Jerky Co. ในปี 2016 ให้วันที่ 27 ของทุกปีเป็นวัน "National Craft Jerky Day" เพื่อยกย่องและเฉลิมฉลองผู้ผลิตเนื้อแห้งแบบคราฟต์ที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพและสูตรเฉพาะในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและมีเอกลักษณ์ และวันดังกล่าวยังถูกเลือกขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่คุณปู่ของ Alex Naticchioni ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นธุรกิจนี้
เนื้อตากแห้งแบบโฮมเมดที่แสนอร่อย และสูตรตากแห้งแบบง่ายๆ ที่ส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งเนื้อตากแห่งนั้นจะเป็นเนื้อสัตว์ชนิดใดก็ได้ ที่หั่นเป็นแผ่นบางๆ และกินได้โดยไม่ต้องแปรรูปเพิ่มอีก
.
เรื่องราวเบื้องหลังการเก็บรักษาเนื้อแห้ง จากอาหารเพื่อความอยู่รอดสู่ขนมชั้นเลิศที่อร่อยอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นการแสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมของมนุษย์อย่างแท้จริง
การตากแห้งเป็นวิธีถนอมอาหารที่เก่าแก่ที่สุด และเนื้อสัตว์ก็เป็นอาหารตากแห้งรูปแบบแรกๆ ซึ่งเริ่มขึ้นในยุคโครมาญอง (Cro-Magnon man) เมื่อประมาณ 40,000 - 28,000 ปีก่อน แสงแดดและลมเป็นวิธีแรกๆ ที่ใช้ในการตากแห้งเนื้อสัตว์
ชนพื้นเมืองอเมริกันแขวนเนื้อควายเป็นแถบไว้เหนือกองไฟเพื่อให้แห้ง เต็นท์ทรงกรวยเป็นหนึ่งในโรงรมควันแห่งแรกๆ จากนั้นเนื้อสัตว์ตากแห้งจะถูกบรรจุในถุงหนังที่เรียกว่าพาร์เฟลเชส (parfleche) เพื่อเก็บรักษา
คาดว่าชนเผ่าอินคาโบราณอย่างเกชัว ทำชาอาร์กี (Chicha: เนื้อตากแห้ง เมื่อประมาณ 500 ปีก่อนในอเมริกาใต้ เนื้อตากแห้งสามารถเก็บไว้ได้นานขึ้น มีน้ำหนักเบา พกพาสะดวก มีคุณค่าทางโภชนาการ และพร้อมรับประทาน
ส่วนเนื้อตากแห้งในประเทศจีน อาจย้อนไปได้ไกลถึง (1046–771 ปีก่อนคริสต์ศักราช การทำเนื้อตากแห้งเป็นวิธีการที่ใช้ในการประทับเนื้อเพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพและเพื่อการเก็บรักษาเนื้อในช่วงฤดูหนาว
นอกจากนี้ ในช่วงต่อมาของประวัติศาสตร์จีน เช่น ราชวงศ์ฮั่น (202 ปีก่อนคริสต์ศักราช–220) และราชวงศ์ถัง (618–907) วัฒนธรรมการถนอมอาหารได้รับอิทธิพลจากการค้าขายและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับภูมิภาคอื่น ๆ เช่น การหมักเนื้อและการอบแห้งเพื่อเพิ่มรสชาติและยืดอายุการเก็บรักษา ซึ่งยังคงเป็นที่นิยมในช่วงเทศกาลต่างๆ เช่น เนื้อแห้ง "Bakkwa" หรือ เนื้อหมูจากเมืองจิ้นหู่ (Jinhua Ham)
เจอร์กี้ (Jerky) เป็นอาหารที่พบได้ทั่วไปในยุคตะวันตก โดยเฉพาะสำหรับนักเดินทาง คาวบอย และผู้บุกเบิก การที่เจอร์กี้มีน้ำหนักเบา และไม่เน่าเสียทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่เดินทางผ่านเส้นทางที่ยากลำบากเป็นเวลานาน เจอร์กี้มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับคาวบอยในระหว่างการขับวัว เนื่องจากมีความทนทานและให้พลังงานสูง
เจอร์กี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจ และการล่าอาณานิคม นักสำรวจ และผู้ตั้งถิ่นฐานจากยุโรปได้นำเทคนิคการเก็บรักษานี้มาใช้ในอาหารของพวกเขาสำหรับการเดินทางไกล เจอร์กี้มีความทนทานทำให้สามารถดำรงชีวิตได้โดยไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรในวันถัดไป
ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมของอเมริกา (ค.ศ. 1820-1870) เนื้อเค็มได้รับการผลิตเป็นจำนวนมากเพื่อการบริโภค น้ำตาลเข้ามาแทนที่เนื้อเค็มที่มีปริมาณเกลือสูงบางชนิด จึงทำให้เกิดเนื้อเค็มสายพันธุ์ใหม่ การเติมพริกและพริกไทยเข้าไปช่วยป้องกันแมลงหลายชนิดไม่ให้ทำลายเนื้อเค็มได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่สูตรอาหารเนื้อเค็มหลายๆ สูตรจึงใส่พริกจำนวนมาก
การพัฒนาของเจอร์กี้ไม่เพียงแต่เป็นการเก็บรักษาอาหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทดลองด้วยรสชาติและเทคนิคใหม่ๆ ทำให้เจอร์กี้กลายเป็นขนมขบเคี้ยวชั้นเลิศสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรสชาติ เจอร์กี้มีหลากหลายชนิดตั้งแต่เนื้อวัวธรรมดาจนถึงเนื้อบิสันและกวาง
.
พูดถึงเนื้อตากแห้ง มาดูเนื้อตากแห้งในประเทศต่างๆ กัน
1. Beef Jerky (USA)
เนื้อแห้งที่ได้รับความนิยมในอเมริกา โดยนำเนื้อวัวไปหมักและตากแห้งให้มีรสชาติที่เค็มและเผ็ด
2. Biltong (South Africa)
เนื้อแห้งที่มีต้นกำเนิดจากแอฟริกาใต้ มีรสชาติเข้มข้น จะกินเป็นของว่างหรือใช้ทำแซนด์วิชก็ได้
3. Bakkwa (Singapore/China)
เนื้อหมูแห้งหมักในรสหวาน และเค็มนิดๆ ของชอบของใครหลายคน
4. Lomo Embuchado (Spain)
เนื้อแห้งจากสเปน ใช้เนื้อหมูหรือเนื้อวัว หมักด้วยเครื่องเทศ และผ่านกระบวนการตากแห้ง
5. Suya (Nigeria)
เนื้อแห้งหมักเครื่องเทศจากไนจีเรีย แล้วย่าง
6. Cecina (Mexico)
เนื้อแห้งจากเม็กซิโก ใช้เนื้อหมูหรือเนื้อวัว ทาเกลือและตากแห้ง ก่อนนำมาทำเป็นอาหารหรือเสิร์ฟเป็นทาปาส
7. Turkish bacon pastrami
เนื้อแห้งที่เป็นที่นิยมในประเทศตุรกี หรือ "Pastirma"
.
ปล. ข้อมูลตรงไหนผิดพลาดต้องขออภัยด้วยครับผม
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: spiritoftheholidays
: wikipedia
.
LookAt
โฆษณา