3 ธ.ค. เวลา 16:56 • หุ้น & เศรษฐกิจ

[ทำไมเศรษฐกิจจีนจึงมีความสำคัญต่อโลก (และสหรัฐฯ)]

ความสำคัญของจีนต่อทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกไม่อาจมองข้ามได้
ในฐานะเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลก นโยบายเศรษฐกิจและทิศทางการเติบโตของจีนมีผลกระทบต่อโลกอย่างลึกซึ้ง
อย่างไรก็ตาม พัฒนาการล่าสุดระหว่างปี 2024-2025 ได้เพิ่มความซับซ้อนที่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์เศรษฐกิจโลก...
[เศรษฐกิจของจีน]
ในไตรมาสแรกของปี 2024 เศรษฐกิจจีนแสดงสัญญาณการเร่งตัว โดย GDP เติบโต 5.3% เมื่อเทียบปีต่อปี เป็นผลจากการส่งออกที่แข็งแกร่งท่ามกลางความต้องการทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การเติบโตของอุปสงค์ภายในประเทศยังคงอ่อนตัวลง สะท้อนถึงความท้าทายเชิงโครงสร้างที่อยู่เบื้องลึก
องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) คาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนจะลดลงเหลือ 4.9% ในปี 2024 และ 4.5% ในปี 2025 อันเป็นผลจากการปรับตัวอย่างต่อเนื่องในภาคอสังหาริมทรัพย์และการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ระมัดระวัง
[ความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น]
ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทวีความตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ในเดือนพฤษภาคม 2024 รัฐบาลของ Joe Biden ได้เพิ่มภาษีศุลกากรสำหรับการนำเข้าสินค้าจากจีนอย่างมาก รวมถึงสินค้า solar cell, แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน, เหล็ก, และอะลูมิเนียม เพื่อตอบโต้สิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ เรียกว่า "การค้าที่ไม่เป็นธรรม" ภาษีเหล่านี้มีกำหนดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 3 ปี โดยมุ่งเน้นที่ภาคส่วนสำคัญ เช่น เซมิคอนดักเตอร์และยานยนต์ไฟฟ้า
ในอีกด้าน จีนโต้ตอบด้วยการจำกัดการส่งออกวัสดุสำคัญที่ใช้ผลิตสินค้าไฮเทค เช่น แกลเลียม เจอร์เมเนียม และแอนติโมนี ไปยังสหรัฐฯ ซึ่งวัสดุเหล่านี้มีความสำคัญต่อการผลิตเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีขั้นสูงอื่นๆ มาตรการของจีนถือเป็นการตอบโต้โดยตรงต่อการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่มุ่งเป้าไปยังบริษัทเทคโนโลยีจีน ซึ่งยิ่งเพิ่มความรุนแรงในความขัดแย้งทางการค้า
[ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก]
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เพิ่มสูงขึ้นมีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) แสดงความกังวลว่าความขัดแย้งเหล่านี้อาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานโลกหยุดชะงัก เพิ่มอัตราเงินเฟ้อ และขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ในรายงาน World Economic Outlook IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตที่ 3.2% ในปี 2024 และลดลงเล็กน้อยเหลือ 3.1% ในปี 2025 สะท้อนถึงความเปราะบางของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน
นอกจากนี้ นโยบายการค้าที่พยายามคุ้มครองเศรษฐกิจในประเทศของสหรัฐฯ อาจนำไปสู่เศรษฐกิจโลกที่แยกส่วน (deglobalization) โดยประเทศต่างๆ จะมองหาพันธมิตรและหุ้นส่วนทางการค้าใหม่ๆ
การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลให้เกิดสถานการณ์ “โลกาภิวัตน์ ไลท์” (Globalization Lite) ที่มีการรวมกลุ่มการค้าระดับภูมิภาค(ใกล้ตัว)มากขึ้นและความพึ่งพิงทางเศรษฐกิจของกันและกันที่ลดลง ซึ่งอาจชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ
[บริษัทข้ามชาติ-ระดับโลกเตรียมปรับตัว]
เนื่องจากจีนมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลกและยังเป็นตลาดผู้บริโภครายใหญ่ ความขัดแย้งทางการค้าที่ต่อเนื่องอาจทำให้บริษัทข้ามชาติต่างๆต้องประเมินกลยุทธ์ใหม่
บริษัทต่างๆ อาจกระจายฐานการผลิตเพื่อลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งนำไปสู่การจัดโครงสร้างใหม่ของเครือข่ายการผลิต (supply chain) ทั่วโลก
นอกจากนี้ จีนยังมุ่งเน้นการพึ่งพาเทคโนโลยีในประเทศ ซึ่งระบุไว้ในโครงการ “Made in China 2025” โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ กลยุทธ์นี้อาจทำให้การแข่งขันด้านเทคโนโลยีทวีความรุนแรงขึ้น และนำไปสู่การเกิดขึ้นของระบบนิเวศคู่ขนาน (Parallel Ecosystems) ซึ่งยิ่งทำให้การทำงานร่วมกันในระดับนานาชาติมีความซับซ้อนมากขึ้น
[สรุป]
บทบาทที่สำคัญของจีนในเศรษฐกิจสหรัฐฯ และโลกเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ช่วงระหว่างปี 2024 ถึง 2025 ได้นำมาซึ่งความตึงเครียดทางการค้าและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
การเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงนี้ต้องอาศัยการมองการณ์ไกล การหาพันธมิตรร่วมมือระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง และนโยบายเศรษฐกิจที่ปรับตัวได้ดี (ยืดหยุ่น) เพื่อให้มั่นใจว่าการเติบโตและความมั่นคงของเศรษฐกิจจะแปรผันไปตามสถานการณ์โลกที่ตึงเครียดด้านการค้ามากขึ้นเรื่อยๆ
โฆษณา