5 ธ.ค. เวลา 06:03
เทเวศน์ 2

คนเริ่มห้าว - โรงเรียนวัลยา เทเวศร์ซอย 2 พ.ศ.2520-2521

พฤษภาคม 2520 ผมกับแม่ย้ายออกจากบ้านเช่าที่สระบุรีไปกับรถบรรทุกที่ขนของทุกอย่างเข้ากรุงเทพฯ หลังจากการจากไปอย่างกะทันหันของพ่อจากอุบัติเหตุ
ขาดพ่อเหมือนถ่อหัก ...
เนื่องจากแม่ก็มีปัญหาที่ดวงตาทำให้คิดว่าในระยะยาวคงเป็นครูที่โรงเรียนเพิ่มฯ ต่อไปไม่ได้ ทำให้แม่ตัดสินใจย้ายกลับมาอาศัยกับตาที่ดาวคะนอง
บ้านหลังนั้นน้าชายเป็นคนสร้าง ตาผมมีลูกกับยายคนนี้ 10 คน และตายังมีเมียอีกสองคนที่อยู่คนละบ้านรวมลูกทั้งสามแม่ก็มี 13 คน พี่น้องทั้ง 13 คนรวมทั้งเมียทั้งสามผมก็เห็นว่ากลมเกลียวกันดี เพราะตอนที่ผมอายุ 16 พวกเขาก็แก่จนเกินจะราวีกันแล้ว
ภาพของตา ปี 2501  ตอนนั้นน่าจะมีเมียคนที่สองแล้ว
“ลูกของลูก” เมียคนที่หนึ่งบางคนยังแก่กว่า “ลูก” ของเมียคนที่สองและสาม ไม่ต้องแปลกใจที่หลานบางคนจะเรียกน้าของเขาว่า “ไอ้...” และคนที่มีศักดิ์เป็นน้าก็เรียกหลานตัวเองว่าพี่ ด้วยความที่อายุห่างกันพอสมควร
ตาอายุยืนจนถึงเกือบร้อยปี สรุปได้ว่าเป็นตำรวจจะเจ้าชู้ และคนเจ้าชู้จะอายุยืน
หลานชายที่อายุมากกว่าน้าสาว
ระเบียงที่ผมนอนสามารถกางมุ้งหลังเล็กนอนได้อย่างเดียว มันมีพื้นที่ราวหนึ่งส่วนสี่ของแมวดิ้นตาย ขนาด 1 x 2 เมตร ด้านหัวนอนปิดด้วยมู่ลี่ไม้ไผ่ ด้านซ้ายเป็นมู่ลี่ผ้าใบมีรู และอีกสองด้านเป็นผนังห้องและประตูเข้าห้องแม่ เวลาพลิกตัวต้องระวังไม่ให้มือไปฟาดกับผนังห้องหรือระเบียง ผมนอนอยู่ที่นี่อยู่ราว 8 ปีถึงได้ย้ายไปบ้านใหม่
ด้านบนของภาพจะเห็นระเบียงที่ผมนอน แต่จะมีมู่ลี่บังสองด้าน ถ้าเจอลมฝนแรงก็ต้องหนีเข้าไปนอนข้างใน
พฤษภาคม 2520 ผมเข้าไปเป็นนักเรียนวัลยาเป็นรอบที่สองในชั้น ม.ศ. 2 ผมจากไปตอนประถม 7 ในปี 2517 ไปเรียน ม.ศ.1 อยู่ 2 ปีก็ได้กลับมาอีก ได้เจอเพื่อนเก่าหลายคนที่ขึ้นชั้น ม.ศ. 3 กันแล้ว แต่ก็มี 2 คนที่ยังอยู่ ม.ศ. 2 ที่ได้เรียนห้องเดียวกัน คือ พีระนุช เถื่อนขุมทอง และ น้ำทิพย์ ที่เรียนซ้ำชั้นเหมือนกัน
เพื่อนเก่าที่วัลยาตอนนั้นที่จำได้มี ปริญญา พิชัยสัตย์, จาตุกร บุณยะจินดา, วารุณี จี้เพชรงาม, วรพงศ์ พิพิธประพัฒน์, ...... แต่ก็ไม่ค่อยได้คุยกัน อาจจะเป็นเพราะความอับอายที่ผมต้องมาเรียนซ้ำชั้นก็ได้
มีเพื่อนเก่าวัลยาที่ออกไปแล้วที่เจอคนแรกน่าจะเป็นน้องเล็ก-พัชราภรณ์ สันติเสวี เธออยู่หอพักหญิงสันติสตรีที่ครอบครัวเธอเป็นเจ้าของในซอยเทเวศร์ 2 แต่ผมจำเหตุการณ์ไม่ได้ว่าทักทายกันยังไงบ้าง
อีกคนที่ผมเจอที่โรงเรียนวัลยาแต่จำไม่ได้ว่าเธอมาทำไมก็คือ หมู-สุนทรียา แสงสุวรรณ ตอนนั้นผมอยู่ ม.ศ. 3 แล้ว เธอใส่ชุดมัธยมปลายมา เป็นการพบกันครั้งสุดท้าย
......... ถ้ามีโอกาสเจอกันอีกนะหมู
หอพักหญิงสันติสตรี ถ่ายเมื่อ มกราคม 2567
และ จี-จีราพร ชิตอรุณ ชื่อเล่นจริงๆ คือ “ไก่” แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงเรียกว่าจี ได้เจอเธอตั้งแต่ต้นเทอม ม.ศ. 2 เพราะเธอมารับน้องสาวเธอที่เรียนประถม 1 ตอนเย็นที่โรงเรียนวัลยา
29 กรกฎาคม 2520 เวลา 2 ทุ่มกว่า จีราพรโทร.มาถามว่าทำไมกลับมาเรียนวัลยาอีก ได้คุยกันเป็นชั่วโมง และช่วงนั้นผมติดพันน้องสาวของจีที่ชื่อน้องผึ้งอยู่ด้วย
ตอนกลางวันผมจะรีบไปที่ห้องที่น้องผึ้งเรียน เพื่อไปตักอาหารแทนครูประจำชั้นให้นักเรียนในห้องของน้อง พอเธอกินข้าวเสร็จผมจะรีบลงไปโรงอาหารเพื่อซื้อไอติมให้เธอ ทุ่มทั้งกำลังกายกำลังเงินหวังว่าเธอจะโตเร็วๆ
น้องผึ้ง ชิตอรุณ อย่ายิ้มนะจ๊ะ จะเห็นฟันหลอ ถ่ายตอนวันเด็ก 2521
ครูประจำชั้นตอน ม.ศ.2 คือ ครูเล็ก-กองแก้ว วัลยะเสวี ครูเล็กสอนวิชาเลขด้วย ตอนนั้นครูสุพรรณชาติเป็นครูประจำชั้น ม.ศ.3 ส่วนครูคนอื่นจำไม่ได้เลย และที่จำได้ก็จะมีครูฝึกสอนทั้งปี 2520-21 มีครูฝึกสอนที่น่ารักเหมือนตุ๊กตาจนหนุ่มวัยห้าวในห้องต้องฮือฮาทุกครั้งที่เธอเดินผ่าน ชื่อ ครูเหน่ง
หัวหน้าห้องของผมชื่อ ต้อง-อุษาวดี พรรณกลิ่น จะมีรองหัวหน้าหรือเปล่าจำไม่ได้ หรืออาจจะเป็น บัง-สมศักดิ์ สุขสะอาด
เพื่อนในห้องมี สุนันท์ แซ่ตั้ง คนที่มักจะได้ที่ 1 แข่งกันกับ สำรวย เสียงดี, ปราวนา, พงษ์ศักดิ์ เพ็ญโรจน์, วันชัย, ชาคริต ชัยวุฒิ, ปุก-อรสา มโนสมุทร, ปานทิพย์ พันธุ์เถาว์, อรุณี, อัจฉรา ตั้งกิจเกียรติกุล, บุญส่ง, ปุ๋ย-ชุติมา, มณฑา ฟ้อนรำดี, น้ำทิพย์, อรุณี, วิรัตน์, เปิ้ล-ภักดีกุล, สมเพชร, อัมพร, นงลักษณ์, มาลี, อี้จู, สมชาย, ชานนท์, วิไลลักษณ์, เฉลิมพล, และ นาตยา-รจนา สองพี่น้อง, ฯ
ภาพแรก ถ่ายตอน ม.ศ. 3 ซึ่งยกชั้นมาจาก ม.ศ. 2  *ภาพสอง งานกินเลี้ยงที่บ้านชาคริต
ตอนอยู่ ม.ศ. 2 เรื่องการเรียนโดยเฉลี่ยถือว่าใช้ได้ สอบไล่ได้ที่ 9 แต่การสอบครั้งแรกนั้นผมสอบได้ที่ 27 จากนักเรียน 33 คน เรื่องนี้มีสาเหตุ....
ภาพแรก เทอมแรกได้ที่ 27 จากนักเรียน 33 คน ** ภาพที่สอง ภาคเรียนที่หนึ่งการเรียน "อ่อนมาก" อุปนิสัย "เงียบขรึม" ภาคเรียนที่สอง การเรียน "ดีพอใช้" แต่อุปนิสัย "ชอบอ่านหนังสือนวนิยายในเวลาเรียน"
พ่อผมจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อ เมษายน 2520 แล้วผมย้ายเข้ามาเรียนที่วัลยากลางเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน ตอนนั้นผมอายุ 15 ปี 10 เดือน
ผมไม่ได้แสดงความเสียใจอะไรให้ใครเห็น เพราะปกติทั้งพ่อและผมจะเป็นคนไม่ค่อยแสดงว่ารู้สึกอะไรออกมาอยู่แล้ว แต่ความจริงแล้ว ความตายของพ่ออย่างกระทันหันมันทำให้เกิดความผิดปกติทางจิตใจของผมร่วมสองเดือน
ภาพแรก ระบุว่าพ่อตาย การระบุอย่างนี้มันก็คงเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์กับทางโรงเรียนถึงระดับการเรียนด้วย
ผมมีภาพจำที่สะเทือนใจภาพหนึ่งที่มันเกิดขึ้นในตอนนั้น คนทั่วไปจะเห็นว่าเป็นภาพที่แสนจะปกติ นั่นคือภาพที่คุณพ่อของน้ำทิพย์มารับเขาในตอนเย็น
ผมหยุดมอง.... น้ำตาคลอ บอกไม่ถูกว่าคิดถึงพ่อ หรืออิจฉาเพื่อน หรือรู้สึกอะไรอย่างอื่น แต่มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ปกติที่มันเกิดขึ้นในช่วงนั้น
แทบทุกคืน ผมฝันว่าได้ทำกิจกรรมกับพ่อ หรือมองเห็นพ่อทำอะไรต่างๆ แต่ผมจะรู้สึกว่าสิ่งที่ผมเห็นในฝันมันคือความจริง และเหตุการณ์ทุกอย่างในเวลากลางวันนั้นมันคือความฝัน
ผมคิดว่าพ่อผมยังอยู่ เดี๋ยวจบวันแล้วตอนกลางคืนผมจะตื่นจากฝันไปเจอพ่อ
ผมคิดสลับกันอย่างนี้ร่วมสองเดือนมันถึงค่อยๆ จางหายไป
มันอาจทำให้ใจผมไม่อยู่กับการเรียนอย่างเต็มที่ แต่หลังจากนั้นผมก็ได้กลับมารู้สึกเหมือนปกติ
ทั้งการเรียนและสภาพจิตใจของผมก็ค่อยดีขึ้น จนกลายเป็นคนร่าเริงไปได้ยังไงไม่รู้ตามความเห็นของครูสุพรรณชาติตอนอยู่ ม.ศ.3
ม.ศ. 3 กลายเป็นคน "สนใจเรียนดีมาก"  และอุปนิสัย "สนุกสนาน ร่าเริง"  น่าจะมีความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า "หน้าตาดี"
แต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าไหร่ เชื้อดื้อมันกัดกินความขยันไปตั้งแต่สามปีก่อนหน้านั้น
ผมเรียนที่วัลยาสองช่วง คือ ช่วงอายุ 13 ปี พ.ศ. 2516-2517 และ ช่วงอายุ 16 ปี พ.ศ. 2520-2521 ที่สามารถเรียกได้ว่า “วัยผลัดขน-คนเริ่มห้าว”
ตอนอายุ 13 ปี มันเป็นปีของการผลัดเปลี่ยนขนอ่อนเป็นขนแก่ และพออายุ 16 ปี มันก็โตพอที่จะเริ่มท้าทายทำสิ่งที่ไม่เคยกล้าทำตอนเป็นเด็ก ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว แต่หมายถึงเพื่อนๆ ทุกคนด้วย
เรื่องเหล้าหรือสิ่งเสพติดผมไม่ยุ่งเลย ส่วนบุหรี่ก็เคยลองไป 20 มวนแล้วก็พอ ที่จำจำนวนได้เพราะไปขโมยบุหรี่กระป๋องของปู่มาแอบสูบจนหมดกระป๋อง
“ห้าวน่าอิจฉา” อันดับหนึ่งได้แก่ “บุญส่ง” จำนามสกุลไม่ได้ เขาอาศัยอยู่กับญาติที่เป็นเจ้าของบาร์กลางคืน ซึ่งทำให้บุญส่งเป็นคนเดียวในห้องที่มีเมีย มันเรียกเมียมันว่า “คุณปู” ซึ่งทำงานอยู่ที่บาร์แห่งนั้น อย่างนี้น่าอิจฉาไหมล่ะ
“ห้าวน่ารำคาญ” มีหนึ่งคนที่ขอไม่ออกชื่อ คนนี้ห้าวโชว์มีด
เหตุเกิดจากการที่เขาพีงใจสาวคนเดียวกันกับผม เขาได้แต่งเพลงยาวไปหาสาวคนนั้น ซึ่งผมก็มีโอกาสอ่านแล้วก็ต้องอมยิ้มเล็กๆ อย่าว่าแต่ความไพเราะเลย แม้แต่อักขรวิธีมันก็เละเทะ
ผมก็โชว์เหนือทับมันไปเลย....
ผมแต่งกาพย์ยานี 11 ภายในคืนเดียวด้วยแรงผลักดันจากความหมั่นไส้ แต่ไม่ได้ส่งให้สาวนะ ผมเอาไปติดไว้ที่บอร์ดหลังห้อง
มันเป็นกลอนที่เวิ่นเว้อมโนไปเรื่อย ไม่ได้เกี่ยวกับใครในห้องเลย แต่มันก็คงรู้แหละว่าผมต้องการข่มมัน
ทำไมยังเก็บอยู่ไม่รู้ ตั้ง 46 ปี
อกเรียมระบมอ่อน มนร้อนด้วยอาดูร
สุธาแห้งด้วยแสงสูรย์ ยังบ่เทียบบ่เทียมเรา
หทัยพี่เคยฝาก บ่มีซากฤๅแม้เงา
อุราเกรียมด้วยความเขลา แต่กระนั้นยังมั่นคง
ใจรักภักดีเจ้า มนร้าวด้วยความหลง
รักสลายมลายลง อุระผ่าวระร้าวราน
เคยชมภิรมย์คู่ สำเนียงสู่วอนเว้าหวาน
รื่นรสพจมาน สาบานกันจวบบรรลัย
รักเร้นของสองเรา จะแนบเนามิห่างไกล
จวบสิ้นสุราลัย มิคิดพรากฤๅจากกัน
จากนั้นจนบัดนี้ ณ ข้างพี่มิมีจันทร์
ต่อนี้มิมีวัน มนชื่นหวนคืนมา
รักเอยนิราพราก นิราศจากความห่วงหา
โหยไห้อาลัยลา จวบชีพลับประดับดิน
ผิวแลกด้วยโลหิต เหือดสนิทสูญชีวิน
นฤมลบ่ยลยิน ชีวิตนี้พี่เพียงนวล
วอนอักขนิษฐพรหม ฤ โคดมด้วยคร่ำครวญ
ธ โปรดประทานมวล มนกร้าวมิร้าวรอน
แต่นี้บ่มีรัก อาจจะหักฤทัยถอน
สงบซึ่งนิวรณ์ วิมุตถอนซึ่งความตรม
ผิวพี่มีมีรัก ฤๅแม้รักแต่มิสม
มิอาจน้อมฤทัยตรม ระทมร้าวดังเก่าไกล
ทหัยอันมั่นคง จะมิหลง ณ นางใด
จากนี้จนสิ้นใจ มโนมอบแด่ตัวเอง
วันรุ่งขึ้นมันก็เปลี่ยนกลยุทธเป็นนักเลง พกมีดสั้นขนาดรวมด้ามยาวราว 7 นิ้ว เอามาพูดแขวะแล้วเอามีดขว้างปักเบาๆ ไปที่โต๊ะเรียนบ้าง ไปที่บอร์ดหลังห้องบ้าง แค่พอปักเบาๆ เพราะมันคงกลัวบอร์ดพังแล้วโดนตี
ผมก็กลัวนะ ไม่นึกว่ามันจะถึงขนาดนี้ วันรุ่งขึ้นมันก็ทำอีก
แล้ววันที่สามก็มีฮีโร่มาช่วยผม นั่นคือ “ห้าวน่านับถือ”
คนนี้เขาเป็นนักเลงนอกโรงเรียน ถึงขนาดผมได้ไปเยี่ยมตอนเขาโดนยิงที่หน้าอก เขาชอบขี่มอเตอร์ไซค์ซิ่งมาก เคยซ้อนแล้วเข็ด เขาจะห้าวอยู่นอกโรงเรียน ตอนเรียนก็จะสนุกสนานเฮฮากันธรรมดา
เพื่อนคนนี้มันก็รับรู้ด้วยว่าผมโดนขู่
วันที่สามมันก็เอาปืนลูกซองไทยประดิษฐ์มาหนึ่งกระบอกเอามาวางไว้ที่ใต้โต๊ะเรียนผม ผมก็เพิ่งมีโอกาสได้ลูบคลำปืนของจริงวันนั้นเอง
แล้วมันก็ได้ผล วันรุ่งขึ้นเหตุการณ์ก็ปกติ ไม่นานเราก็สนิทกันหมดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลายเดือนต่อมา เจ้า “ห้าวน่ารำคาญ” ก็มาเล่นบทพระเอกใส่ผมว่า ขอฝากเธอคนนั้นกับผมแล้วกัน ขอให้ดูแลให้ดีด้วย (แต่สุดท้ายแห้วกันหมด!)
ขอบคุณฑูตสันติภาพ Credit: thairath.co.th
ห้าวคนสุดท้ายคือ “ห้าวน่าเสียดาย” ก็คือผมนั่นแหละ
ตอนผมอยู่ ม.ศ.3 ก็เริ่มจะหล่อแล้ว ก็มีสาวแถวนั้นแหละอายุแก่กว่าผมน่าจะ 4-5 ปี สวยออกไปทางเซ็กซี่ ดูเหมือนว่าเธอจะดื่มเหล้าสูบบุหรี่ตามแบบสาวเปรี้ยว เดินไปเดินมาอยู่แถวนั้น
เดินผ่านกันไปมาได้เป็นเดือนมั้ง ไม่รู้ว่าได้คุยกันได้ยังไง เธอนัดผมไปข้างนอก ผมก็ไปทั้งชุดนักเรียนโดยไม่ได้คิดอะไร
เธอพาผมเข้าไปในคาเฟ่แห่งหนึ่ง เขาเรียกว่าคาเฟ่นะ ซึ่งตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้เข้าไปยังที่แบบนั้นอีกเลย
มันเป็นห้องแถวเล็กๆ ที่จัดเป็นร้านนั่งคุย มีพนักเก้าอี้สูงยาวพอเป็นที่บังสายตาและทำให้เกิดความเป็นส่วนตัวได้ แต่ทำไมไม่มีแสงไฟฟ้าวะ... แล้วกินอะไรจะเห็นได้ไง
แล้วก็เพิ่งรู้ว่าที่นั่นเขาไม่ได้เน้นอาหาร และเขาก็ใช้เทียนไขแทนโคมไฟ บนขอบโต๊ะมีร่องรอยของน้ำตาเทียนอยู่เต็มไปหมด
เทียนเล่มเดียวมันเหมาะที่สุดสำหรับบรรยากาศอย่างนี้....
คล้ายว่าเธอจะสั่งเหล้ามาดื่ม ส่วนผมไม่ดื่มเด็ดขาดอยู่แล้ว ได้แต่นั่งด้วยใจระทึก
เธอก็เริ่มพูดจาประสาดอกไม้กับผม ......
ปากก็พูดไปแต่มือเธอก็ไม่อยู่เฉย ส่วนผมได้แต่นั่งเกร็ง ทำไมใสซื่ออย่างนั้นก็ไม่รู้
ยุบหนอ พองหนออยู่พักใหญ่....
จนกระทั่งเทียนหมดเล่ม และเธอก็คงหมดใจด้วยแหละ ต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
อย่างนี้จะเรียกว่า “ห้าวน่าเสียดาย” หรือ “ห้าวแต่หด” ดี?
แสงเทียน 1 ดวง.... ไม่น้อยไปสำหรับสื่ออารมณ์ และไม่มากไปจนเป็นอุปสรรคในสื่อสัมผัส
ตอน ม.ศ. 3 พวกผมก็ยกชั้นขึ้นมา เราจะไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลังเหมือนปีที่แล้ว
ครูประจำชั้นคือ ครูสุพรรณชาติ แปลงเงิน เป็นครูชายคนเดียวของโรงเรียนตอนนั้น ท่านเป็นน้องชายของครูอุสาห์ มาณวกุล ตอนนั้นครูสุพรรณชาติยังหนุ่มมาก เหมือนจะยังเรียนไม่จบต้องไปเรียนตอนเย็นด้วย
เรื่องเรียนไปเรื่อยๆ แต่เรื่องรักมันต้องมี.....
ที่จริงตอนนั้นก็ยังไม่ประสีประสากับความรักนะ ถ้าเจนสนามนี่ก็คงได้เรื่องตั้งแต่ก่อนเทียนหมดเล่มแล้ว
ตอนนั้นไม่มีใครเป็นแฟนใครเลย มีการล็อคเป้ากันอยู่ 6 คู่แต่ก็ไม่มีใครประสบความสำเร็จเลย ส่วนผมก็ไม่มีความกล้าพอที่จะจีบคนที่พึงใจอย่างชัดเจน ได้แต่หยิบยื่นไมตรีด้วยลีลาต่างๆ และก็ได้รับการตอบสนองที่น่าพึงใจในระดับผู้เข้ารอบรองแต่ยังไม่ถึงรอบชิงชนะเลิศ
สำหรับผมโดยรวมแล้วมันมีความทรงจำที่ดีมาก แต่ถ้าจะเล่ามันก็จะรบกวนความเป็นส่วนตัวเกินไป
ภาพงานวันเด็กที่จะเห็นการจับคู่แล้วหนึ่งคุ่  ส่วนภาพสุดท้ายถ่ายตอนที่ผมปันใจไปกับน้องอนุบาลหนึ่งลูกคุณครูสอนศิลปะ
ตอนปลายปี 2521 ผมพยายามตั้งใจเรียนตามแบบของผมอยู่เหมือนกัน และได้ไปสอบเข้าเตรียมอุดมฯ แต่ก็พลาด จึงได้ไปเข้าโรงเรียนวัดสังเวชแทน
มีเพื่อนร่วมห้องมาเข้าวัดสังเวชด้วยกันคนหนึ่ง คือ ปุก-อรสา มโนสมุทร ซึ่งก็ได้ติดต่อกันจนทุกวันนี้ และเรามีนัดไปงานศิษย์เก่า ว.ว. ด้วยกันในคืนวันที่ 14 ธันวาคม 2567 ที่จะถึงนี้
ที่จริงมีน้องสาวของจีราพรอีกคนหนึ่งที่ผมจำชื่อไม่ได้เขาก็มาเข้า ม.ศ. 1 วัดสังเวชเหมือนกัน แต่เข้ามาเรียนได้ไม่กี่วันก็หายไป เสียดายจังที่ไม่ได้ดูแลเธอ
เพื่อนร่วมรุ่นวัลยา ในปี 2520-2521 เป็นกลุ่มเพื่อนที่ขาดการติดต่อมากที่สุด ตอนนี้ที่ติดต่อกันค่อนข้างบ่อย คือ อัจฉรา ตั้งกิจเกียรติกุล, ปุก-อรสา มโนสมุทร, น้ำทิพย์ และที่พอจะติดต่อได้คือ มณฑา ฟ้อนรำดี, ปานทิพย์ พันธุ์เถาว์, สำรวย เสียงดี, พีระนุช เถื่อนขุมทอง
ทุกครั้งที่ผมเขียนผมจะพยายามเขียนชื่อและนามสกุลด้วย เผื่อว่าจะมีใครมาเจอชื่อเหล่านี้แล้วรู้จัก แล้วบอกให้เขามาอ่าน
เพื่อนหลายคนอาจจะอยากอยู่ห่างๆ จากอดีต แต่ผมก็อยากให้อ่าน อยากให้ตัดสินใจว่า จะลองติดต่อเพื่อนเก่าดีไหม
อุษาวดี พรรณกลิ่น, ชาคริต ชัยวุฒิ, ปานทิพย์ พันธุ์เถาว์, อรสา มโนสมุทร  สองคนแรกติดต่อไม่ได้
ด้วยวัยนี้ ความต้องการหลายๆ อย่างมันลดน้อยและเปลี่ยนรูปแบบไป ร่างกายก็เสื่อมถอยตามกาลเวลา มีแต่หัวใจที่เข้มแข็งขึ้น
ความต้องการทางร่างกายเริ่มมีสัดส่วนน้อยลงเมื่อเทียบกับความต้องการสิ่งจรรโลงใจ
ช่วยทำทานเป็นปิติสุขให้ผมด้วยนะครับ
 
ก่อนที่ผมจะกลับดาว.....
โฆษณา