3 ธ.ค. เวลา 14:29 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] From Zero - LINKIN PARK >>> เกิดใหม่ด้วยใจรัก

“ผมใช้เวลาเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมาดูภาพถ่ายจาก 7 ปีที่ผ่านมา นึกถึงการเดินทางที่พาผมมาจนถึงวันนี้ มีภาพบางส่วนที่ขาดหายไป สิ่งที่ผมเคยพบเจอมาแต่ไม่ได้ถ่ายไว้ แต่นั่นแหละไม่เป็นไร เพราะไม่มีการเล่าหรือแชร์ภาพใดที่จะเพียงพอได้หรอก”
Mike Shinoda via Instagram
-นี่คือแคปชั่นของ Mike Shinoda ที่มีต่ออัลบั้มตั้งแต่ Day 1 ในฐานะหัวหน้าวง เป็นการบ่งบอกที่จักสำคัญในช่วง 7 ปีที่หายไป มาพร้อมกับความขาดหายอย่างน่าใจหายจากการสูญเสีย Chester Bennington อีกหนึ่งเสาหลักที่สร้างภาพจำและประวัติศาสตร์ให้มากมายจนกลายเป็นหนึ่งในวงร็อคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
-ขาดเสาหลักเท่ากับไม่มีอะไรเหมือนเดิมต่อจากนี้ ซึ่งนั่นก็เป็นโจทย์หินที่สุดในการรีแบรนด์วงยังไงให้แข็งแกร่งและเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้ การตัดสินใจแทนที่เชสเตอร์ด้วยร็อคเกอร์หญิงแห่งวง Dead Sara อย่าง Emily Armstrong ไม่มีทางที่ต้องยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์ นอกเสียจากให้เวลาเพื่อยอมปรับตัวที่มากพอจนกว่าจะได้ภาพจำใหม่ที่ชินตาไปเอง
-เมื่อผ่านไปหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ผมฟังอัลบั้มนี้ ด้วยความที่ผมเป็นคนที่ปล่อยผ่านในเรื่องการเปลี่ยนยุคสมัยของศิลปินก็มากรายหลายวงอยู่ มีน้อยมากๆครับที่เปลี่ยนแนวทางแล้วผมไม่สามารถติดตามได้จนสุดทางถึงปัจจุบัน LINKIN PARK ไม่ใช่หนึ่งในวงที่เลิกติดตามอย่างแน่นอน
-สำหรับการเข้าสู่ยุคสมัยแห่ง Emily นั้น เป็นที่น่าพึงพอใจสำหรับผมมากๆ และคิดด้วยว่า Emily คือผู้รับไม้ต่อที่ถูกต้อง และเป็นการรีแบรนด์ที่ค่อนข้างระมัดระวัง ทำยังไงก็ได้ให้แฟนเก่าและแฟนใหม่รู้จักอัตลักษณ์ของวงให้มากที่สุด โดยที่ไม่คิดแผลงฉีกแนวทางแบบที่เคยทำในยุค Minutes To Midnight, A Thousand Sun และ One More Night จนเกิดปัญหาเสียงแตกให้ได้เสียงบ่นก่นด่าจนเป็นข้อครหาอยู่ร่ำไป
-treat แฟนเก่ายังไงให้รู้สึกถูกเติมเต็มความโหยหา และ treat แฟนใหม่ยังไงให้รู้สึกว่านี่คือ Day 1 ของพวกเขาโดยแท้จริง นี่คือโจทย์ที่พวกเขาสอบผ่านด้วยรากเหง้า LP ยังคงอยู่ แค่ฉาบรูปโฉมบัดดี้คนใหม่ female vocal ก็เท่านั้น
นั่นทำให้ผมไม่ได้รู้สึกว่า ผมกำลังฟังวงร็อคเกิดใหม่ที่เพิ่งเดบิวต์ แต่เป็นวงเลือกที่จะงัดสูตรเดิมในยุค Hybrid Theory, Meteora โชว์ให้เด็ก Gen Z มันดูด้วย ซึ่งก็สอดรับกับการที่เพลงยุคมิลเลนเนียม Y2K กลับมาติดเทรนด์อีกครั้งในช่วงเวลาที่พวกเขาหายไป และดูเหมือนว่ายังจะไม่ซาลงง่ายๆในเร็ววันนี้
-อีกอย่าง Emily สามารถทำการบ้านในการเตรียมความพร้อมเพื่อรับไม้ต่อได้เป็นอย่างดี ด้วยความรากเหง้า LP ที่ยังอยู่ ภาคดนตรีในบางเพลงแทบจะไม่ประนีประนอมต่อลำคอของ Emily เลยด้วยซ้ำ
-จากที่ผมกล่าวข้างต้นเกี่ยวกับการ throwback ไปสู่สองอัลบั้มแรก ผมอยากจะแย้งอีกซักนิด จริงๆใน 10 แทร็ค + 1 อินโทร ไม่ได้วนในอ่างสองอัลบั้มแรก ผมมองว่า การต้อนรับน้องใหม่ Emily และ Colin Brittain มือกลองคนใหม่ในสไตล์พี่ Mike แกคงอยากให้ทั้งสองคนปรับความคุ้นชินด้วยการคัฟเวอร์ 7 อัลบั้มที่ผ่านมาในแบบหยิบนิดผสมน้อย มีแค่ A Thosand Suns ที่ให้น้ำหนักน้อย จะให้ฉีกไปทางทดลองก็กะไรอยู่ใช่มั้ยล่ะครับ
-อินโทรเปิดอัลบั้ม From Zero ผมค่อนข้างเซอร์ไพร์สพอสมควร ปกติวิสัยวงนี้จะชอบเปิดด้วย instrument หรือไม่ก็จิ๊กซอว์บางส่วนของเพลงที่อยู่ในอัลบั้ม แต่รอบนี้เค้าเปิดด้วยการประสานเสียงแบบ gospel ที่มาสั้นๆ แต่กลับทรงพลัง ชวนนึกถึงปกอัลบั้มที่เป็นเหมือนของเหลวสีน้ำที่หลอมละลายที่ทำปฏิกิริยาผสมสี ความรู้สึก epic นี้ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
มาพร้อมกับความรู้สึกของ Emily ที่ไม่ค่อยแน่ใจกับการเริ่มต้นใหม่นี้เช่นกัน แต่ก็เพิ่งระลึกถึงนัยยะนี้ได้ว่า From Zero ในที่นี้ก็หมายถึงวงเก่าก่อน Linkin Park ที่ชื่อว่า Xero เช่นกัน ซึ่งความทึกทักนี้ก็ถูกตัดจบเสียก่อน เอาล่ะน้อง พี่อยากเริ่มงานเลย 3 2 1
From Zero? Like from nothing?
-พวกเขาก็เข้าเรื่องได้ไว เริ่มต้นด้วยซิงเกิ้ลแรก The Emptiness Machine เป็นเหมือนน้ำจิ้มสูตร Living Things ที่หยั่งเชิงซินธ์ แต่ไม่ได้ใส่ความซับซ้อนลงไปมากนัก เน้นความชัดถ้อยชัดคำให้มันแน่นก่อน ความแตกพร่าปลายๆของ Emily ที่ฟังครั้งแรกก็ชวนให้จุดติดถึงลายเซ็นต์แห่งเครื่องจักรว๊ากอยู่เช่นกัน
Mike ได้ให้สัมภาษณ์กับ Zach Sang Show ว่า เจ้าตัวไม่ได้มีเจตนาที่ต้องการตัดพ้อถึง music industry แต่อย่างใด และปล่อยให้ทุกคนตีความตามประสบการณ์ร่วมของตัวเอง หลักๆที่พี่ไมค์ต้องการสื่อในเพลงนี้ มันเกี่ยวกับการถูกกลืนกินตัวตนจนข้างในแทบไม่ได้รับการเติมเต็มและไม่มีความหมายต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งในชีวิต ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้ซึ้งถึงการตัดสินใจที่เลือกเพลงนี้เป็นซิงเกิ้ลแรกอยู่ไม่น้อย
ในฐานะที่วงหายตัวไป 7 ปี เท่ากับว่า มันง่ายมากๆกับการถูกลืม และการกลับมาพร้อมกับแบกความคาดหวังของคนฟังที่ไม่เชื่อว่า LP จะกลับมาหนักหน่วงได้เหมือนเดิม เนื่องจากสูญเสียเสาหลักอย่างเชสเตอร์ไปด้วย แต่ความไปต่อของวงก็คงเลยจุดที่คำนึงถึงการต้องพยายามเพื่อเติมเต็มความคาดหวังด้วยสมาชิกใหม่ และแน่นอนเสียงว๊ากสุด emotional ของ Emily และประโยค I only wanted to be part of something ของชาวคณะ ย่อมเป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อมดับเครื่องชนต่อจากนี้
-หลังจากการปล่อยซิงเกิ้ลแรก ผมรู้สึกโอเคและติดหนึบไปกับวลีในท่อนฮุกของเพลงนั้นพอสมควร ลึกๆแล้วก็ทำใจไว้แล้วว่า วงขอไปทาง back to basic จริงๆแล้วล่ะมั้ง แต่พอการมาของซิงเกิ้ลสอง Heavy Is The Crown อื้อหือ พวกพี่พร้อมสู้คนฟังเว้ยเห้ย นี่คือการขาย LP ในรูปแบบ hard sell มากๆ โดยเฉพาะท่อนฮุคว๊ากยาวจาก Emily ที่ไม่คิดว่าชาตินี้จะได้เห็นความบ้าบิ่นแบบนี้จากวงอีกต่อไปแล้ว
ครั้งสุดท้ายมันเคยเกิดขึ้นในเพลง Given Up ในยุค Chester กลับกลายเป็นว่าความใจถึงในการรับจบนี้เองได้บังเกิดในยุค Emily จริงๆแล้ว และที่น่าทึ่งยิ่งกว่าตรงที่ Mike ได้เคลมไว้ในบทสัมภาษณ์ Zach Sang Show ว่า ว๊ากยาวที่ได้ยินนั้นมาจากเทคแรกจากการอัดไปมา 3 รอบเสียด้วย
ว๊ากยาวเป็นไฮไลท์เด็ดก็จริง แต่ความโดดเด่นในแง่ของความกระแทกกระทั้นที่คล้องจองก็ส่งพลังให้ท่อนฮุกแข็งแรง และยังคงชัดถ้อยชัดคำในวลีแห่งการทุบหม้อข้าว สามัญชนพร้อม strike back คนมีอำนาจอย่างแข็งกร้าว เป็นเพลงปลุกใจที่ให้อะไรมากกว่าการโชว์พลังว๊ากของนักร้องนำคนใหม่
-ซิงเกิ้ลที่สาม Over Each Other เพลงนี้ขาย Emily โดยตรง โชว์พลังป็อปร็อคบัลลาด และการว่าด้วยประเด็น toxic relationship ของการที่ต่างคนต่างพูดโดยที่ไม่ยอมลดราวาศอก โดยส่วนตัว นี่คือเพลงที่ไม่หวือหวาและเพลย์เซฟสุดๆเลยฮะ เซนส์ป็อปในเพลงอื่นๆที่หนักหน่วงกว่าเพลงนี้กลับมีวลีที่ติดหูและน่าจดจำกว่า
-ถ้าหากซิงเกิ้ลที่แล้ว ขายนัดร้องนำคนใหม่ที่ยังไม่มีพลังพอให้ไฮป์ Two Faced เริ่มมาขาย LP อีกครั้งด้วยสไตล์ที่ใกล้เคียง One Step Closer และยังมีความคุกกรุ่นทางอารมณ์อัดอั้นเหมือนกันด้วย ซึ่งก็ทำให้เรากลับไปหวนรำลึกถึง Hybrid Theory ได้ไม่มากก็น้อย
ความหวือหวาด้วยลีลา scratch แผ่นของพี่ Joe ที่ยังคงเฟี้ยว ความเกรี้ยวกราดของ Emily ที่ทำได้ถึงตั้งแต่เริ่มเพลงไปจนถึงท่อน bridge ที่สร้างจุดไคล์แม็กซ์ได้อย่างสะใจ เรารู้ว่า One Step Closer คือการเปิดยุคของ Chester ที่เป็นตำนานอย่างมาก Two Faced ก็คงเป็นตัวตั้งตัวตีที่ยังคงเป็นนิมิตรหมายที่ดีแห่งการโชว์พลังอันล้นเหลือ และยังมีพี่ Mike มาช่วยกระทืบซ้ำด้วย
-เขียนรีวิวแบบเกริ่นด้วยซิงเกิ้ลเพื่อให้เห็นว่า การเปิดตัวในรอบ 7 ปีของพวกเขาค่อนข้างคิดมาอย่างดีในการวางหมากพอสมควร อาจจะไม่ตรงเป้า 1-2 เพลง แต่ก็ยังได้น้ำได้เนื้อแห่งการโชว์ศักยภาพแห่งการไปต่อที่มีน้องใหม่ Emily และ Colin ร่วมลงเรือลำเดียวกัน ซึ่งเพลงที่ไม่ได้ถูกตัดเป็นซิงเกิ้ลอีก 6 เพลงก็ทำให้แรงไฮป์และความคาดหวังที่เคยมีในข้างต้นไม่ได้ถูกลดทอนให้แห้งเหือดแต่อย่างใด
-Cut The Bridge นี่คือ Bleed It Out เวอร์ชั่นสับๆๆการแร็ปของพี่ Mike เน้นความกระแทกกระทั้นมากกว่าความพุ่งทะยาน โดยมี Emily ที่มีท่าทีผ่อนปรนก่อนที่ลุกฮือระเบิดสะพานเป็นอันส่งสัญญาณแห่งการตัดขาดแม่งเลย สานสัมพันธ์ได้ก็ย่อมตัดขาดให้สะบั้นได้ เป็นการชวนระลึกถึง Burn It Down ที่สร้างมาแล้วก็ขอเผาให้ราบคาบ ตราบใดที่ไม่เคยสำนึกบุญคุณ
-ที่ผมบอกไว้ในย่อหน้าแรกๆว่า ต่อให้น้องใหม่เป็นผู้หญิง ภาคดนตรีก็ไม่ได้มีทีท่าปราณีต่อเส้นเสียง และ Emily ก็สามารถเต็มที่เช่นกัน Casualty และ IGYEIH นี่คือสองเพลงที่เข้านิยามความเป็น front woman คนต่อไปจริงๆ อื้อหือ เสียวคอแตกชิบหายเลยครับ
-Casualty คือความดิบสากโหดสุดในชุดนี้ ชวนระลึกถึง Keys to The Kingdom ในงานชุด The Hunting Party ความเย้ยหยันของพี่ Mike ทำให้ผมแอบขำในความแหกปากของมนุษย์ลุงอยู่เหมือนกัน อย่างไรก็ดีเพลงนี้ทำเสร็จเป็นเพลงสุดท้ายโดยได้ Brad ที่ต่อให้ไม่ร่วมออกทัวร์ แต่ยังมีส่วนร่วมในงานเบื้องหลังไม่ห่าง และก็มาช่วยเติมเชื้อไฟให้เหล่าชาวคณะให้ทำเพลงหนักหน่วงอย่างที่เห็น
-IGYEIH เป็นความหนักหน่วงในสไตล์ที่ผมชอบมากที่สุด จากความดิบสากแบบ Casualty ที่ผมชอบอยู่แล้ว แต่เพลงนี้มันมีลีลาและลวดลายที่ดีพอจะสร้างไคล์แม็กซ์สมเป็นแทร็ครองสุดท้าย ทั้งการร้องเสียงตวาดของ Emily ที่ช่วยเพิ่มความ intense เสียงสแคลชแผ่นที่จึ้งเป็นพิเศษ
ในท่อน Outro กลับกลายเป็นโมเมนต์ที่สาแก่ใจช้อยมากที่สุด โดยที่ไม่ต้องพึ่งแส่รีฟกีตาร์ ลำพังแค่เสียงมนุษย์โหวกเหวกโวยวายและกลองก็สามารถทิ้งลวดลายความเดือดดาลนี้ได้ จะว่าไปเหมือนทิ้งให้น้อง Emily และน้อง Colin ได้ปล่อยของเต็มที่ ในที่สุดพวกพี่ๆก็จบเพลงนี้ได้โคตรสนิทเลยฮะ
-สามเพลงที่เบาหน่อยพอประนีประนอมต่อ Emily บ้าง เฉกเช่น Overflow บีทอิเล็กโทรนิกส์ เน้นความ abstract แบบเดียวกับ A Thousand Suns แต่ถูกทำให้ฟังง่ายกว่าด้วยความค่อยพูดค่อยจา ระบายความในใจที่จมดิ่งมาทีละนิด แต่ก็ถูกทิ้งไว้ให้เป็นปริศนาอยู่ดีด้วยท่าทีที่ไม่สามารถเข้าใจถ่องแท้ว่า เติมเต็มความโหวงเหวงอย่างไรไม่ให้ล้นจนเกินพอดี ความกดดันที่ถาโถมดันใกล้เข้ามาทุกที มันเลยเปลี่ยนขาวเป็นดำ ยิ่งเปลี่ยนแสงก็เป็นเงา
-Stained เพลงเตือนสติที่โคตรจะยาขม ช่างย้อนแย้งกับจังหวะเพลงบีทตุบตับอันดูเป็นวัยรุ่นสุดทะมัดทะแมง มันคือเพลงที่ว่าด้วย “ความแปดเปื้อน” ที่ซักวันเรื่องมันต้องแดงออกมาอย่างหลบเลี่ยงไม่ได้ การยิ้มทั้งที่ยอมกลืนเลือดใครๆก็ดูออกทั้งนั้น อย่าได้หลบเลี่ยงและเผชิญหน้าแก้ปัญหาซะ
-ปิดท้ายอัลบั้มด้วย Good Things Go ที่ไม่ต้องบอกก็รู้โดยนัยว่า นี่คือจดหมายถึงแฟนเพลง จะไปต่อหรือพอแค่นี้? ถ้าไปต่อก็อยากจะขอบคุณ แต่ถ้าไม่อยากไปต่อ นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ชัดเจนตั้งแต่ชื่อ สิ่งที่ดีดันไม่ได้มาในตอนสุดท้าย แต่กลับเป็นสิ่งร้ายๆที่เสือกมาแทนที่ในตอนสุดท้ายเสียเอง ความครึ้มฟ้าครึ้มฝนวนเวียนเนิ่นนานไม่สนฤดูกาล เรื่องที่ควรขำและมีความสุขกลับทำให้ขำไม่ออก ต่อให้ขออภัยพันครั้งก็ไม่มีใครใส่ใจ
ประเด็นแห่งความสับสน depress เข้าคืบคลานก็แอบนึกถึง Crawling but One More Light version ที่ไม่เน้นว๊ากกรีดกราย แต่เน้นเสียงหลบสูงแทน ซึ่งมันดูแปร่งๆพอสมควร แต่ท่อนแร็ปของพี่ Mike เข้มข้นสมเป็นหัวหอกที่อัดอั้นอยากจะพูดถึงประเด็นปัญหา perception ของแฟนเพลงที่มีต่อวง ท่อนฮุคสุดท้ายมีคำว่า Thank You ชัดเจนในการ fan service สุดๆเลยครับ
จบอัลบั้มด้วยเทคนิควนลูปไปสู่แทร็คแรก ซึ่งไม่ใช่กิมมิคที่แปลกใหม่ แต่ก็เข้าใจได้ในการสื่อความถึง การเริ่มต้นจากจุดศูนย์แล้วจุดศูนย์อีก ในสถานะยุคสมัย Emily ที่อัลบั้มนี้ยังไม่ใช่บทพิสูจน์ที่สามารถรับจบแฟนเพลงทุกฝ่ายได้ซักทีเดียว
-ในยุคสมัย Chester หลังจากที่เริ่มเปลี่ยนใน Minutes to Midnight ที่หลายคนเริ่มไม่ชอบ ยิ่งมาเจอยุค A Thousand Suns แฟนเพลงแทบจะส่ายหน้า พี่จะทดลองไปถึงไหนวะเนี่ย ผ่านการเปลี่ยนสูตรไปมาอยู่บ่อยครั้ง ในความคิดผมแทบอยากจะบอกคนที่ติดกับยุคสองอัลบั้มแรกด้วยซ้ำว่า ทำไมพวกเอ็งไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เลย ซึ่ง LP เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างแห่งการพร่ำบอกถึงการมูฟออนเป็นพันๆครั้งที่ดันเกิดแต่กับกูที่ยังคงมีคนคิดถึงวันวานอยู่ร่ำไป
-การที่คำขอบคุณใน booklet ที่บอกไว้ว่า “ตอนเราทำอัลบั้มนี้ เราคิดถึงจุดเริ่มต้นของวงอยู่เสมอ แล้วอะไรที่ทำให้เราผ่านพ้นการเปลี่ยนผันมากมายกันขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะแรงปราถนาที่อยากจะทำเพลง มันเลยทำให้เราได้ไปต่อ” เป็นคำขอบคุณที่นอกจากจะทำให้รู้ซึ้งถึงแก่นของ From Zero ในระดับนึงแล้ว ยังบ่งบอกถึงการเดินหน้าที่ไม่ได้ลืมว่า ที่ผ่านมาคืออะไร ปัญหาแห่งการเปลี่ยนผ่านยังคงเป็นสิ่งที่วงนี้เค้าต้องท้าทายมากเป็นพิเศษ ใครจะไปคิดว่า พวกเขากำลังทำอัลบั้มแรกเป็นหนที่สอง
-แต่การเริ่มต้นหนที่สองที่ต่อให้มีน้องใหม่ทั้งสองคนที่อายุน้อยกว่าสมาชิกดั้งเดิมที่ยังชีวิตเกือบ 10 ปี พวกเขาปรับตัวค่อนข้างเก่งพอสมควรในยุคที่คอนเทนท์ข่าวสารและความบันเทิงกลับถูกซอยย่อยและต้องบังคับให้รวบรัด พวกเขาโคตรเข้าใจด้วยการทำอัลบั้มด้วย runtime แค่ 31 นาทีเศษ
-อีกทั้งมันยังเป็นการเริ่มต้นที่โคตรนิ่ง ไม่ฟุ้งซ่านที่จะทำอะไรแบบปีนบันได มันต้อง back to basic เนี่ยแหละถูกต้องแล้ว และเป็นการกลับมาพูดกับคนฟังได้หนักแน่น คมคาย และไม่เคยรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้โคตรจะหมาแก่และ cliché แต่อย่างใด นี่คือนิมิตรหมายที่ดีของชาวคณะที่สามารถตกผลึกได้ดีพอเกินกว่าที่จะเอาชนะคนที่ตีตัวออกห่าง
นี่แหละคือการฟังเสียงใจตัวเอง
Top Tracks: Cut The Bridge, Heavy Is The Crown, Casualty, Overflow, Two Faced, IGYEIH
Give 7.5/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา