4 ธ.ค. เวลา 02:35 • กีฬา

อาร์เน่อแอบร้าย, นอกบ้าน 5 ใน 6 นัดข้างหน้า, จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดจนถึงตอนนี้คือ?

คิดว่าหลายคนคงได้อ่านจากหลายๆ แหล่งแล้ว แต่ต้องเขียนเหมือนเป็นจดหมายเหตุเผื่อเก็บไว้ในบล็อกหน่อย(ดูลิงก์ในคอมเมนต์) เมื่อหลายๆ เกม โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เริ่มออกมาเปรยบ่อยๆ ว่าอาจจะเป็นเกมสุดท้าย(ที่เจอกับทีมนั้นทีมนี้)
ที่จำได้คือเกมแดงเดือด และล่าสุดคือเกมกับแมนฯ ซิตี้ ที่ซาลาห์พูดว่าอาจจะเป็นเกมสุดท้ายกับแมนฯ ซิตี้(ที่แอนฟิลด์) เขาอยากจะสัมผัสบรรยากาศแบบเต็มที่
เมื่อวานมีแถลงข่าวก่อนเกมของอาร์เน่อ เมื่อนักข่าวถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้จัดการทีมหงส์แดงตอบแบบมีอารมณ์ขัน(ร้ายๆ) มากๆ
“Maybe Mo knows more about the 115 charges, so expects them not to be there next season… it was a joke!”.
“โมอาจจะรู้ดีเกี่ยวกับ115 คดีดังนั้นเขาจึงคิดว่าพวกเขา(แมนฯ ซิตี้)จะไม่อยู่ตรงนั้นในฤดูกาลหน้า... มันเป็นมุกนะ”
อาร์เน่อย้ำต่อว่ามุกนะหลายประโยคหลังจากนี้ เดี๋ยวจะเหมือนกรณีของคาร์ราเกอร์ที่เขียนไปหน้าเพจ เมื่อคาร์ราเกอร์บอกว่าซิตี้ต้องพยายามเพื่อติดท็อป 4 แต่พิธีกรค่ายเดียวกันดันไปตีความว่าคาร์ราบอกว่าซิตี้จะไม่ติดท็อป 4 พี่แกเลยต้องมาย้ำแก้ข่าว
ไปทางตลกซะแล้วบอส... แต่มุกนี้อาจจะทำให้เป๊บสะดุ้งได้เหมือนกัน เรียกว่าอาร์เน่อแอบร้าย แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคต
ประเด็นสัญญาของซาลาห์ผมเขียนไปเมื่อวานนี้ไปย้อนอ่านกันได้ ไม่เล่าซ้ำ จะไม่พูดหลายรอบจนกว่าจะมีอัพเดตสำคัญๆ จริงๆ เพจนี้พูดถึงเรื่องนี้น้อยมากแล้ว อย่างที่บอกว่าเข้าใจเอฟเอจี แต่ก็ตามที่เขียนไป
อาร์เน่อก็แอบมีความเกรียนอยู่ไม่น้อย
แม้ว่าจะนำซิตี้ 11 แต้ม แต่แฟนบอลลิเวอร์พูลคงไม่ต้องให้บางทีมมาเตือน(แฟนบอลทีมบอกว่าพวกเขาเคยนำ 8 แต่พลาด) อยากบอกว่าหงส์เคยนำมากกว่านี้มาแล้ว(โว้ย) ดังนั้นถ้ามองแค่อันดับ 2 นำ 9 แต้ม เด็กหงส์รู้ดีว่าไม่ควรย่ามใจ ส่วนใครจะแห่ หรือชูถ้วย อันนี้ผมว่าเป็นคอนเทนต์เท่านั้น ผมว่าลึกๆ ทุกคนรอให้ห่างกว่านี้!
แต่ฟอร์มช่วงนี้ มาตรฐาน เกมรับ แดนกลาง เกมรุก ไม่ว่ามองจากมุมไหน ลิเวอร์พูลดูมีโอกาสดีจริงๆ
ในขณะที่หลายทีมบอกพยายามจะไล่บี้ลิเวอร์พูล ใครขอให้ยอมล่ะ! ลิเวอร์พูลมีคิวต้องเล่นนอกบ้าน 5 จาก 6นัดข้างหน้า
เริ่มจาก 2 เกมหน้าในไม่กี่วันคือการไปเยือนนิวคาสเซิล และเอฟเวอร์ตัน ตามด้วยไปเยือนคิโรน่าในสเปน
กลับมาเล่นในบ้านกับฟูแล่ม และไปเยือนเซาท์แฮมป์ตันในลีก คัพ สุดท้ายจะต้องไปเยือนสเปอร์สอีก
แวบแรกที่ผมเห็นพาดหัวข่าว นอกบ้าน 4 นัด อันตรายอยู่นะ แต่มันเป็น 2 เกมในบอลถ้วย ดังนั้นในพรีเมียร์ลีกจะเล่นนอกบ้าน 3 จาก 4 นัด แต่ช่วงเทศกาลเราจะเล่นในบ้าน 2 จาก 3 นัด ดูเหมือนเล่นนอกบ้านเยอะ แต่ภาพรวมไม่ได้น่าห่วงจนเกินไป
เริ่มจากเกมเยือนนิวคาสเซิลคืนนี้ อีกครั้งที่หลายคนอาจจะบอกว่าเราเจอทีมขาลง แล้วไง? เอาจริงๆ สุดท้ายเราต้องเจอกับทุกทีมอยู่ดี
เกมคืนนี้ไม่ง่ายแน่ๆ แต่ถ้าพูดถึงการเดินทางล้วนๆ การกลับมาเจอเอฟเวอร์ตันในนัดต่อมา อย่างน้อยๆ ก็อยู่ในเมืองลิเวอร์พูล เรารู้ว่าเป็นเกมหนัก ไม่ง่าย เอฟเวอร์ตันจะสู้ที่สุดตอนเจอกับลิเวอร์พูล สองเกมนี้ถ้าผ่านไปได้ลิเวอร์พูลจะอยู่ในสถานการณ์ดีมาก แต่ถ้าพลาดก็เหนื่อยขึ้นได้เหมือนกัน
เส้นทางอีกยาวไกลอย่างที่อาร์เน่อบอก
หลังจากนั้นเราจะเจอกับคิโรน่าทีมลูกของซิตี้ในสเปน ตามหน้าเสื่อเราเป็นต่อแน่ แต่ก็เป็นอีกเกมที่จะไม่ง่าย เพียงแต่กับตำแหน่งในตอนนี้ ถ้าพลาดจริงๆ ก็ยังอยู่ในจุดที่ดีสำหรับการเข้ารอบ
ทีมที่ดีคือทีมที่ชนะได้ทุกๆ 3 วัน อาร์เน่อตั้งโจทย์กับตัวเองไว้ เขาเตรียมการณ์ไว้แน่ๆ จากการเปลี่ยนตัว และปรับตัวจริงในเกมกับซิตี้ แต่อย่างว่ายังไม่มีอะไรรับประกัน
หลังจากนั้นลิเวอร์พูลจะเล่นในบ้านกับฟูแล่ม ก็ยังเป็นสุดสัปดาห์ที่ได้อยู่ในลิเวอร์พูล ก่อนจะไปเยือนเซาท์ฯ ในลีก คัพ อันนี้เดินทางลงใต้เหนื่อยหน่อย และสุดสัปดาห์จะไปเยือนสเปอร์สอีก ผมขอตัดถึงพีเรียดนี้ก่อนจะไปถึง 3 เกมเทศกาล
แต่ละเกมตอนนี้มีความหมายมาก เพราะเกมนอกบ้านตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาลไม่มีครั้งที่ชนะง่ายๆ (ยกเว้นที่โอลด์แทร็ฟฟอร์ด) ดังนั้นต้องลุ้นทุกนัดแน่ๆ แต่กลับกันถ้าทำได้สำเร็จทีมที่ตามมานั่นแหล่ะจะพลาด หรือจะท้อไปเองหรือไม่ เพราะใช่ว่าพวกเขาจะชนะต่อเนื่องได้หมด
สุดท้ายก็ต้องดูไปนัดต่อนัดอยู่ดีนะอาร์เตต้า!
ช่วงนี้แวะไปหาปืนใหญ่บ่อยๆ เพราะทั้งเป๊บ และอาร์เตต้าดูจะร้อนรนกันแปลกๆ รายหลังนี่พูดถึงอาร์เน่อในสกายหลังเกมกับเวสต์แฮมประมาณว่ามาตรฐานแบบนี้(ลิเวอร์พูล) อยากจะรักษาไว้ได้ ทีมของเขาเคยเจอแบบนี้มาแล้วที่สะดุดนัดเดียวทุกอย่างพังลงมา
ถ้ามองว่าไซโคทีมของเราอยู่ก็อาจจะมองอย่างนั้นได้ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ต้องดูกันในสนามอยู่ดี เฉพาะคืนนี้ก็มีเกมน่าสนใจตั้งแต่ นิวคาสเซิล-ลิเวอร์พูล, อาร์เซนอล - แมนฯ ยูไนเต็ด, แมนฯ ซิตี้ - ฟอเรสต์ และเซาท์แฮมป์ตัน – เชลซี
ที่แน่ๆ แฟนหงส์โฟกัสกับคู่ตัวเองไว้ก่อนได้เต็มที่
+
+
+
มาที่ความเห็นถึงจุดนี้ของฤดูกาล ผมเคยเขียนถึง 10 เรื่องประทับใจในตัวอาร์เน่อจนถึงตอนนี้แล้ว แต่ก็ขยายในส่วนของไรอัน กราเฟนแบร์คอีกครั้ง
เกมชนะซิตี้ 2-0 กราเฟนแบร์คไม่ได้แย่งแมน ออฟ เดอะ แมตช์จากฟาน ไดค์ และซาลาห์ แบบที่คาร์ราแซวกลับโมว่าไปเจอกันที่ลานจอดรถ(แซวรอย คีนไปอีกหนึ่งต่อ) แต่ฟอร์ม และความสม่ำเสมอของเขาไม่เป็นรอง 2 คนที่แฟนรอให้ต่อสัญญาอยู่เลย
การปรับเขามายืนตรงนี้ กราเฟนแบร์กทำให้ลิเวอร์พูลเหมือนกับมีเบอร์ 6 เบอร์ 8 และเบอร์ 10 ในเวลาเดียวกัน (ต้องให้เครดิตเป๊บที่พูดเรื่องนี้จนมีไอเดียเขียน!)
“การต่อสู้กับกราเฟนแบร์ค กราเฟนแบร์คเป็นเบอร์ 10 การคุมเกมของเขามหัศจรรย์มากในเกมรุก” กวาร์ดิโอล่ากล่าวหลังเกมล่าสุด เขายังยอมรับว่าแดนกลางในเกมล่าสุดสู้ลิเวอร์พูลไม่ได้
แม้แต่เป๊บยังเห็นความเป็นเบอร์ 10 ในตัวเขาจากเกมล่าสุด ทั้งที่ทุกคนรู้ว่าเขายืนเหมือนเป็นเบอร์ 6 (กองกลางตัวรับ)มากกว่า
ซึ่งคำพูดนี้อธิบายได้ดีมากจริงๆ ในส่วนของเกมรับเกมล่าสุดเขาโดนใบเหลือง ในจังหวะที่นักเตะลิเวอร์พูลเหมือนจะเล่นกันไปนิดหน่อย ในเกมนั้นเราจะเห็นความผ่อนคลายในเกม บางทีก็มากไปอย่างตอนที่ฟาน ไดค์พลาด(จะเรียกประมาทก็ได้)
ในขณะที่นักเตะซิตี้เครียดไปประท้วงจุดโทษ โม ซาลาห์ก็เดาะบอลเล่น มันสะท้อนให้เห็นสภาพจิตใจของทั้งสองทีมที่ต่างกันมากจริงๆ นักเตะลิเวอร์พูลดูจะผ่อนคลายมากขึ้นในยุคของอาร์เน่อ แต่ก็เช่นกันในจุดนี้ที่ต้องระวังไว้ว่าอย่าให้มากเกินไป
กราเฟนแบร์คเป็นนักเตะที่ผมชื่นชอบตั้งแต่ซื้อมา เป็นดีลที่คุ้มค่า อายุน้อย แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะเล่นได้ดีขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เขาไม่ค่อยได้รับโอกาสในบาเยิร์น จนผมสงสัยว่าจะมีปัญหาเรื่องวินัย หรือทัศนคติหรือเปล่า แต่เขาก็ทำหน้าที่ตามสั่งของคล็อปป์ได้ดี
การเป็นลูกศิษย์ของคล็อปป์นั้นไม่รู้มีส่วนช่วยหรือไม่ แต่การเรียนรู้ประสบการณ์ที่ต้องนั่งในเยอรมนี การได้โอกาสมากขึ้นในลิเวอร์พูลของคล็อปป์ อาจจะทำให้เขาเรียนรู้ความเป็นมืออาชีพมากขึ้น และในวัย 22 ปี ย้ำว่าเพิ่ง 22 ปี เขาจะเป็นการซื้อที่คุ้มค่าอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะทำได้ดีขนาดนี้ในยุคของอาร์เน่อ ตอนเริ่มฤดูกาลเชื่อว่าหลายคนมองว่าอย่างมากเขาจะเป็นตัวหมุน หรือปรับเปลี่ยนลงมา หรือเป็นตัวจริงในช่วงใดช่วงหนึ่งของฤดูกาล หลายคนชอบเอนโดะมาก แต่ตอนนี้ไม่มีใครโต้เถียงว่าเขาควรเป็นตัวจริงอีกแล้ว
ในขณะที่กองกลางอีก 3 คนอย่างโซโบ, แม็คก้า หรือโจนส์ยังมีสลับลงมา แต่กราเฟนแบร์กเป็นนักเตะที่ขาดไม่ได้
เขามีเกมรับในลักษณะของเบอร์ 6 ที่ไม่ได้เข้าบอลหนักหน่วงแบบเอนโดะ แต่การอ่านจังหวะ ลูกตอดเข้าไปแย่งบอลทำได้ดีมาก เขาเลี้ยงบอลได้ดี จนที่บอกว่าเหมือนเบอร์ 8 ในการพาบอลจากรับเป็นรุก เป็นจอมทัพเบอร์ 10 ในเกมรุกเมื่อเปิดบอล
และการพลิกบอลจากความสามารถในการเป็นตัวรุกมาก่อน กลายเป็นประโยชน์ในการเปลี่ยนจังหวะเกม การเลี้ยงของเขา ผมขอเติมว่าสามารถเป็นเบอร์ 7,11(ปีก) ได้ด้วยซ้ำ แต่เพราะตำแหน่งที่เขายืนอยู่ในตอนนี้มันอันตรายหากจะเลี้ยงฝ่าคู่แข่ง ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องทำบ่อยๆ และในฤดูกาลนี้เขาเลือกทำได้ถูกสถานการณ์เป็นส่วนใหญ่
ลิเวอร์พูลเคยมีเฮนเดอร์สัน และฟาบินโญ่ในจุดนี้ แต่กราเฟนแบร์คทำได้ดีในหลายๆ จุดเหมือนสองคนนี้รวมกัน
กลายเป็นว่าที่เราเคยมีข่าวกับชูอาเมนี่, นูเนส หรือย้อนไปตัวที่พลาดอย่างไกเซโด้ หรือลาเวีย ตอนนี้ผมไม่เสียดายหรือต้องการเพิ่มเลย
กราเฟนแบร์คทำให้ลิเวอร์พูลประหยัดเงินไปเยอะมาก จากที่ร่ำร้องว่าทีมไม่เสริมทัพเลยในช่วงซัมเมอร์ กลายเป็นตอนนี้ทีมไม่ได้ดูขาดอะไรไปเลย แม้จะบอกว่าคล็อปป์สร้างทีมไว้ดี แต่อาร์เน่อคือการจับเขามาเล่นในจุดนี้ จุดที่สร้างประโยชน์ให้กับทีมทุกรูปแบบ
เขาลงตัวจริง 13 เกมให้ลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีก เรียกว่าเป็นคนที่ขาดไม่ได้ รวมถึง 5 นัดในแชมเปียนส์ลีก สถิติการจ่ายบอลอยู่ที่ราวๆ 90% ในสองรายการใหญ่ แบบไม่ได้จ่ายคืนหลังเป็นหลัก!
อาจจะยังมีแอสซิสต์เดียวในพรีเมียร์ลีก และการพิจารณาจากสถิติอาจจะไม่เห็นความโดดเด่นเพียงพอ ใน whoscored มักจะใส่จุดแข็ง และจุดอ่อนของนักเตะจากสถิติเอาไว้ จุดแข็งของกราเฟนแบร์กคือยิงไกล, การเลี้ยง และการตัดบอล แต่จุดอ่อนไม่มี!
เดี๋ยวจะบอกว่าอวยเกินไป คำว่าไม่มีในที่นี่นิยามของเว็บฯ คือ Player has no significant weaknesses ซึ่งหมายถึงไม่มีจุดอ่อนอย่างมีนัยสำคัญ หรือชัดเจนจากข้อมูล ขณะที่สไตล์ของเขาคือชอบเลี้ยง และจ่ายบอลสั้น
บางคนอาจจะมองเห็นจุดอ่อนของเขาได้ แต่ในภาพรวม เขาไม่ได้เป็นจุดอ่อนให้คู่แข่งเล่นงาน ยกตัวอย่างกดไปดูเพื่อนร่วมทีมอย่างเคอร์ติส โจนส์ เว็บฯ ดังกล่าวระบุไว้ว่าคือการดวลกลางอากาศ และวินัย เช่นกันกับแม็คก้า ขณะที่โซโบเป็นการจบสกอร์ และเข้าสกัด
แน่นอนว่าสถิติในส่วนเกมรุกของกราเฟนแบร์คอาจจะไม่มาก แต่โดยหน้าที่ กับ 3 ใบเหลืองเท่านั้นในตอนนี้ มันน่าทึ่งมากที่เขาเล่นได้อย่างสมบูรณ์แบบขนาดนี้ ผมคิดว่ามีแค่ช่วงต้นฤดูกาลไม่กี่นัดที่ดูขัดๆ เขินๆ ในบางจังหวะเท่านั้น
ในส่วนของการตัดบอล กราเฟนแบร์คอยู่อันดับ 4 ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล(24 ครั้ง) เป็นรองแค่ฟาน ไดค์กับมาริโอ เลมิน่าของวูล์ฟส์(25) และเคนนี่ เตเต้ของฟูแล่ม(28) ในนี้มีนักเตะดัตช์ถึง 3 คน!
จุดเปลี่ยนที่สำคัญทีสุดจนถึงตอนนี้คือการปรับมาเล่นตรงนี้ของกราเฟนแบร์คที่ทำให้ได้ฉายแสงแสดงความสามารถที่มีอยู่รอบด้านออกมา โดยเฉพาะ “การคุมจังหวะ” ที่มีส่วนสำคัญที่สุดของฟุตบอลยุคนี้ และทีมของอาร์เน่อ
จนถึงเวลานี้ในขณะที่หลายๆ ทีมอาจจะหวังเห็นจุดเปลี่ยนอย่างอื่น แต่ดูเหมือนจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดมันอาจจะเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาล วันที่กราเฟนแบร์คได้ยืนในตำแหน่งนี้ ตำแหน่งที่เขาได้กลายเป็นทั้งเบอร์ 6 เบอร์ 8 เบอร์ 10 และผมเติมให้ว่าเป็นเหมือนเบอร์ 7 อีกตำแหน่งเลย
หวังว่านี่จะเป็นจุดตัดสินฤดูกาลที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ลิเวอร์พูลเคยมีตำนานนักเตะตัว G ในแดนกลางมาแล้ว จะมีอีกคนก็คงไม่แปลกอะไร...
จินตะปัญญา
โฆษณา