28 พ.ย. เวลา 05:23 • ประวัติศาสตร์

เหตุผลที่ภาพลักษณ์ของ “พระเยซู (Jesus)” เป็นชายผิวขาว

“พระเยซู (Jesus)” คือศาสดาและเป็นเหมือนหนึ่งสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์มากว่า 2,000 ปี
ที่ผ่านมา เราจะเห็นภาพของพระเยซูปรากฎตามสื่อต่างๆ มากมาย ซึ่งภาพที่เห็นก็คือภาพของชายผิวขาว
หากแต่จากการศึกษาของนักประวัติศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ต่างคิดว่ารูปลักษณ์ของบุคคลในตะวันออกกลางเมื่อราวศตวรรษที่ 1 นั้น ค่อนข้างแตกต่างจากภาพพระเยซูที่เราเห็นกัน และที่แน่ๆ ผิวไม่ได้ขาวแน่นอน
2
แล้วเหตุใดภาพลักษณ์ของพระเยซูจึงเป็นชายผิวขาว?
ผมจะเล่าให้ฟังครับ
พระเยซู (Jesus)
หนึ่งในสาเหตุที่เราอาจจะไม่มีภาพหรือรูปลักษณ์ที่แน่ชัดของพระเยซู ก็เนื่องจากหลังจากพระเยซูสิ้นพระชนม์ เหล่าสาวกหรือผู้ศรัทธาในพระเยซู ต่างก็ถูกทางการโรมันกวาดล้างและกดขี่อย่างหนัก
ดังนั้น เพื่อหลีกหนีจากความโหดร้ายของโรมัน เหล่าสาวกของพระเยซูจึงต้องหลบๆ ซ่อนๆ สื่อสารกันผ่านสัญลักษณ์ลับๆ ที่บ่งบอกถึงความเชื่อของพวกตน
1
นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าทำไมเราจึงไม่มีรูปลักษณ์ของพระเยซูที่แน่ชัดในปัจจุบัน เนื่องจากเมื่อถึงคราวที่ศาสนาคริสต์ไม่ได้กลายเป็นสิ่งต้องห้าม เหล่าบุคคลที่เคยเห็นพระเยซูจริงๆ ล้วนแต่เสียชีวิตไปหมดแล้ว หลักฐานหรือบันทึกต่างๆ ก็ไม่ค่อยหลงเหลือมาเท่าไรนัก
จนในสมัยศตวรรษที่ 5 ในรัชสมัยของ “จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช (Constantine the Great)” จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมัน ได้หันมานับถือศาสนาคริสต์ จึงเป็นช่วงเวลาที่เริ่มจะมีรายละเอียดรูปลักษณ์ของพระเยซูปรากฎออกมาบ้าง
จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช (Constantine the Great)
พระเยซูที่เห็นและกลายเป็นภาพจำมาจนถึงปัจจุบัน คือชายผิวขาว มีหนวด และผมยาว
นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าภาพวาดเหล่านั้นจัดทำขึ้นที่กรุงโรม และเป็นไปได้ว่าเหล่าศิลปินก็วาดภาพพระเจ้าให้มีรูปลักษณ์คล้ายกับพวกตน
เหล่าศิลปินจะได้รับการติดต่อจากทางฝ่ายคริสตจักร และด้วยความที่คริสตจักรเป็นผู้เลือกศิลปิน ดังนั้นศิลปินที่ถูกเลือกให้เป็นผู้วาดภาพจึงไม่มีอิสระในการวาดตามแบบของตนนัก
เหล่าศิลปินจะได้รับคำสั่งจากคริสตจักรให้วาดตามที่สั่ง และใครที่ไม่เห็นด้วย คิดจะต่อต้าน ก็ต้องพบเจอกับความเดือดร้อน
1
ในเวลานั้น คริสตจักรคือสถาบันที่ทรงอิทธิพล มีอำนาจแทบจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด การมีเรื่องกับคริสตจักรจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
นอกจากนั้น หากศิลปินเอาใจคริสตจักร เชื่อฟัง ไม่หือ ไม่อือ ศิลปินนั้นก็จะได้รับการโปรโมท ได้รับทั้งเกียรติยศและเงินทอง
ดังนั้นศิลปินส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะไม่แกว่งเท้าหาเสี้ยน ยอมอือออไปกับคริสตจักรและโกยผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุดดีกว่า
1
เมื่อเวลาผ่านไป ภาพวาดพระเยซูก็ยิ่งดูมีผิวขาวขึ้นเรื่อยๆ ขาวกว่าภาพวาดในยุคแรกๆ เสียอีก
เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?
นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าเผ่าพันธุ์หรือเชื้อชาติของพระเยซูนั้น มีการถูกเปลี่ยนแปลงในภายหลังก็เนื่องจากว่าไม่ต้องการให้พระเยซูเป็นเผ่าพันธุ์ที่รู้สึกด้อยกว่า
เมื่อศาสนาคริสต์เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ทางการจึงคิดว่าการให้พระเยซูมีรูปลักษณ์เหมือนพวกตนน่าจะมีประโยชน์
อีกดหตุผลหนึ่งก็คือ พระเยซูจะมีรูปลักษณ์เหมือนศัตรูไม่ได้
ในยุคกลาง ทางการได้พยายามจะควบคุม จัดการรูปลักษณ์ของพระเยซูอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วง “สงครามครูเสด (Crusades)” ซึ่งเป็นสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่กระทำต่อมุสลิมในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์เยรูซาเลม (Jerusalem)
1
สงครามนี้เป็นสงครามระหว่างยุโรปกับตะวันออกกลาง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ฝ่ายคริสต์จะต้องควบคุมรูปลักษณ์ของพระเยซูไม่ให้ดูเหมือนศัตรู การจะให้บุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อบุคคลจำนวนมากอย่างพระเยซูมีรูปลักษณ์คล้ายศัตรู คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนัก
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือเรื่องของ “ทาส”
ทาสนั้นถือกำเนิดมาจากแนวคิดที่ว่าเผ่าพันธุ์หนึ่งมีอำนาจเหนืออีกเผ่าพันธุ์หนึ่ง เพียงเพราะตนมีรูปลักษณ์ที่ต่างออกไป
การทำให้รูปลักษณ์ของพระเยซูเป็นคนขาว จะทำให้คนผิวขาวยิ่งรู้สึกว่าตนนั้นเหนือกว่าคนผิวดำ ซึ่งนี่คือตรรกะของโลกยุคนั้น
1
เชื่อกันว่าคนขาวนั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่บริสุทธิ์ แม้แต่พระเยซูก็เป็นคนผิวขาว ทำให้ชาวยุโรปดูเหนือกว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆ แต่หากสร้างรูปลักษณ์ของพระเยซูให้เหมือนชาวอิสราเอล ก็อาจจะทำให้อำนาจที่ใช้ข่มของคนผิวขาวเริ่มลดลงไป มีปัญหาในการกดขี่ทาส
ดังนั้น การซ่อนรูปลักษณ์ที่แท้จริงของพระเยซูน่าจะเป็นทางที่ดี จะสร้างประโยชน์มากมายให้พวกตน
สำหรับในอนาคต ก็ไม่แน่ว่ารูปลักษณ์ของพระเยซูอาจจะเปลี่ยนแปลงไปอีกก็ได้ ใครจะรู้
โฆษณา