2 ธ.ค. เวลา 06:38 • ความคิดเห็น
เรื่องของอริยะ ขึ้นต้น ก็ใช้คำว่า อริยะ .ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันเป็นเรื่องราวของจิต ..ที่มาอาศัยกายนี้ .. มากระทำขึ้น ให้รู้จักทุกข์ ทุกข์มันมีอยู่ที่ไหนบ้างในกายนี้ ผู้ที่กระทำได้ ทำให้กายนิ่ง จิตนิ่งได้ ท่านก็ไปกระทำในกลางป่า จิตต้องเพียบพร้อมทั้งสติปัญญาธรรม เพื่อที่จะปลดเปลื้องเรื่องราวของกรรม ของทุกข์ นั้นออกไป ต้องกระทำด้วยขันติบารมี รักษากายนิ่งจิตนิ่งได้ .
เมื่อกายนิ่งจิตนิ่ง ก็จะเกิดสิ่งหนึ่งขึ้น สิ่งต่างที่ไหลออกมาปั่นป่วนพายในกาย จะร้อนจะหนาว เจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่าง กายก็นิ่ง จิตก็เฉย มีปัญญารู้จักทุกข์ ก็ไม่ไปยึดทุกข์ กลับปลดเปลื้องทุกข์นั้นออกไป ..ให้กระจัดกระจายออกไป เหมือนมีแสงดีดำ สีม่วงเจ้ามา สีต่างๆเกิดขึ้น ก็รู้จักเรื่องราวของสี่ .แล้วก็อาศัยแสงรัตนะ ตัด แสงสีดำ สี้เวรกรรมนั้นออกไปจากจิต
คราวนี้ การมาเรียนรู้จักธรรมของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็ทำอย่างไร เราก็ใช่กายเรามาฝึกหัดทำตามท่าน พระอานนท์ท่านเล่าว่า นี่น้อง ..ทำตามพี่น่ะ .ทำกายให้นิ่ง จิตนิ่ง ..เดี๋ยวพี่ทำให้ดู ..พอพระพุทธเจ้า ..ทำกายนิ่งปุ๊บ . พระอานนท์ ท่านบอกว่า กายของท่านแข็งเป็นก้อนหินเป็นเสาไปเลย แล้วท่านก็บอกให้พระอานนท์ทำตาม..พระอานนท์ท่านก็ทำตาม ตามพระพุทธเจ้าขึ้นไปชั้นดาวดึงส์ ..จนไปเจอะเตอนางฟ้าที่สวยงาม..อยากแต่งงาน
..พอพระพุทธเจ้า บอกให้ดูใหม่ ก็เห็นเป็นคนแก่หงำเหงือก ไปเห็นสภาพจริงๆ ของสิ่งที่เรียกว่า ตัวกระทำที่ไม่เที่ยง ท่านก็เลย บอกว่า ..จิตตรงนั้นของท่าน ตัดขาดเรื่องราวของโลกได้ เรื่องราวตัณหาราคะต่างๆ แล้วก็จิต..ก็หันมาหาธรรม..ชำระสะสางธาตุทั้งสี่ ให้กายเป็นธรรมจิตเป็นธรรม ตามรอยพระพุทธเจ้า ..ที่ว่า กายนิ่ง จิตนิ่ง สะสางกาย ธาตุทั้งสี่ ขันธ์ทั้งห้า วิญญาณทั้งหก จนเป็นแก้วเจียระไน
เรื่องราวของอริยะสัจ 4 นั้นเค้าค้นคว้า ที่ภายในกายที่จิตนั้นอาศัย ไม่ได้ไปค้นข้างนอก ค้นตำราข้างนอกมาแก้ไข เค้าทำไปตามรอยทั้งสี่ขององค์พระพุทธที่ที่ท่านไปกระทำ เมื่อยังเป็นพระสิทธัตถะ ..
เรื่องอริยะสัจสี่ ..มันจึงเป็นเรื่องที่คนพูดกันได้ แต่หาคนที่ประพฤติปฏิบัติธรรม เดินตามรอยพระพุทธเจ้านั้นหาได้ยาก..หรือว่า หาไม่ได้เลย ..
แล้วเรื่องราว ที่เราก็เคยได้ยินได้ฟังมา ว่า การที่จะมีพระพุทธเจ้า ..มาจุติ ตรัสรู้ในโลกมนุษย์ แต่ละครั้ง นั้นล้วนใช้เวลายาวนาน มิได้ว่าจะมีบ่อย ..จิตที่ท่านสะสางบุญกุศลบารมีมาเต็มที่ ท่านเกิดมา ก็มีทรัพย์สินเงินทอง มียศศักดิ์ ..ที่บุญกุศลหนุนนำมา ..ท่านก็เกิดมาเพื่อที่จะทิ้ง เรื่องราวเหล่านั้น ..ไม่นำมาใช้อีก
..เราจึงเห็นในยุคต้นพุทธกาล ผู้ที่ออกบวช ล้วนมาจากผู้ที่มีทรัพย์สมบัติ บรรดาศักดิ์มากมาย ..ท่านทิ้งทรัพย์สมบัติ ยศฐานบรรดาศักดิ์ เดืนเข้าไป ..เข้าป่าไปชำระสะสางสิ่งที่อยู่กับธาตุทั้งสี่ ขนมันออกไปทิ้ง ให้จิตนั้นสะอาดสะอ้าน ธาตุทั้งสี่ที่กายอาศัยก็บริสุทธิ์ผุดผ่อง เพื่อยุติการเกิด
เรื่องของธรรม มันก็คนพูดกันเยอะวิตกวิจารณ์กันมาก เป็นเย่างนั้นอย่างนี้ แล้วลองเทียบเคียงดู สิ่งที่เจ้าชายสิทธัตถะ พระอรหันต์ ท่านทิ้งอะไรบ้าง ทิ้งที่หลับที่นอน ไปอยู่ป่า ..ไปคนเดียว ..ไม่มีใครติดตามไปด้วย .ถามว่า ผู้ที่กล่าววิตกวิจารณ์
บ้างทำตนเป็นศาสดาจารย์ มีการการกระทำเยี่ยงเย่างในรอยขององค์พระสิทธัตถะหรือไม่ เมื่อไม่มี ..แล้วจะไปรู้ตามธรรม ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านฝากไว้กับดินฟ้าอากาศได้อย่างไร มันก็จะกลับกลายเป็นอารมณ์ที่ย้อนกลับมาอุปโลกน์ว่ารู้แล้วๆ แต่ประพฤติปฏิบัติธรรมตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเต้าไม่ได้
มีพระผู้ใหญ่ ท่านเตือนในเรื่องการสอนธรรม..มันอันตรายกัยตัวเอง เราให้เหตุผล .แนะนำ ..ให้ไปแล้วก็อย่าไปยึดถือ เค้าไม่รับก็เรื่องของเค้า ..เราก็ถือว่าเราให้ไปแล้ว หากว่าเค้าจะต่อต้าน จะทิฐิอะไร ..นั่นมันอารมณ์ของเค้า เราก็ต้องระมัดระวัง เพราะอารมณ์โมโหโกรธ หงุดหงิด ไม่พอใจ มันอยู่ข้างๆจิต มันจะไหลมาปกปิดจิต ..หลงใหลใช้กายวาจาใจไปตามอารมณ์..แล้วสิ่งนั้นมันก็เกิดเป็นกรรมเกิดขึ้น อันตรายต่อจิตของตัวเอง
เรื่องของอริยะสัจสี่ ..
สองข้อแรก เป็นเรื่องราวของทุกข์ เรื่องของโลก เรื่องราวสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ จมอยู่กับทุกข์ ..ต้องใช้อารมณ์ต่างๆ ความโลภโกรธหลงมากมายก่ายกอง สิ่งได้นั่นคือทุกข์ คือกรรม
สองข้อหลัง เป็นเรื่องของธรรม ที่นำมาประพฤติปฏิบัติธรรม สร้างบุญกุศลบารมีปฏิบัติธรรมขึ้นมา อาศัยรอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รอยนี้ไม่ต้องนึกคิดอะไร ให้รู้จักคุณบิดามารดา จิตที่กายบิดามารดา มาทำให้กายนิ่ง จิตนิ่ง ..ไม่ไปสร้างเวรกรรม ผู้ที่ที่ทำกายนิ่ง จิตนิ่งได้ ..ก็มีกระแสของธรรม ส่องลงมาให้จิตได้ ศึกษามากมาย ..
โฆษณา