2 ธ.ค. เวลา 03:34 • ความคิดเห็น
เมื่อเกิดมามีกาย ..มีกรรมนันก็ภาระ ต้องทำมาหากิน ..ไปหาปัจจัยมาหล่อเลี้ยงชีวิต ให้การที่เสาะแสวงหา เราก็มีอารมณ์ ต้องใช้อารมณ์นึกคิดต่างๆ ใช้กายวาจาใจ ไปตามอารมที่เกิดจึ้นในเรือนกาย ..แล้วยังมีวิญญาณทั้งหก ..ไปรับเอา รูปคนนั่นคนนี้ ..ที่มีพฤติกรรม..แสดงออกตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นที่เค้า แม้แต่การใช้ตาหูไปสื่อต่างต่างๆ มันก็เกิดอารมณ์ต่างมากมายขึ้นในเรือนกาย แม้แต่ลมที่เข้าออกเรา ก็ไม่รู้ไม่สติรู้ว่าเมีอารมณ์อะไรเข้าออกบ้าง
กายนี้เป็นเหมือนบ้าน ..เมื่ออารมณ์มันเกิดขึ้น มันก็เหมือนฝุนละออง สิ่งสกปรก ที่มีทั้งดี และไม่ดี แต่ส่วมมากมันเป็นขอลไม่มด แล้วเราก็ไม่ได้รู้จักว่าต้องเอาสิ่งเหล่านี้ออกไปทิ้ง เราปล่อยให้มันสะอาดสะอ้านเลอะเทอะ บ้านมันมีแต่สิ่งที่เลอะเลือน มันก็น่าเบื่อ ไม่น่าอยู่อาศัย
เพราะฉะนั้นเราก็ต้องหาวิธี เอาสิ่งที่เร่ไปยึดถือถือ อารมณ์ที่เกิดขึ้นที่ตัวเรา และอารมณ์ของคนอื่นที่ไหลเข้ามาทางวิญญาณทั้งหก ขนมันออกไปทิ้ง ..ทิ้งก็โดยกาย ..ค่อยสละ วัตถุปัจจัยออกไปเป็นทาน สละเวลาให้กายได้พัก ไปนั่งกราบพระสวดมนต์ ซึ่งในคำสวดมนต์ก็มีคำที่มัความหมายดีๆ
เราก็นำกายนำจิต ไป..ไปเพื่อที่สลัดอารมณ์ สลัดฝุ่นภายในบ้านนั้นออกไป ไปนั่งนิ่งๆ จิตเฉย นั่งนิ่งไม่ได้ก็เดิน ..ไม่ต้องนึกคิดอะไร .. นึกคิดก็เป็นกรรม เป็นอารมณ์ เราก็ต้องฝืน ..ต้องอดทน กระทำเพื่อสลัดทิ่งฝุ่นที่มันฟุ้งขึ้นมาในกายใจจิต เพราะบ้านมัยสกปรกรกรุงรัง
เมื่อเรารู้ว่าเกิดมามีกายมีกรรม มีภาระ เราก็พยายาม หาทางในปลดเปลื้องกรรมออกไป ด้วยการสร้างบุญกุศล ให้กายนั้นมีบุญกุศล ให้บ้านสะอาดสสะอาดสะอ้าน บ้านสะอาดสะอ้าน มันก็น่าอยู่อาศัย ไม่น่าเบื่อ .ไม่รกรุงรังด้วยอารมณ์กรรมต่างๆมากมายก่ายกอง ..เพราะเราขนมันออกไปทิ้ง.
โฆษณา