1 ธ.ค. เวลา 01:48 • ข่าวรอบโลก

EP: 50 Volkswagen ปิดโรงงาน: สัญญาณเตือนสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย

การปิดโรงงาน 3 แห่งของ Volkswagen ในเยอรมนีถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความท้าทายที่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในยุโรปต้องเผชิญ แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนให้ไทยเตรียมพร้อมรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เช่น BYD และ Tesla ที่กำลังขยายตลาดในยุโรปอย่างรวดเร็ว
การปรับตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและการลดต้นทุนการผลิต เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
มูลค่าอุตสาหกรรมรถยนต์ของเยอรมนี
ในปี 2020 มูลค่าอุตสาหกรรมรถยนต์ของเยอรมนีคิดเป็นประมาณ 12.6% ของ GDP ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 378 พันล้านยูโร หรือประมาณ 13.5 ล้านล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 35.7 บาทต่อยูโร) การลดลงนี้เกิดจากผลกระทบของการระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้ยอดขายและการผลิตลดลงอย่างมาก
คาดการณ์ว่าในปี 2024 มูลค่าอุตสาหกรรมรถยนต์ของเยอรมนีอาจลดลงเหลือประมาณ 11% ของ GDP ซึ่งจะเท่ากับประมาณ 10.6 ล้านล้านบาท ลดลงประมาณ 2.9 ล้านล้านบาท จากปี 2020 เนื่องจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า
มูลค่าอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทย
ในปี 2020 มูลค่าอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยคิดเป็นประมาณ 6.4% ของ GDP ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1.09 ล้านล้านบาท (จาก GDP ของไทยที่ประมาณ 17.1 ล้านล้านบาท) โดยอุตสาหกรรมนี้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก เนื่องจากมีการจ้างงานและเชื่อมโยงกับหลายอุตสาหกรรมอื่นๆ
คาดการณ์ว่าในปี 2024 มูลค่าอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยอาจลดลงเหลือประมาณ 5.8% ของ GDP ซึ่งจะเท่ากับประมาณ 1.25 ล้านล้านบาท โดยคาดว่าจะมีมูลค่าลดลงประมาณ 840,000 ล้านบาท จากปี 2020 เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้าน
จากข้อมูลมูลค่าอุตสาหกรรมรถยนต์ของเยอรมนีและไทย มีแนวโน้มปรับตัวลดลงจาก 0.5-2% ทำให้สั่นสะท้อนอุตสาหกรรมรถยนต์รถสันดาปทั่วโลก
สาเหตุการปิดโรงงาน 3 แห่งของ Volkswagen มีดังนี้:
  • การลงทุนช้าในรถยนต์ไฟฟ้า: Volkswagen และอุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมันโดยรวมช้าในการลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Tesla และ BYD ได้
  • การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น: การแข่งขันจากผู้ผลิตรถยนต์จีนและสหรัฐฯ ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าและสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจมากขึ้น ส่งผลให้ Volkswagen ต้องปรับกลยุทธ์
  • ต้นทุนการผลิตสูง: โรงงานในเยอรมนีมีต้นทุนการผลิตสูงถึง 25-50% เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ทำให้บริษัทไม่สามารถทำกำไรได้เพียงพอ
  • ความต้องการที่ลดลง: ยอดขายรถยนต์ในยุโรปลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดเยอรมัน ส่งผลให้ Volkswagen ต้องลดกำลังการผลิตเพื่อลดค่าใช้จ่าย
  • แรงกดดันทางเศรษฐกิจ: สภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในเยอรมนี รวมถึงต้นทุนพลังงานที่สูง ทำให้บริษัทต้องพิจารณามาตรการลดต้นทุนที่รุนแรง
การปิดโรงงานของ Volkswagen ผลกระทบต่อมูลค่าเศรษฐกิจของเยอรมนี
  • ผลกระทบต่อ GDP: อุตสาหกรรมรถยนต์มีส่วนสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจเยอรมันถึงประมาณ 4% ของ GDP การปิดโรงงานจะทำให้การผลิตลดลง ส่งผลให้ GDP ของประเทศมีแนวโน้มที่จะหดตัวในระยะสั้น เนื่องจาก Volkswagen เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
  • อัตราการว่างงาน: การปิดโรงงานอาจส่งผลให้มีการเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก ซึ่งการเลิกจ้างนี้จะเพิ่มอัตราการว่างงานในพื้นที่ที่โรงงานตั้งอยู่ และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นโดยตรง
  • ความเปราะบางของเศรษฐกิจ: สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจเยอรมันที่พึ่งพาอุตสาหกรรมรถยนต์อย่างมาก การลดลงของการผลิตและการจ้างงานในภาคนี้อาจทำให้เยอรมนีสูญเสียตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมรถยนต์โลก
  • แรงกดดันต่อรัฐบาล: การปิดโรงงานและการเลิกจ้างพนักงานจำนวนมากจะสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลในการหามาตรการสนับสนุนและฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปิดโรงงาน
  • อนาคตของอุตสาหกรรม: การเปลี่ยนแปลงในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตรถยนต์อื่นๆ ทำให้ Volkswagen ต้องปรับกลยุทธ์ ซึ่งอาจส่งผลต่ออนาคตของอุตสาหกรรมรถยนต์ในเยอรมนีอย่างมาก
โดยรวมแล้ว การปิดโรงงานของ Volkswagen เป็นสัญญาณเตือนเกี่ยวกับความท้าทายที่เยอรมนีกำลังเผชิญในภาคอุตสาหกรรม และมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญ
สัญญาณเตือนสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย
การปิดโรงงาน 3 แห่งของ Volkswagen เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย ซึ่งสามารถสรุปได้เป็น 6 ข้อหลักดังนี้:
  • การแข่งขันจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า: การที่ Volkswagen ต้องปิดโรงงานสะท้อนถึงความท้าทายที่เกิดจากการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนและสหรัฐฯ เช่น BYD และ Tesla ซึ่งอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในตลาดนี้
  • ความจำเป็นในการปรับตัว: การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมผู้บริโภคและความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ผู้ผลิตในไทยต้องเร่งปรับตัวเพื่อไม่ให้ตกขบวนในตลาดโลก โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีและการผลิต
  • ผลกระทบต่อการจ้างงาน: การปิดโรงงานของ Volkswagen อาจนำไปสู่งานจำนวนมากที่หายไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นในไทย หากเกิดการเลิกจ้างในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
  • ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ: อุตสาหกรรมรถยนต์มีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย หากเกิดการลดลงของการผลิตและยอดขาย จะส่งผลกระทบต่อ GDP และเศรษฐกิจโดยรวม
  • การสนับสนุนจากรัฐบาล: สถานการณ์นี้อาจกระตุ้นให้รัฐบาลไทยต้องพิจารณานโยบายเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ โดยเฉพาะในการลงทุนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ และการสร้างโอกาสในการจ้างงาน
  • การวางแผนระยะยาว: อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยควรมีการวางแผนระยะยาวเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต รวมถึงการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและการสร้างความเข้มแข็งให้กับซัพพลายเชนในประเทศ
การตระหนักถึงสัญญาณเตือนเหล่านี้จะช่วยให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยสามารถปรับกลยุทธ์และเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนวทางมาตรการป้องกันอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย
การเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงในตลาดรถยนต์โลก โดยมีรายละเอียดดังนี้:
  • การส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV): รัฐบาลไทยได้กำหนดนโยบายเพื่อสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดยตั้งเป้าหมายให้มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารวม 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573 และมีการสนับสนุนจากมาตรการต่างๆ เช่น การลดภาษีและการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ผลิตที่ลงทุนในเทคโนโลยี EV
  • พัฒนาทักษะแรงงาน: การพัฒนาทักษะของบุคลากรในอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีใหม่ เช่น รถยนต์ไฟฟ้าและระบบอัตโนมัติ เพื่อให้แรงงานสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม
  • การสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็ง: รัฐบาลได้ส่งเสริมให้มีการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม โดยกำหนดสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ (Local Content Requirements) เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งในห่วงโซ่อุปทาน
  • การสนับสนุนจากภาครัฐ: รัฐบาลได้จัดทำแผนส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยมีงบประมาณสำหรับวิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
  • ปรับปรุงโครงสร้างภาษี: การปรับโครงสร้างภาษีเพื่อสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและลดภาษีสำหรับผู้ผลิตที่ติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ จะช่วยกระตุ้นให้มีการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้มากขึ้น
  • สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน: การสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐบาล ผู้ผลิต และนักวิจัยจะช่วยให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมโดยรวม
มาตรการเหล่านี้จะช่วยให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยสามารถเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายและเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Econ Insight: สอบศัพท์เศรษฐศาสตร์
1. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง (Structural Change): การปรับตัวของอุตสาหกรรมจากรถยนต์เชื้อเพลิงฟอสซิลสู่รถยนต์ไฟฟ้า เช่น การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่และปรับทักษะแรงงาน
2. ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Advantage): ความสามารถในการผลิตด้วยต้นทุนต่ำกว่า เช่น จีนมีต้นทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าต่ำกว่าไทย
3. ผลกระทบต่อ GDP (GDP Impact): การลดการผลิตในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น รถยนต์ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ GDP
4. การพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development): การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนการเติบโตระยะยาว
โฆษณา