4 ธ.ค. เวลา 09:50 • ข่าวรอบโลก

จาก ‘เคียฟ’ สู่ ‘ดามัสกัส’: มือที่แอบซ่อนของยูเครนใน “สงครามกลางเมืองซีเรีย” ที่ปะทุขึ้นครั้งล่าสุด

ในสงครามกลางเมืองซีเรียครั้งใหม่ “ปูตินจะช่วยอัสซาดได้มากน้อยแค่ไหน”
1
นักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนพูดถึงการประสานงานระหว่าง “กลุ่มกบฏซีเรีย” และ “ยูเครน” กลุ่มกบฏซีเรียเคยประสานงานกับยูเครนในประเด็นการต่อต้านข้อมูลเท็จของรัสเซียและให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์มาแล้วหลายครั้ง โดย “มูอัซ มุสตาฟา” ผู้อำนวยการของหน่วยงานด่านหน้าฉุกเฉินในซีเรียซึ่งเป็นองค์กรสิทธิมนุษยชน (เอ็นจีโอ) ของสหรัฐฯ ที่ต่อต้านรัฐบาลกลางซีเรียของอัสซาดได้แจ้งเรื่องนี้กับเดอะนิวยอร์กไทมส์แล้วมีการนำมาเผยแพร่ในสื่อดังกล่าวเมื่อ 3 ธันวาคม 2024 [1][2]
ภาพข่าวของ NYT เมื่อ 3 ธันวาคม 2024
“ทั้งสองกลุ่ม (ยูเครน กับ กบฏซีเรีย) กำลังต่อสู้โดยมีเป้าหมายเดียวกันเพื่อให้แน่ใจว่าดินแดนของตนปลอดจากการกดขี่และการยึดครองจากภายนอก เป็นเรื่องธรรมดาที่ทั้งสองจะประสานงานกันร่วมกันได้” มุสตาฟากล่าว
มุสตาฟายังกล่าวด้วยว่า เขารู้ล่วงหน้าว่ากลุ่มกบฏซีเรียกำลังเตรียมการบุก (อเลปโป) ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่รู้สึกประหลาดใจกับความรวดเร็วของการโจมตีบุกครั้งนี้ เขากล่าวว่าปัจจัยหนึ่งในการรุกครั้งนี้คือความปรารถนาที่จะช่วยยูเครนและ “โจมตีศัตรูร่วมอย่างรัสเซีย”
ปัจจัยอื่นๆ ที่เขากล่าวถึง เช่น การระเบิดของเพจเจอร์ของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน และการโจมตีของอิสราเอลต่อผู้นำกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่านในซีเรีย กลุ่มกบฏซีเรียศึกษาความเสียหายที่เกิดจากการโจมตีเหล่านั้น และตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่จะเปิดฉากโจมตีด้วยตนเองแล้ว มุสตาฟากล่าว
มูอัซ มุสตาฟา (ขวา) เครดิตภาพ: The Islamic Post
นอกจากนี้เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา Al Mayadeen สื่อของเลบานอนอ้างแหล่งข่าวรายงานว่า หน่วยหมาป่าขาวของศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ SBU (หน่วยงานความมั่นคงของยูเครน) กำลังสู้รบอยู่เคียงข้างกลุ่มกบฏในซีเรีย [3]
สื่อเลบานอนดังกล่าวยืนยันข้อมูลที่รายงานด้วยรายงานที่เผยแพร่โดย RIA Novosti สื่อทางการของรัสเซียเมื่อวันก่อน โดยอ้างแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับหน่วยพิเศษของรัฐบาลกลางซีเรียรายงานเกี่ยวกับการสนับสนุนกลุ่มกบฏในซีเรียโดยที่ปรึกษาของยูเครน [4] (Al Mayadeen เป็นสื่อที่สนับสนุนอิหร่านและรัฐบาลกลางซีเรียของบาชาร์ อัล-อัสซาด)
1
ภาพข่าวของ Al Mayadeen เมื่อ 3 ธันวาคม 2024
บริบทก่อนหน้านี้เกิดการบุกโจมตีอย่างรวดเร็วของกลุ่มกบฏซีเรีย ซึ่งนำโดยกลุ่ม Hayat Tahrir al-Sham (HTS) เริ่มปฏิบัติการขึ้นในเช้าวันที่ 27 พฤศจิกายน 2024 ความก้าวหน้าครั้งนี้เป็นไปได้ส่วนหนึ่งจากการที่รัสเซียลดจำนวนกองกำลังในประเทศซีเรีย โดยย้ายนักรบที่เป็นทหารรับจ้างของกลุ่มวากเนอร์ที่เคยประจำการในซีเรียไปยังแอฟริกา
กลุ่มกบฏ HTS ก่อตั้งขึ้นจากการควบรวมระหว่างอดีตกลุ่มพันธมิตรของอัลกออิดะห์ในซีเรียและกลุ่มอื่นๆ โดยผู้นำของกลุ่มคือ Abu Muhammad al-Julani ได้ยุติความสัมพันธ์กับอัลกออิดะห์อย่างเปิดเผยในปี 2016 โดยมีตุรกีอยู่เบื้องหลังสนับสนุน [5]
เมื่อวันเสาร์ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กลุ่มกบฏ HTS ได้บุกเข้าไปในเมืองใหญ่เป็นอันดับสองของซีเรีย “อเลปโป” จากนั้นพวกเขาเรียกร้องให้มอสโกพิจารณาผลประโยชน์ในซีเรียและบทบาทของตนในความขัดแย้งอีกครั้ง ในคำประกาศถึงมอสโก พวกเขากล่าวว่า “พวกเขาไม่ได้ดำเนินการเพื่อเป็นปริปักษ์ต่อประเทศหรือประชาชนชาติใดรวมถึงรัสเซียด้วย” [6]
1
ต่อเรื่องนี้รัสเซียได้สั่งถอนเรือรบสนับสนุนที่ชื่อว่า “เยลเนีย” ออกจากฐานทัพเรือในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่ทาร์ทัสของซีเรียเมื่อเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ระบุว่า นี่อาจเป็นสัญญาณแรกที่บ่งชี้ว่ารัสเซียกำลังเตรียมถอนเรือรบเพิ่มอีกออกจากฐานทัพเรือในซีเรีย เนื่องจากกลุ่มกบฏในซีเรียรุกคืบอย่างรวดเร็ว [7][8][9]
เครดิตภาพ: TheNewArab
ความเหิมเกริมของกลุ่มกบฏซีเรียครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นไปได้เนื่องจากอิหร่านและรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดของซีเรียตั้งแต่สงครามกลางเมืองเริ่มต้นปะทุขึ้นในประเทศเมื่อปี 2011 ทั้งคู่กำลังยุ่งอยู่กับความขัดแย้งของตนเอง (รัสเซีย-ยูเครน อิหร่าน-อิสราเอล) แล้วรัสเซียมีศักยภาพเพียงพอที่จะให้การสนับสนุนที่อัสซาดต้องการเพื่อต่อต้านกลุ่มกบฏหรือไม่ แม้ว่าสงครามในยูเครนยังเดินต่อไป
1
  • จาก “พื้นที่ทำตัวตามสบาย” สู่ “พื้นที่วิกฤต”
เมื่อวันอาทิตย์ 1 ธันวาคม 2024 หรือสี่วันหลังจากการรุกคืบของกลุ่มกบฏซีเรียในซีเรียตะวันตกเฉียงเหนือเริ่มขึ้น บล็อกเกอร์ด้านทหารของรัสเซียเริ่มรายงานว่า “เซอร์เกย์ คิเซล” นายพลผู้บังคับบัญชากองกำลังรัสเซียในซีเรียถูกปลดจากตำแหน่ง [10]
นายพลคิเซลถูกส่งไปซีเรียครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม 2022 หลังจากกองทัพรถถังที่ 1 ของรัสเซียภายใต้การบังคับบัญชาของเขา ล้มเหลวในการยึดเมืองคาร์เคียฟของยูเครนในช่วงต้นของการบุกยูเครนของรัสเซีย หากรายงานการปลดคิเซลเป็นความจริง ก็คงไม่น่าแปลกใจมากนัก [11]
ตามที่ผู้เชี่ยวชาญอย่าง ฮามิดเรซา อาซิซี และ นิโคล กราเยฟสกี ระบุไว้ในบทความของ Foreign Policy เมื่อ 2 ธันวาคม 2024 - รัสเซียถือว่าบทบาทของตนในการช่วยให้รัฐบาลของอัสซาดยึดเมืองอเลปโปคืนได้ในปี 2016 เป็น “ความสำเร็จครั้งสำคัญในซีเรีย” การที่เมืองนี้ถูกกองกำลังกบฏยึดครองจึงเป็น “ความท้าทายเชิงสัญลักษณ์ต่อคำกล่าวอ้างของรัสเซียว่าสามารถกำหนดอนาคตของซีเรียได้อย่างเด็ดขาดในอดีต” [12]
1
อาซิซี และ กราเยฟสกี ยังชี้ให้เห็นด้วยว่าการมีกำลังทหารของรัสเซียในซีเรียเป็นส่วนสำคัญของการแผ่อิทธิพลในภูมิภาคที่กว้างขึ้น โดยเปิดทางให้รัสเซียสามารถเข้าถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้ผ่านฐานทัพเรือในทาร์ทัส (เพิ่งมีการยืนยันในการเริ่มถอนเรือรบรัสเซียออกไปลำหนึ่ง) และทำให้รัสเซียสามารถรักษาบทบาทในฐานะผู้เล่นหลักในซีเรียและใกล้เคียงได้ผ่านฐานทัพอากาศ Khmeimim
นักข่าว Pjotr Sauer สะท้อนประเด็นนี้โดยเขียนใน The Guardian ว่าการที่รัสเซียสนับสนุนซีเรียถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศและทำให้ซีเรียสามารถ “กลับมายืนหยัดในฐานะผู้มีอิทธิพลบนเวทีโลกได้อีกครั้ง” Hannah Notte ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของรัสเซียเรียกว่าการสูญเสียเมืองอเลปโปว่าเป็น “การโจมตีที่ทำลายชื่อเสียงและหักหน้ารัสเซีย” [13]
เครดิตภาพ: Hassan Ammar / AP
สื่อต่อต้านเครมลินเขียนบทความรายงานว่า แม้แต่ช่องเทเลแกรมที่สนับสนุนสงครามของรัสเซียยังวิพากษ์วิจารณ์ไม่เพียงแต่นายพลคิเซลเท่านั้น แต่ยังวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่พวกเขา “เหมารวมทั้งระบบ” ของมอสโกในการส่งนายพลที่เคยทำปฏิบัติการผิดพลาดในยูเครนไปยังซีเรียอีกด้วย “พื้นที่สบายๆ ของซีเรียเป็นเหมือนที่ฟอกชื่อเสียงของนายพลที่ล้มเหลวซึ่งพิสูจน์ได้ว่าไร้ความสามารถในเขตปฏิบัติการพิเศษทางทหารมานานแล้ว” ช่องยอดนิยม Rybar เขียน
รัสเซียได้ส่งนายพลที่ไม่ประสบความสำเร็จในยูเครนไปประจำการในซีเรียในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “อาจเป็นเพราะมีการหยุดยิงมานานแล้วในซีเรีย ซึ่งหมายความว่าไม่มีอะไรจะยุ่งเหยิงที่นั่น” และก่อนการบุกยูเครนเต็มรูปแบบ ซีเรียเป็นสถานที่ที่นายพลรัสเซียจะใช้ “พิสูจน์ตัวเอง” ส่งผลให้เจ้าหน้าที่รัสเซียส่วนใหญ่ที่เข้ามาในซีเรียมีความคิดเกี่ยวกับยุทธวิธีทางทหารที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งมักไม่สอดคล้องกับสงครามในยูเครน
1
อ้างอิง: [14]
ตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2022 (สงครามยูเครนเริ่มต้น) รัสเซียได้รักษาฐานทัพทหารบางแห่งในซีเรียและปล่อยให้กองกำลังบางส่วนอยู่ในประเทศ แต่ยังได้ถอนกำลังทหารจำนวนมากออกไปเพื่อช่วยบุกยูเครน กองกำลังเหล่านี้รวมถึงกองพลรบพิเศษ หน่วยทหารรับจ้างวากเนอร์ เฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินทิ้งระเบิด SU-34 บางส่วน และหน่วยปืนใหญ่จำนวนมาก
“กองกำลังที่เหลือ (ในซีเรีย) ซึ่งปฏิบัติการแบบผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน ได้แก่ หน่วยรบพิเศษบางหน่วย หน่วยรักษาความปลอดภัยสำหรับฐานทัพอากาศและฐานทัพเรือทาร์ทัส และส่วนหนึ่งของกองบิน” เชื่อกันว่าข้อตกลงปี 2020 ของ “ปูติน” กับ “เออร์โดกัน” จะรับประกันความมั่นคงของซีเรียได้ นั่นหมายความว่ารัสเซียถือว่าจำนวนทหารที่เหลืออยู่ในซีเรียที่ผ่านมาเพียงพอแล้ว [15]
ปูตินจับมือกับเออร์โดกันเพื่อตกลงหยุดยิงในเมืองอิดลิบของซีเรียเมื่อปี 2020 เครดิตภาพ: AA via Getty Images
ในขณะเดียวกันแม้ว่าจะมีสงครามในยูเครน เชื่อว่ารัสเซียยังสามารถแทรกแซงซีเรียได้ในระดับเดียวกับที่เริ่มตั้งแต่ปี 2015 “แต่จะเป็นไปได้ที่สุดหากอิหร่านส่งกลับกองกำลังเข้ามาในซีเรียให้เท่ากับระดับเดิมที่เคยเป็น รวมถึงกองกำลังติดอาวุธที่อิหร่านควบคุมจากอิรัก อัฟกานิสถาน ปากีสถาน และกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ของเลบานอน” “อิหร่านมักจะส่งปืนใหญ่สำหรับการปฏิบัติการร่วมในซีเรีย รัสเซียอาจส่งกองกำลังพิเศษกลับไปประจำการ แต่การทำเช่นนี้อาจทำให้แนวรบในยูเครนอ่อนแอลงไปบ้างเล็กน้อย” [16]
อย่างไรก็ตามรัสเซียจะต้องเอาชนะอุปสรรคด้านการลำเลียงที่สำคัญ เนื่องจากตุรกีสั่งปิด “ช่องแคบบอสฟอรัส” และ “ช่องแคบดาร์ดาแนลส์” ไม่ให้เรือทหารทุกลำเข้าในปี 2022 “ไม่น่าเป็นไปได้ที่รัสเซียจะสามารถใช้เส้นทางพิเศษที่ชื่อ ‘ซีเรียเอ็กซ์เพรส’ (Syrian Express) ได้เหมือนอย่างที่เคย ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาในการจัดส่งเสบียงและกำลังพลให้ได้ตามที่ต้องการ” ผู้เชี่ยวชาญกล่าว [17]
เส้นทางเดินเรือพิเศษของรัสเซียที่ชื่อว่า Syrian Express (จากท่าเรือในทะเลดำไปที่ฐานทัพเรือทาร์ทัสในซีเรีย) AIS data provided by Geollect, RUSI OSIA
เมื่อตุลาคม 2023 ในบทความของ Carnegie Endowment ที่กล่าวถึงซีเรียว่าเป็น “สมรภูมิที่ถูกลืมของรัสเซีย” นิกิตา สมากิน ผู้เชี่ยวชาญด้านกิจการระหว่างประเทศเขียนว่า “การอ่อนลงของอิทธิพลของรัสเซีย [ในซีเรีย] ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากการแยกย้ายของกลุ่มวากเนอร์อย่างเป็นทางการ” [18]
ข้อเท็จจริงก็คือว่ากลุ่มวากเนอร์ทำงานในซีเรียตามที่กระทรวงกลาโหมรัสเซียมอบหมายได้ไม่ดีนัก เช่น พัฒนาแหล่งน้ำมัน สร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มคนในพื้นที่ เสริมกำลังรัสเซียในพื้นที่แห่งใหม่รอบข้าง และดำเนินการลาดตระเวนพลเรือน เป็นเพราะว่ากองทัพรัสเซียไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเพื่อรับมือกับภารกิจดังกล่าวได้แบบชั่วข้ามคืนหรือในระยะเวลาไม่นาน
แม้ว่านักรบของกลุ่มวากเนอร์จำนวนมากยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกองทัพรัสเซียหรือในกลุ่มแยกย่อยที่ปฏิบัติภารกิจในแอฟริกา แต่การที่กลุ่มวากเนอร์แตกแยกออกเป็นกลุ่มต่างๆ จึงเกิดขาดการรวมศูนย์สั่งการ กองกำลังของอดีตกลุ่มวากเนอร์ที่กำลังสู้รบในแอฟริกา (ตอนนี้ใช้ชื่อว่า Africa Corps) จึงไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในซีเรียได้อย่างชัดเจน
1
เครดิตภาพ: African Digital Democracy Observatory
  • บทสรุปส่งท้าย:
“รัสเซีย” และ “ตุรกี” ต่างฝ่ายต่างสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามกันของความขัดแย้งในซีเรียมาเป็นเวลานานแต่ยังคงรักษาความสัมพันธ์ในการทำงานระหว่างกันซึ่งทำให้ตุรกียังสามารถทำหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างรัสเซียและยูเครนได้ ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าการพัฒนาของสถานการณ์ในซีเรียจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและตุรกีอย่างไร
เราไม่ทราบว่าขณะนี้มีข้อตกลงไม่เป็นทางการใดระหว่างปูตินกับเออร์โดกันบ้าง มีทฤษฎีสมคบคิดหนึ่งที่ระบุว่า “ปูตินได้ขายอัสซาดให้กับเออร์โดกัน” เพื่อแลกกับบางสิ่งที่สำคัญหรือกับความสัมพันธ์ในอดีตของพวกเขา นอกจากนี้เรายังไม่ทราบว่าตุรกีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางแผนปฏิบัติการ [ที่เมืองอเลปโป] ของกลุ่มกบฏซีเรีย (HTS) มากน้อยเพียงใด แม้ว่า HTS จะร่วมมือกับตุรกีแต่ก็ไม่ได้ขึ้นตรงต่อทางการอังการาโดยสิ้นเชิง “กองกำลังฝักไฝ่ตุรกีนี้มาจากดินแดนในเขตปกครองของชาวเคิร์ดทางเหนือของอเลปโป” [16]
เมื่อเย็นวันอังคารที่ผ่านมา TASS สื่อทางการรัสเซียรายงานว่า “ปูติน” และ “เออร์โดกัน” โทรศัพท์หารือกันเกี่ยวกับสถานการณ์ในซีเรีย เครมลินรายงานว่าผู้นำทั้งสอง “เน้นย้ำถึงความสำคัญของการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่าง รัสเซีย-ตุรกี-อิหร่าน ในกระบวนการแก้ไขสถานการณ์ในซีเรีย” [19]
ก่อนหน้านี้เมื่อไม่กี่เดือนก่อน สื่อของกลุ่มนักข่าวตะวันออกกลางที่รายงานเป็นภาคภาษาอังกฤษอย่าง The Cradle ได้ลงบทความจั่วหัวประมาณว่า “สหรัฐเป็นผู้อยู่เบื้องหลังปั่นหัวกลุ่มตัวแทนหัวรุนแรงในซีเรียและกองกำลังยูเครนให้ขึ้นมาก่อสถานการณ์ความไม่สงบ เพื่อหวังต่อต้านอิทธิพลของรัสเซียในซีเรีย” ดังนั้นพอมาปะติดปะต่อก็เข้าล็อคกับข่าวที่รายงานไว้ในตอนต้นและหัวเรื่องของบทความนี้ เป้าหมายของพวกเขาก็คงต้องการบั่นทอนทรัพยากรของรัสเซีย [20]
2
อ้างอิงบทความดังกล่าวจากลิงก์ด้านล่างนี้
เรียบเรียงโดย Right Style
4th Dec 2024
  • เชิงอรรถ:
<ภาพปก: ภาพนักรบติดป้ายธงชาติยูเครนคู่กับนักรบที่เชื่อว่าเป็นกลุ่มปลดปล่อยซีเรียจากอัสซาด ภาพนี้เริ่มเผยแพร่บนโลกออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ กันยายน 2022 ไม่ใช่รูปใหม่ในปัจจุบัน เครดิต: social network>
โฆษณา