5 ธ.ค. เวลา 13:34 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

"HERE ที่นี่ นิรันดร: คุณค่าแห่งห้วงเวลา"

“เร็วเนอะ แพพๆ ครึ่งปี
สักพักก็สิ้นปีช่วงเทศกาล
อีกไม่นานโลกก็จะหมุนรอบตัวเอง
ครบ 365 วันอีกครา”
ทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้นมา
จากชีวิตอันแสนเร่งรีบวุ่นวาย
แล้วหันไปมองรอบๆ ก็มักจะพบว่า
“เวลา” ช่างผ่านไปกว่าใจเสมอเลย
เหมือนที่ฝรั่งมักพูดกันว่า “Time flies”
หรือเวลาช่างผ่านไปไวเหมือนติดปีกบิน
ทั้ง “ผู้คน” และ “เรื่องราว”
ล้วนเปลี่ยนไปตามวาระ
เด็กน้อยที่เคยเจอ ไม่นานก็เติบโต
เด็กหนวดวันนั้นก็มานั่งล้อมวงคุยกัน
ถึงวีรกรรมมากมายในวันวาน
กลับกันพอนั่งกินข้าวกับที่บ้าน
แล้วเห็นผมหงอกของพ่อแม่
กลับรู้สึกใจหวิวอย่างบอกไม่ถูก
ทำให้รู้ทันทีว่าเวลาทั้งชีวิต
มันไม่ได้ยาวขนาดนั้นหรอก
อยากบอกรักกันให้รีบบอก
อยากใช้เวลาด้วยกัน
ก็ทำมันให้ดีที่สุดในทุกขณะ
เพราะไม่มีใครรู้ว่าเวลา
จะพาเราจากกันเมื่อไหร่
ยิ่งในยามที่ปีใหม่กำลังเวียนมาอีก
ก็ยิ่งทำให้เราได้ทบทวนและรู้สึก
ว่าปีนี้ยังมีอีกหลายอย่าง
ที่คิดไว้แล้วยังไม่ได้ทำ
อีกเยอะเลยล่ะ
ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะมีปีหน้า
ให้เราเริ่มต้นได้อีกสักกี่ปี
หรือยังมีความฝันอะไร
ที่เราเคยวาดไว้แล้วแอบเผลอ
ทำมันหล่นหายไประหว่างทาง?
หนังเรื่อง “Here: ที่นี่นิรันดร”
เหมือนช่วยสะท้อนชีวิตเรากลับมา
ให้ได้คิดทบทวนต่ออีกมากมาย
ผ่านห้วงเวลา ต่างเรื่องราว ต่างไทม์ไลน์
ที่ค่อยๆ ดำเนินผ่านไป
พร้อมร้อยเรียงเอาไว้ใน
“หนึ่งมุมกล้อง หนึ่งสถานที่ ล้านความทรงจำ”
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวละครทำ
ล้วนนำไปสู่ “ภาพอนาคต”
ซึ่งกำลังจะเปิดออกมาในแต่ละมุม
เหมือนกำลังได้ดูสมุดภาพชีวิตคนทั้งคน
ว่าแต่ละครอบครัวจะเติบโตมาแบบไหนยังไง
โดยเน้นที่บ้าน “Richard & Margaret”
เป็นแกนในการเล่าเรื่องราว
โดยสิ่งที่ทำให้ผมแอบว้าว
คือเทคโนโลยีแห่งโลกภาพยนตร์
ที่ผ่านการคิดค้นและพัฒนามาไกล
ทั้งการ de-age และเมคอัพ
พาทีมนักแสดงย้อนวัย เปลี่ยนให้
“Tom Hank” และ “Robin Wright”
กลับมาเป็นหนุ่มสาวสดใส
เหมือนคู่ปาท่องโก๋เฉกเช่นในวันวาน
ทั้งการตัดต่อภาพแบบละเมียดละไม
และไอเดียการเล่าเรื่องที่ “แปลกใหม่”
ตั้งกล้องแช่อยู่มุมเดียว
แต่กลับสะกดให้เราดื่มด่ำ
ซึ้ง ตรึงอารมณ์อยู่ในห้วงความรู้สึก
จนน้ำใสๆ ในตา แอบล้นเอ่อ
ตอกย้ำว่าชีวิตนั้น
มีทั้งการพบเจอและจากกัน
เป็นไปตามวาระ เวลา และความจำเป็น
ได้เห็นว่าความสุข ความทุกข์
ความเข้าใจกัน และไม่เข้าใจกัน
มันคือการเรียนรู้ที่จำต้องมี
แม้จะแอบเสียดายบ้างในความที่
พอเป็นการเล่าผ่านเฟรมเดียว
เลยต้องมีหลายฉาก
หลากตัวละคร ครอบครัว
และไทม์ไลน์มาช่วยเล่า
จนบางทีเราแอบลืม
ต้องรีบปะติดปะต่อ
ว่าอ๋อบ้านนั้นบ้านนี้เอง
ซึ่งสิ่งที่มากไปกว่านั้นคือมันขัดฟีล
หลายครั้งกำลังอินและลุ้นไปกับ
ไทม์ไลน์หลักของ Richard
ก็มีไทม์ไลน์อื่นมาแทรกกลางคัน
เหมือนดูบางอย่างที่ชอบ กำลังเพลินๆ
แล้วดันมีโฆษณาเข้ามา จนเสียอรรถรสไป
หรือการขาด “หมัดฮุค” จังๆ
ที่จะเข้ามาสะบั้นอารมณ์
ให้พีคไปถึงกลางใจ
เมื่อถึงคราวที่มันต้องมา
ตรงนี้ก็แอบเสียดาย
คือดีมากแล้วล่ะครับ
แต่ยังรู้สึกว่าได้อีกน่ะ
ถ้าเล่าไต่ระดับความรู้สึกไปสุดกว่านี้หน่อย
หนังจะทรงพลังขึ้นอีกมากเลยทีเดียว
กระนั้น สำหรับผมที่เป็นหนึ่งใน
แฟนหนัง "Forrest Gump" ตัวยง
แค่ได้เห็น ผกก. คนเดิม
อย่าง “Robert Zemeckis”
พร้อมสองนักแสดงคู่ขวัญแห่งวันวาน
“Tom Hank” และ “Robin Wright”
กลับมารียูเนียนกันในรอบ 30 ปี
พร้อม Ester Eggs ต่างๆ ที่แอบสอดแทรกมา
ชวนให้คิดถึงหนังคลาสสิคตลอดกาลในใจเรา
แค่นั้นก็มีความสุขมากมายเหลือเกิน
(ขอชื่นชมความกล้าหาญในการนำเสนอ
ด้วยเทคนิคและมุมมองการเล่า
ที่แปลกแตกต่างแบบนี้ด้วยครับ)
นอกจากนี้ยังมีอีกกิมมิคที่จะทำให้คนดู
แอบเพลินกับ “Here: ที่นี่นิรันดร” มากขึ้น
นั่นคือการเล่นเกมจับผิดภาพ
แอบสังเกตความเชื่อมโยง
ผ่านสิ่งของ ผู้คน ในแต่ละไทม์ไลน์
หรือการได้เห็นจุดเด่นของยุคสมัยนั้น
อย่างเหตุการณ์สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์
หรือเพลงบางเพลง แฟชั่นการแต่งตัว
แล้วเอามาเชื่อมกันในหัวก็สนุกดี
โดยรวมอยากบอกว่าเรื่องนี้
ไม่ใช่แค่หนังชีวิตที่สอดแทรก
แง่คิดอะไรไว้มากมาย
แต่เรายังได้ย้อนกลับมามอง
ชีวิตจริงของตัวเองในหลายมุม
โดยเฉพาะคุณค่าแห่งเวลา ครอบครัว
และความสัมพันธ์ระหว่างกัน
สำหรับใครที่กำลังเหนื่อยล้ากับหลายสิ่ง
หรือตามหาความหมายบางอย่างอยู่
ปลายทางคุณอาจได้รู้แง่มุมต่างๆ
มาช่วยสะกิดใจให้ไปต่อ
อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องรอ
เราอาจได้พบความทรงจำที่ดียิ่งกว่า
🦜 เข้าฉายแล้ววันนี้
มาอบอุ่นหัวใจไปด้วยกันนะครับ,,,
โฆษณา