29 พ.ย. เวลา 08:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

จับโอกาสลงทุนหุ้นสหรัฐฯ หลัง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ชนะการเลือกตั้ง

จากที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) คือผู้คว้าชัยชนะในศึกการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และพรรครีพับลิกันยังได้ครองเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภาสหรัฐฯ และสภาผู้แทนราษฎร (สภาคองเกรส) อีกด้วย ซึ่งผลตอบรับของตลาดหุ้นทั่วโลกต่อข่าวดังกล่าวมีการปรับตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นตลาดหุ้นจีนที่มีการปรับตัวลดลง เนื่องจากแรงกดดันของนโยบายสงครามการค้า ที่จะส่งผลกระทบต่อภาคส่งออกของจีนโดยตรง
แล้วโอกาสการลงทุนจะเป็นไปในทิศทางไหน เมื่อทรัมป์ชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง บทความนี้ BBLAM มีข้อมูลที่น่าสนใจมาฝากครับ
สิ่งแรกที่นักลงทุนต้องจับตามองหลังจากนี้ คือการดำเนินนโยบายของทรัมป์และพรรครีพับลิกัน โดยเฉพาะนโยบายการปรับเพิ่มภาษีนำเข้า (Tariff) ซึ่งอาจมีส่วนทำให้เงินดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้น จากเงื่อนไขการค้า (Term of Trade) ที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่นโยบายการคลัง แม้ว่าจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในรูปแบบต่าง ๆ แต่ก็ต้องพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจ และสภาวะเศรษกิจสหรัฐฯ ประกอบด้วย
ยกตัวอย่าง กรณี Baseline คือทิศทางเศรษกิจสหรัฐฯ ที่ยังดี และมีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอยไม่มากนัก อาจทำให้ Yield ทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง และคาดว่า Yield Curve จะมีลักษณะชันขึ้น (Steepening) โดยเฉพาะเมื่อดอกเบี้ยอยู่ในทิศขาลง และเงินเฟ้ออาจจะได้รับผลกระทบจากนโยบายการคลังขาดดุล
สำหรับกำไรของบริษัทจดทะเบียนคาดว่ายังอยู่ในทิศทางดี เนื่องจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย และนโยบายภาครัฐหลังการเลือกตั้งที่มีความชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ การขับเคลื่อนของนโยบายสาธารณะ และการดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุล ซึ่งความไม่แน่นอนที่ลดลงนี้ ทำให้ความเชื่อมั่นทั้งภาคครัวเรือน และภาคเอกชนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ทั้งนี้ การดำเนินนโยบายของทรัมป์และพรรครีพับลิกัน จะส่งผลบวกต่อบางกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นโลก เช่น กลุ่มการเงิน, กลุ่มเชื้อเพลิงฟอสซิล, กลุ่มหุ้นขนาดเล็ก (Small Caps), กลุ่มหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจในประเทศ (High Domestic Revenue Stock) เช่น โครงสร้างพื้นฐานและการอุปโภคบริโภค ขณะที่กลุ่ม Growth Stock อย่างเทคโนโลยี แม้จะได้รับปัจจัยบวกเช่นกัน แต่ก็ต้องจับตาประเด็นการต่อต้านการผูกขาดด้วย
จะเห็นได้ว่าโอกาสลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ยังคงมีอยู่ เพียงแต่ต้องเลือกลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากการดำเนินนโยบายของรัฐบาล โดย BBLAM ขอแนะนำ ‘กองทุนเปิดบัวหลวงยูเอสอัลฟ่า’ (B-USALPHA) และ ‘กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นโกลบอล’ (B-GLOBAL) ซึ่งสามารถเลือกลงทุนได้ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 500 บาท
สำหรับกองทุน B-USALPHA ลงทุนในหน่วยลงทุนของ JPMorgan Funds - US Growth Fund (กองทุนหลัก) ซึ่งมีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโต (Growth Style) ของบริษัทที่จัดตั้งในสหรัฐฯ ครอบคลุมอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น Microsoft, NVIDIA และ Meta รวมถึงกลุ่มสุขภาพ เช่น Eli Lilly บริษัทยาใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ที่มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนายารักษาโรคเบาหวาน มะเร็ง และความผิดปกติทางประสาท (ข้อมูล ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567)
ในส่วนของกองทุน B-GLOBAL ลงทุนในหน่วยลงทุนของ Wellington Global Quality Growth Fund (กองทุนหลัก) ซึ่งมุ่งหาผลตอบแทนในระยะยาว และมีนโยบายลงหุ้นในหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก ครอบคลุมอุตสาหกรรมเทคโนโลยี สุขภาพ การเงิน และการผลิต โดยมีสัดส่วนการลงทุนในทวีปอเมริกาเหนือ 64.2% และสหภาพยุโรป 23.8% (ข้อมูล ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567) ทำให้ช่วยกระจายความเสี่ยงการลงทุนเชิงภูมิศาสตร์ได้
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ BBLAM
• โทร. 0 2674 6488 กด 8
• เว็บไซต์ BBLAM
• ลงทุนด้วยตนเองง่าย ๆ ผ่านโมบายแบงก์กิ้งธนาคารกรุงเทพ หรือแอป BF Fund Trading จาก BBLAM
คำเตือน : การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น) / ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า ข้อมูลสำคัญ นโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนการตัดสินใจลงทุน / กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด
ทั้งนี้ อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้น ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
#BBLAM #กองทุนบัวหลวง #BFFundTrading #MobileBanking #ธนาคารกรุงเทพ
โฆษณา