29 พ.ย. เวลา 06:09 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Butterfly Chalice (1965)

ควรเป็นหนังเรื่องแรกที่จางเชอะกำกับให้ชอว์บราเดอร์ส
แต่ล้มเหลวจนท่านเซอร์บอกให้เอาไปเผาทิ้ง
จางเชอะเข้าร่วมงานกับบริษัทชอว์บราเดอร์ส โดยเริ่มต้นในตำแหน่งหัวหน้าแผนกบท ก่อนจะผันตัวมาเป็นผู้กำกับ ในช่วงแรก จางเชอะมีความตั้งใจที่จะเรียนรู้เทคนิคการถ่ายทำหนัง เขาจึงเขียนบทไปพร้อมกับการฝึกฝนด้านการถ่ายทำโดยเรียนรู้จากสวี่เจิงหง(Xu Zenghong) ผู้กำกับที่มีพื้นฐานมาจากช่างภาพ และยังทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้กำกับให้กับเขาอีกด้วย
ในปี ค.ศ. 1964 จางเชอะได้รับโอกาสจากท่านเซอร์ รันรัน ชอว์ ให้กำกับหนังเรื่อง Butterfly Chalice แต่มันดันเป็นหนังเพลงฮวงเหมย ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในยุคนั้น โดยเน้นการเล่าเรื่องผ่านบทเพลงอันไพเราะและฉากที่ประณีตงดงาม
แต่เนื่องจากความไม่ชำนาญในแนวเพลงฮวงเหมย ซึ่งต้องการความละเอียดอ่อนทั้งในด้านบทเพลงและการแสดง จางเชอะจึงพยายามสร้างสรรค์งานตามความเข้าใจของตัวเอง โดยหวังว่าจะได้รับการยอมรับ แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
โชคร้ายที่เมื่อฉายให้ท่านเซอร์ดูบางฉาก ท่านเซอร์แสดงความผิดหวังอย่างชัดเจนถึงขนาดตำหนิว่าหนังเรื่องนี้ “ควรเผาทิ้ง” เพราะเห็นว่าผลงานชิ้นนี้ไม่สามารถตอบโจทย์ผู้ชมและมาตรฐานของบริษัทได้ และมอบหมายให้หยวนชิวเฟิง(Yuan Qiufeng)เอาไปกำกับใหม่
แม้จะถูกวิจารณ์อย่างหนัก แต่จางเชอะไม่ได้มองว่านี่คือความล้มเหลว หากแต่เป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เขาตระหนักว่าแนวทางของตัวเองอาจไม่เหมาะกับหนังแนวฮวงเหมย ต่อมาเขาจึงหันไปพัฒนาผลงานในแนวศิลปะการต่อสู้ ที่เน้นความดุดันและการเล่าเรื่องที่ทรงพลัง ซึ่งกลายมาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาในเวลาต่อมา
เขาได้ขอโอกาสอีกครั้งจากท่านเซอร์ที่ยอมให้เขากำกับ The Tiger Boy ด้วยฟิล์มขาวดำ ทุนต่ำ จนกลายเป็นหนังแนวศิลปะการต่อสู้เรื่องแรกของเขาภายใต้ชอว์บราเดอร์ส พร้อมทั้งยังได้ปั้นนักแสดงหลักอย่าง หวังอยู่ และทีมงานบางส่วนอย่าง หวังอวี้, หลอลี่ และเจิ้งเหลย กลายมาเป็นสมาชิกยุคแรกของ "กลุ่มจาง" (Chang’s Stable) ที่ร่วมสร้างรากฐานสำคัญให้กับผลงานแนวต่อสู้ของจางเชอะในเวลาต่อมา
Butterfly Chalice จึงเป็นทั้งความพยายามแรกเริ่มและความล้มเหลวที่เปิดโอกาสให้จางเชอะได้ค้นพบตัวตนในฐานะผู้กำกับที่ยิ่งใหญ่ของวงการหนังฮ่องกง
โฆษณา