4 ธ.ค. เวลา 12:19 • ธุรกิจ
เรื่องค่าบริการโทรศัพท์มือถือที่เพิ่มขึ้นหลังการควบรวมกิจการนั้นเป็นประเด็นสำคัญที่สะท้อนถึงผลกระทบของการผูกขาดตลาดและการขาดการแข่งขันอย่างชัดเจน มาดูคำถามของคุณทีละข้อนะครับ…..
1. การอนุมัติให้บริษัทเอกชนควบรวมกิจการมีผลเสียต่อผู้บริโภคหรือไม่ ? และจะแก้ไขอย่างไร ?
ผลกระทบต่อผู้บริโภค….
📌 ราคาเพิ่มสูงขึ้น —>> การควบรวมกิจการมักนำไปสู่การลดจำนวนผู้เล่นในตลาด เมื่อการแข่งขันน้อยลง บริษัทที่เหลืออยู่มีอำนาจในการกำหนดราคาสูงขึ้น เนื่องจากไม่มีแรงกดดันจากคู่แข่ง
📌 คุณภาพบริการ —>> หากไม่มีคู่แข่งให้เปรียบเทียบ ผู้ให้บริการอาจลดแรงจูงใจในการพัฒนาคุณภาพบริการ เพราะผู้บริโภคมีทางเลือกน้อย
📌 นวัตกรรมหยุดชะงัก —>> การแข่งขันในตลาดเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ การผูกขาดหรือกึ่งผูกขาดอาจทำให้การพัฒนาชะลอตัว
วิธีแก้ไข….
1. กำกับดูแลโดยรัฐ….
📌 หน่วยงานกำกับดูแล เช่น กสทช. ควรเข้มงวดเรื่องการควบรวมกิจการ โดยพิจารณาผลกระทบต่อผู้บริโภคในระยะยาวอย่างละเอียดก่อนอนุมัติ
1
📌 กำหนดเพดานราคาค่าบริการ เพื่อป้องกันการตั้งราคาสูงเกินไป
2. ส่งเสริมการแข่งขัน….
📌 สนับสนุนให้ผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาด เช่น การเปิดให้มีการประมูลคลื่นความถี่ที่โปร่งใสและเป็นธรรม
📌 ออกนโยบายที่เอื้อต่อการตั้งบริษัทใหม่ในธุรกิจโทรคมนาคม
3. ผลักดันเทคโนโลยีใหม่….
📌 ส่งเสริมการพัฒนาระบบเครือข่ายที่ทันสมัย เช่น 5G เพื่อดึงดูดผู้ให้บริการรายใหม่เข้ามาแข่งขัน
📌 สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดาวเทียม เช่น Starlink ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้บริโภค
4. สร้างความโปร่งใส….
📌 กำหนดให้บริษัทผู้ให้บริการเปิดเผยข้อมูลต้นทุนและราคาที่แท้จริง เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าค่าบริการที่เพิ่มขึ้นมีสาเหตุมาจากอะไร
2. เทียบค่าบริการโทรศัพท์มือถือของไทยกับต่างประเทศ….
ไทยราคาถูกกว่าหรือแพงกว่า ?
📌 หากเทียบค่าบริการ มือถือรายเดือน ประเทศไทยมีราคาค่าบริการต่ำกว่าหลายประเทศในโลกตะวันตก เช่น สหรัฐฯ หรือประเทศในยุโรป โดยเฉพาะในแง่ของอินเทอร์เน็ต 4G/5G ที่ไม่จำกัด
📌 ตัวอย่าง —>> ในสหรัฐฯ ค่าใช้จ่ายมือถือเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 60-80 ดอลลาร์ (2,000-2,800 บาท)
📌 ประเทศไทยบางแพ็กเกจยังอยู่ที่ประมาณ 300-800 บาทต่อเดือน
📌 อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับประเทศใน เอเชียตะวันออก เช่น เกาหลีใต้หรือญี่ปุ่น ไทยอาจมีค่าบริการใกล้เคียงหรือแพงกว่าในบางแพ็กเกจ เพราะในประเทศเหล่านี้มีการแข่งขันสูงและการบริการคุณภาพสูง
ทำไมราคาต่างกัน ?
1. การแข่งขันในตลาด —>> ประเทศที่มีผู้ให้บริการมากและแข่งขันสูงจะมีราคาต่ำกว่า เช่น อินเดีย ที่ค่าบริการเฉลี่ยถูกกว่าไทย
2. โครงสร้างต้นทุน — >> ประเทศที่โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมทันสมัย มีประชากรหนาแน่น มักมีต้นทุนต่อหน่วยต่ำกว่า ทำให้ตั้งราคาบริการถูกได้
3. การกำกับดูแล —>> บางประเทศมีหน่วยงานที่ควบคุมราคาค่าบริการโดยตรง เช่น สหภาพยุโรป
สรุปคือ …..
1. การควบรวมกิจการโทรคมนาคมในไทยส่งผลกระทบเชิงลบต่อผู้บริโภคอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องของราคาที่เพิ่มสูงขึ้น
2. ค่าบริการโทรคมนาคมในไทยยังถือว่าถูกกว่าประเทศตะวันตกบางประเทศ แต่แพงกว่าบางประเทศในเอเชียที่มีการแข่งขันสูง
@ —>> การแก้ไขปัญหานี้ต้องพึ่งพาการกำกับดูแลที่เข้มงวด การส่งเสริมการแข่งขัน และการพัฒนาทางเลือกใหม่ เช่น เทคโนโลยีดาวเทียม หรือผู้ให้บริการรายใหม่เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคครับ
โฆษณา