11 ธ.ค. เวลา 03:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

โอกาสเพิ่มความมั่งคั่ง กับ 5 บริษัทเปลี่ยนโลก ในกองทุนลดหย่อนภาษี ABGDD-SSF และ ABGDD-RMF

ช่วงปลายปีแบบนี้ หลายคนน่าจะกำลังหาตัวช่วยลดหย่อนภาษีกัน ซึ่งกองทุนรวมลดหย่อนภาษีเป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่คุ้มค่า ได้ทั้งการออมและสิทธิลดหย่อนไปพร้อมกัน
แต่จะคุ้มค่ากว่านี้! ถ้าเราเลือกกองทุนที่มีศักยภาพในการสร้างเงินต้นให้เติบโต ไปพร้อมผลตอบแทนในอนาคต หนึ่งในนั่นคือ กองทุน..
✅ ABGDD-SSF (กองทุนเปิด อเบอร์ดีน โกลบอล ไดนามิค ดีวิเด็น ฟันด์ - ชนิดเพื่อการออม) ความเสี่ยงระดับ 6
✅ ABGDD-RMF (กองทุนเปิด อเบอร์ดีน โกลบอล ไดนามิค ดีวิเด็น เพื่อการเลี้ยงชีพ) ความเสี่ยงระดับ 6
โดยทั้งสองกองทุนจะลงทุนผ่านกองทุนหลัก abrdn SICAV I – Global Dynamic Dividend Fund Z Gross MInc USD โดยมี net exposure เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ซึ่งกองทุนหลักมีนโยบายการลงทุนที่โดดเด่น ด้วยการแบ่งแบ่งพอร์ตโฟลิโอออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรก Core Portfolio (95%) เน้นการลงทุนระยะยาวในบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโต เพื่อสร้างกระแสรายรับจากเงินปันผลทั่วโลก และโอกาสในการได้รับกําไรจากมูลค่าของหุ้นที่เพิ่มขึ้น
ส่วนที่สอง Dividend Capture Sleeve (5%) ลงทุนระยะสั้น เพื่อเฟ้นหาหุ้นที่จ่ายปันผลจากเหตุการณ์พิเศษ
เราไปดูกันว่ากองทุนลดหย่อนภาษีทั้งสองกองนี้ 5 บริษัทแรกที่ลงทุนมีหุ้นตัวไหนบ้าง (ที่มา: abrdn: วันที่ 30 ก.ย. 2567)
1. Apple
ผู้พัฒนาสินค้า และบริการด้านเทคโนโลยีระดับโลก มีสินค้าที่เรารู้จักมากมาย ไม่ว่าจะเป็น iPhone iPad MacBook ที่มีแฟนคลับคอยติดตามอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังโดดเด่นด้วยระบบ Ecosystem ที่สร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้ใช้งาน
โดยปัจจุบัน Apple มีมูลค่าตลาด (Market Cap.) สูงที่สุดในโลก และในไตรมาสแรกของปี 2024 มีรายได้ 119.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งมีการเติบโตจากยอดขายของ iPhone และรายได้จากธุรกิจบริการที่ถือเป็นสถิติใหม่ ทั้งยังมีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 2.18 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์
2. Microsoft
ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ อย่าง Windows ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยข้อมูลจาก Statista พบว่า Windows ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 67% เลยทีเดียว
นอกจากนี้ ยังมีโปรแกรมตระกูล Microsoft Office รวมถึงยังเข้าไปลงทุนในบริษัท OpenAI ที่เป็นเจ้าของ ChatGPT แชตบอทที่ใช้ AI เป็นตัวขับเคลื่อนอีกด้วย
ซึ่งนอกจากจะมีผลิตภัณฑ์ที่ครองใจคนทั่วโลกได้แล้ว Microsoft ยังมีการเติบโตไปพร้อม ๆ กับเทรนด์ AI ที่กำลังมาแรง และหากดูรายได้ในไตรมาส 2/2024 รายได้อยู่ที่ 62,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว จากปัจจัยของธุรกิจคลาวด์ที่มีการเติบโตได้อย่างน่าสนใจ
3. Broadcom
ธุรกิจออกแบบ พัฒนาด้านเซมิคอนดักเตอร์ และโครงสร้างพื้นฐานด้านซอฟต์แวร์ ซึ่งได้มีการพัฒนาชิ้นส่วนสำหรับประมวลผล 5G บนสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ทำให้เมื่อปี 2023 ได้ทำข้อตกลงกับบริษัท Apple เพื่อพัฒนาชิ้นส่วนดังกล่าว
โดยในไตรมาส 2/2024 มีรายได้ 12,487 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 43% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยสาเหตุหลักที่รายได้เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดขนาดนี้เนื่องมาจากความต้องการด้าน AI ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และการรวมรายได้กับบริษัทที่เพิ่งเข้าไปซื้ออย่าง VMware ด้วย
4. Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC)
ผู้ผลิตชิปรายใหญ่จากไต้หวัน ที่มีเทคโนโลยีในการผลิตชิปขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพสูง
โดยเน้นผลิตให้กับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก อย่าง Apple และ Nvidia ที่เรารู้จักกันดี และยังครองส่วนแบ่งทางการตลาดทั่วโลกกว่า 61.7% เลยทีเดียว
จากความต้องการใช้งานชิปคุณภาพสูงในยุคที่เทคโนโลยี AI กำลังมาแรง ทำให้ผลประกอบการในไตรมาส 2/2024 ของ TSMC มีรายได้อยู่ที่ 20.82 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้
5. Alphabet
บริษัทแม่ของ Search Engine เบอร์หนึ่งของโลกอย่าง Google ที่ยังไม่มีใครสามารถโค่นได้ และยังมีบริการอื่น ๆ ที่เรารู้จักอย่างเช่น ระบบปฏิบัติการ Android, Google Drive และ YouTube ซึ่งส่วนมากบริการเหล่านี้ มักเป็นสิ่งที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน
สำหรับผลประกอบการของไตรมาส 2/2024 มีรายได้ 84.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยรายได้หลักมาจากระบบคลาวด์ ซึ่งถือว่าเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์เอาไว้
📍 หากใครมองหากองทุนลดหย่อนภาษี ที่มีผู้เชี่ยวชาญคอยบริหารจัดการให้ สามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://www.abrdn.com/th-th/investor/investment-solutions/active-equities/global-dynamic-dividend
*ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงการนำเสนอข้อคิดเห็นซึ่งอาจแตกต่างจากเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นจริงได้และไม่ได้เป็นการแนะนำในการจัดพอร์ตการลงทุน การลงทุนในบริษัทที่ระบุไม่สามารถสะท้อนการลงทุนของทั้งกองทุน และอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
การลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งอาจทำให้ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก
กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวน โทร. 02-352-3388 หรืออีเมล client.services.th@abrdn.com
#แผนใหม่ให้นักลงทุนไทยได้ไปต่อ #SSF #RMF #abrdn #Assetallocation
โฆษณา