8 ธ.ค. เวลา 03:30 • กีฬา

เจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง : ตำนาน "บีบกล่องดวงใจ" ตัดไม้ข่มนาม แกซซ่า โดย วินนี่ โจนส์ | Main Stand

การทำลายจุดยุทธศาสตร์ด้วยท่า "บีบกล่องดวงใจ" ถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎในโลกฟุตบอลอย่างแน่แท้ แต่ทำไมนักเตะหลายคนจึงมักใช้ท่าไม้ตายนี้ตัดไม้ข่มนามใส่คู่ต่อสู้เป็นระยะ ๆ กลายเป็นที่วิจารณ์ของแฟนบอลเสมอ
เรื่องนี้อาจจะดูเหมือนตลก แต่มันมีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่ ภายใต้ความเจ็บปวดของคู่แข่ง การบีบกล่องดวงใจแสดงออกถึงสิ่งใดอีกบ้าง นอกจากการเล่นผิดกติกา ?
เราจะเปรียบเทียบเรื่องนี้ให้เห็นภาพด้วยการบีบกล่องดวงใจในตำนานโลกฟุตบอลที่ วินนี่ โจนส์ เคยกระทำใส่ พอล แกสคอยน์ ... การบีบกล่องดวงใจมีความหมายอะไรบ้าง
ติดตามได้ที่ Main Stand
เพราะฟุตบอลคือกีฬาของลูกผู้ชาย
ขึ้นหัวแบบนี้อาจจะดูเป็นการยัดเยียดในแนวคิดแบบชายเป็นใหญ่ อย่างไรก็ตาม มันไมได้หมายความว่าผู้ชายเท่านั้นที่จะเล่นฟุตบอลได้ แต่มันหมายความว่า ฟุตบอลคือกีฬาที่เกิดขึ้นจากชนชั้นแรงงานผู้ปากกัดตีนถีบ ใช้แรงแลกเงิน ดังนั้นภาพของฟุตบอลที่เกิดขึ้น จึงเป็นกีฬาประเภทที่ต้องเข้าปะทะ กระแทกกระทั้น ตาต่อตา ฟันต่อฟัน และบางครั้งคนที่ใจใหญ่กว่าก็จะเป็นผู้ชนะในตอนจบ
เมื่อมันเป็นเช่นนั้น การเล่นหนัก ๆ แบบอยู่ในเกม จึงเป็นสิ่งเราเห็นเสมอในเกมฟุตบอลระดับสูง ชนิดที่ว่าจังหวะ 50-50 ก็พุ่งใส่กันแบบสุดตัวไม่กลัวเจ็บ และบางครั้งมันก็เลยเถิดไปถึงการเล่นนอกเกม ซึ่งการเล่นนอกเกมนี่แหละ คืออีกเรื่องที่คนในวงการนี้อยากจะให้มันหมดไป เพียงแต่ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ สัญชาตญาณการเอาตัวรอดมักจะเอาชนะทุกสิ่ง ในเวลาที่เราเป็นรองและรู้สึกถูกคุกคาม ก็จำเป็นจะต้องตอบโต้กลับไป เมื่อในเกมเล่นงานไม่ได้ ก็ต้องหาจังหวะเล่นนอกเกม นั่นแหละมันจึงเป็นเรื่องคลาสสิก
เราเอาแนวคิดนี้มาจากไหน ? ... แน่นอน เราไม่ได้คิดเอง เรื่องนี้เรามีตัวอย่างจากนักเตะที่เล่นนอกเกมเก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษอย่าง วินนี่ โจนส์ ที่บอกว่าการเล่นนอกเกมหรือเล่นสกปรก เป็นสิ่งที่เขาจะไม่เลิกทำ และไม่ขอโทษที่เคยทำลงไป เพราะนั่นเป็นฟุตบอลในแบบของเขา
ในเมื่อเขาเป็นนักเตะที่ไม่ได้เก่งกาจอะไรมาก ไมได้มีพรสวรรค์ เขาจึงต้องหาจุดเด่นที่ทำให้ตัวเองได้เปรียบในเกมการแข่งขัน ทำให้นักเตะที่เก่งกว่าเขา พริ้วไหวกว่า และมีทักษะมากกว่า เกิดความหวาดหวั่นและเล่นไม่เป็นธรรมชาติเมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับนักเตะอย่างเขา
"โดยนิสัยตั้งแต่เด็ก ผมไม่ใช่พวกอันธพาล แต่ฟุตบอลเป็นหนึ่งในงานของผม และผมจะบอกว่า พวกเราทุกคนมีหมาบ้าซ่อนอยู่ในตัว หมาของผมเป็นไอ้หมาสารเลวตัวใหญ่ฉิบหาย ... และหมาตัวนี้จะตื่นขึ้นมาก็ต่อเมื่อมีอะไรสักอย่างไปเขี่ยมัน" วินนี่ โจนส์ อดีตกัปตันทีม วิมเบิลดัน ยุค "เครซี่แก๊ง" อันเลื่องชื่อในวงการฟุตบอลอังกฤษช่วงปลายยุค 1980s กล่าวเริ่ม
อะไรที่ไปเขี่ยหมาของเขาน่ะเหรอ ? คำตอบง่าย ๆ แบบเข้าใจไม่ต้องยืดยาวคือ "ชัยชนะ" เพราะเขาอยากชนะ และในเวลาที่เขารู้สึกว่าใครสักคนก้าวเข้ามา และทำให้เขากำลังออกห่างจากชัยชนะ เขาจึงจำเป็นต้องตอบสนองกลับไปในแบบของเขา
"ฟุตบอลของผมคือฟุตบอลที่ว่าด้วยความฟิต การวิ่งไปทั่วสนาม พยายามสกัดกั้นคู่ต่อสู้ และแย่งบอลให้ได้ นั่นคืองานของผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ วิมเบิลดัน ... ผมไม่เคยลังเลที่จะยื่นขาออกไปเล่นงานใครสักคน แม้ว่าการยื่นออกไปจะทำให้ผมต้องเจ็บตัวบ้าง แต่คุณก็ต้องทำ มีนักเตะบางคนที่หนีจากการเตะไปได้บ้าง แต่ผมบอกเลยว่า ถ้าเขากลับมาอีกครั้ง ผมก็พร้อมที่จะลองเตะอีกครั้งเหมือนกัน" โจนส์ อธิบายทุกอย่างของเขาอย่างชัดเจน
แค่สิ่งที่ โจนส์ บอก บวกกับสถิติการค้าแข้งที่ได้ไป 10 ใบแดงและ 42 ใบเหลือง ก็บอกได้เป็นอย่างดีว่าฟุตบอลแบบที่เขาเล่นมันมีอยู่จริง และในอดีต มันยิ่งเข้มข้นกว่าทุกวันนี้ที่มี VAR คอยตรวจสอบ
และถ้าคุณจะบอกว่าวิธีการเล่นแบบนี้เป็นของพวกขี้แพ้ มันก็อาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะ โจนส์ คนนี้นี่แหละที่เป็นกำลังสำคัญที่นำ วิมเบิลดัน เอาชนะ ลิเวอร์พูล ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ปี 1988 ซึ่งวันนั้น โจนส์ รับหน้าที่ประกบ สตีฟ แม็คแมน ปีกตัวจี๊ดของทีมหงส์แดงด้วยสารพัดศาสตร์มืดจนอยู่หมัด และเครซี่แก๊งของเขา กลายเป็นตำนานในหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ
โดยสรุปจากแนวคิดของ "นักเตะที่เล่นสกปรกเก่งที่สุด" ก็คือ ถ้าคุณเก่ง คุณอาจจะแค่พยายามทำให้ลูกฟุตบอลเข้าประตู แต่ถ้าคุณไม่ได้เก่งขนาดนั้น มันก็มีทางเลือก 2 ทาง นั่นคือยอมรับว่าด้อยกว่าและแพ้ไป หรือไม่ก็เลือกเล่นในวิธีที่คุณจะเอาชนะได้ ... แม้บางครั้งคุณจะต้องบีบกล่องดวงใจของเขาก็ตาม ซึ่งเรื่องนี้แน่นอนว่า โจนส์ ก็เคยทำมาแล้ว
ไม้ตายขั้นสุด
1
"วินนี่ โจนส์ บีบกล่องดวงใจ พอล แกสคอยน์" คือหนึ่งในวีรกรรมขั้นสุดของเขา เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1988
ย้อนกลับไปในเวลานั้น แกสคอยน์ คือนักเตะที่สื่ออังกฤษยกย่องว่า มีความเป็นอัจฉริยะและมีเซ้นส์ฟุตบอลมากที่สุดในรอบ 50 ปี โดย ณ เวลาดังกล่าว แกสคอยน์ เล่นให้กับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด และต้องเจอกับ วิมเบิลดัน ที่มี โจนส์ นำทัพ
โจนส์ เล่าย้อนหลังว่า อันที่จริงเขาพยายามที่จะเล่นในเกมของตัวเองอย่างมากที่สุดเพื่อจะหยุด "แก๊ซซ่า" ให้ได้ แม้จะต้องเตะ ต้องหวด ต้องกางศอก แบบที่เขาใช้หยุดนักเตะคนอื่น ๆ แต่นี่คือ แกสคอยน์ และ แกสคอยน์ เก่งเกินกว่าจะใช้ลูกไม้ง่าย ๆ อย่างนั้นได้
ต้องอธิบายเพิ่มสักหน่อยว่า แกสคอยน์ ไม่ใช่นักเตะที่มีแค่ความเก่งกาจอย่างเดียว แต่มีความเป็น "จิ๊กโก๋" อยู่ในตัวสูงมาก เขาไม่ใช่นักเตะที่จะวิ่งไปให้คนอื่นเตะขาหรือเล่นแรง ๆ ใส่ได้ง่าย ๆ
เขาฉลาดเป็นกรด และมักจะตอบกลับคุณด้วยวิธีที่ทำให้คุณต้องขายหน้า เช่นการพยายามแตะบอลลอดขาของคุณ ทั้ง ๆ ที่มีช่องอื่นให้เล่นมากมาย แต่เขาจะเลือกวิธีลอดขา เพื่อให้คุณรู้สึกเสียเซลฟ์
เท่านั้นยังไม่พอ แก๊ซซ่า ยังเป็น 1 ในแข้งปากสว่าง ที่ถึงจะหลอกคุณด้วยฟุตบอลไปแล้วก็ยังไม่สาแก่ใจ เขาจะหันมาพูดกับคุณด้วยถ้อยคำเยาะเย้ยตามแบบฉบับนักเตะยุคนั้น ... แล้วคุณลองนึกสภาพว่านักเตะผู้หัวร้อนที่สุดอย่าง โจนส์ เจอกระทำแบบนั้น เขาจึงต้องยกระดับการเล่นนอกเกมไปอีกขั้น
"ผมตะโกนว่า 'เฮ้ยไอ้อ้วน เดี๋ยวมึงรู้ ... ลองเข้าใกล้กูอีกที เดี๋ยวกูจะทำให้มึงไม่มีโอกาสได้เล่นฟุตบอลไปตลอดชีวิตเลย'" โจนส์ เล่าผ่านการสัมภาษณ์กับ The Mirror
"ดูเหมือนเขาจะยิ้ม แล้วมันก็กระตุ้นผมดีมาก ผมเลยบอกว่า 'มึงรอแป๊บ เดี๋ยวกูไปหามึงแน่' แล้วจังหวะของผมก็มาถึงในจังหวะที่ นิวคาสเซิล ได้ฟรีคิก ผมจึงรับหน้าที่ประกบแก๊ซซ่า แน่นอนผมไม่อยากให้เขาเคลื่อนที่หาลูกฟุตบอล ผมพยายามจะหยุดเขา แต่เขาพูดสวนกลับมาว่า 'อะไรนักหนาวะ ไอ้พวกนักเตะค่าจ้าง 100 ปอนด์' (ดูถูก) ... ผมก็แบบว่า อ้าววว ได้เรื่องดิแบบนี้"
การเขี่ยของ แกสคอยน์ ได้ผล เมื่อฟรีคิกกำลังจะเริ่มเตะ โจนส์ ก็ขยับเข้าใกล้เขาและใช้ท่าไม้ตายที่เขาไม่เคยใช้ (หรืออาจจะเคยใช้ แต่ไม่เคยถูกถ่ายภาพได้) ด้วยการคว้าไปที่กล่องดวงใจของแกสคอยน์ และบีบเข้าไปแบบเต็มไม้เต็มมือ
คุณไม่รู้หรอกว่าเขาใส่แรงในการบีบไปแค่ไหน แต่ถ้าคุณโฟกัสที่ใบหน้าของ แกสคอยน์ คุณจะรู้ว่า นี่ไม่ใช่การบีบเล่นขำ ๆ แน่นอน สีหน้าของเขาเจ็บปวดรวดร้าว ชนิดที่ว่าชายทุกคนบนโลกนี้ล้วนเข้าใจว่ามันจุกถึงไส้ขนาดไหน
"ผมโคตรจะตั้งใจเล่นงานเขา และหยามเหยียดเขาไปในคราวเดียว ผมเล็งไว้อย่างดี และคว้ามันได้ตรงเป๊ะ เพอร์เฟ็กต์มาก ผมจับและบีบอย่างเข้ามือโดยที่ไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ" โจนส์ เล่าพร้อมรอยยิ้ม
2
และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แกสคอยน์ ที่ก่อนหน้านี้หยุดยังไงก็หยุดไม่อยู่ ต้องหนีการประกบของ โจนส์ ไปเล่นฝั่งอื่นของสนาม และเกมนี้ก็จบลงด้วยการที่ทีมแกร่งอย่าง นิวคาสเซิ่ล ทำได้แค่เสมอกับ วิมเบิลดัน 0-0
"ในห้องแต่งตัวหลังเกมจบ นักเตะทุกคนในทีมเดินมาหาผมและชมผม บอกว่าผมเล่นได้ดีมากในการจัดการกับ แก๊ซซ่า ... นั่นแหละคือตอนจบของมัน" โจนส์ ทิ้งท้าย
1
จิ๊กโก๋ต้องจบในเกม
1
การเล่นงานกล่องดวงใจของ แกสคอยน์ ครั้งนั้น ส่งให้ภาพของ โจนส์ กลายเป็นไอ้สกปรกยิ่งกว่าเดิม แต่ก็นั่นแหละ อย่างที่บอกว่าเขาไม่เคยเสียใจและไม่เคยคิดจะขอโทษกับสิ่งที่เคยได้ทำลงไปในอดีต เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจทำลายอาชีพของใคร และเป็นวิถีที่เขาจะรักษาอาชีพกับรายได้ของตัวเอง
เขายืนยันว่า เห็นเขาเป็นคนเล่นแรงแบบนี้ แต่มันก็เป็นแค่อารมณ์ในเกมเท่านั้น เมื่อเกมจบ ทุกอย่างก็จบ เขามักจะเดินไปจับมือกับคู่แข่งทุกครั้ง ... แม้ว่าหน้าตาของเขาจะดูไม่เป็นมิตรจนทำให้หลายคนระแวงก็ตาม
เมื่อฟุตบอลคืองาน ทุกอย่างก็จะจบใน 90 นาที ... นักเตะที่ โจนส์ เล่นงานหลายคนก็กลายเป็นเพื่อนซี้กับเขาในภายหลัง เพราะนิสัยใจคอของเขาที่เป็นคนสนุกสนาน เฮฮา แม้กระทั่ง แกสคอยน์ เองก็ไม่ต่างกัน จากการบีบกล่องดวงใจครั้งนั้น พวกเขาทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนซี้กันได้แบบงง ๆ
"หลังเกมนั้นในห้องแต่งตัว ก็มีเจ้าหน้าที่สนามคนหนึ่งถือดอกกุหลาบสีแดงมาให้ผม และบอกผมว่า แกซซ่า เป็นคนส่งมาให้ ... ผมก็เลยบอกพนักงานคนนั้นว่า คุณรออยู่ที่นี่แป๊บ เดี๋ยวผมมา ผมวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ และหยิบแปรงขัดส้วมส่งให้กลับไป พร้อมบอกว่า 'ไปบอกไอ้อ้วนนั่นด้วย นี่คือของขวัญจากผม"
4
การทำลายเส้นแบ่งระหว่างการเล่นตลกและการเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตนั้น เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งคู่ทักทายพูดคุยกันตลอดเวลาที่เจอหน้า และด้วยเคมีนอกสนามที่เข้ากันได้ดี ทั้ง โจนส์ และ แก๊ซซ่า จึงมักจะเป็นเพื่อนร่วมวงเหล้าด้วยกันบ่อย ๆ จากนั้น โจนส์ ก็ไม่เคยทำอะไรแรง ๆ แย่ ๆ กับ แก๊ซซ่า อีกเลย แต่มันกลายเป็น แก๊ซซ่า เองนี่แหละที่รอวันแก้แค้นเรื่องนี้
"ไอ้แก๊ซซ่าแม่งโคตรแสบ มันนับวันล้างแค้นผมแบบจริงจัง หลังจากเหตุการณ์นั้นไม่กี่เดือน ตอนนั้นเขาย้ายมาอยู่ในกรุงลอนดอนแล้ว (ย้ายจาก นิวคาสเซิ่ล มาอยู่ สเปอร์ส) ด้วยความที่เราอยู่ในเมืองเดียวกันแล้ว (วิมเบิลดันก็เป็นสโมสรฟุตบอลในกรุงลอนดอนเช่นกัน) ผมนัดเขามางานปาร์ตี้ที่บ้านของผม และเรามีกิจกรรมยิงปืนกัน"
"ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งร่วมโต๊ะดื่มกันอย่างสนุกสนาน ไอ้นี่มันเอาคืนผม มันหยิบปืนลูกซองแบบ 2 ลำกล้องขึ้นมา และมันจ่อเข้าที่หัวของผมพร้อมพูด ... 'เฮ้ยวินนี่ มึงทายดูซิ ว่ากูจะกล้าลั่นไกหรือเปล่า'"
"ทุกคนในวงเหล้าแตกฮือกระจายคนละทิศคนละทาง ผมตกใจแทบหงายหลังจากเก้าอี้ ตะโกนกลับไปไม่ได้ศัพท์ 'ไอ้อ้วนเวรตะไล มึงเอาปืนหันไปทางอื่นสิโว้ย' คุณรู้ไหมมันตอบผมว่ายังไง ... 'กูจะหันไปทางอื่นก็ได้ ถ้าครั้งนี้มึงจับและขยำตูดกูน่ะ'"
โจนส์ ไม่ได้บอกว่าเขาจับตูดและขยี้บั้นท้ายของ แกสคอยน์ หรือไม่ แต่นั่นคือการเอาคืนที่เจ็บแสบ และกลายเป็นเรื่องฮาที่วงการฟุตบอลยุคนั้นเอามาพูดคุยกันเป็นประจำ ถ้าถามว่ามีใครโกรธใครหรือไม่ ก็ต้องบอกว่า ณ ตอนนี้เมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องตลกไปแล้ว ทุกคนต่างทำเพื่อชัยชนะเมื่อลงสนาม และบางคนก็หยุดตัวเองไม่ได้เมื่อโดนปั่นประสาท จนต้องทำอะไรออกไปโดยไม่ทันคิดก่อน แต่สุดท้ายจบเกมก็จบกัน นี่แหละคือเสน่ห์ที่แท้จริงของฟุตบอล ดังเช่นที่ โจนส์ และ แกสคอยน์ เป็นเพื่อนซี้กันมากว่า 30 ปี
"เราเจอกันในสนาม เราใส่กันหนักเต็มที่ตลอด แต่ทุกอย่างจบลงตรงนั้น เมื่อคุณถามว่าผมกับ แก๊ซซ่า คิดกันแบบไหน แน่นอนผมจะตอบว่า ผมให้ความเคารพในตัวเขา และเขาก็คงคิดไม่ต่างกัน เราต่างยอมรับกันและกัน และตอนนี้ ผมกับเขาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมายาวนาน" โจนส์ กล่าวทิ้งท้าย
ณ เวลานี้ ต่างคนก็ต่างมีเส้นทางของตัวเอง ส่วนตัวของ โจนส์ ก็หันไปเอาดีทางด้านการแสดง และคาแร็คเตอร์จิ๊กโก๋ของเขา ก็ทำให้เขาได้บทบาทที่ดูจะเป็นตัวตนของตัวเองอยู่บ่อยครั้ง เช่นเดียวกับผลงานล่าสุดของเขาที่ออนแอร์ใน Netflix อย่างเรื่อง The Gentleman ซีรี่ส์เกี่ยวกับวงการมาเฟียและอาชญากรรม ซึ่ง โจนส์ รับบทบาทพ่อบ้านสุดเท่ ที่เหมือนกับคงคาแร็คเตอร์สมัยที่เขาค้าแข้งเอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง
สุดท้ายนี้เรื่องนี้ก็สอนให้รู้ว่า การเล่นแรงเป็นเรื่องที่อยู่คู่กับวงการฟุตบอลมาอย่างยาวนาน แม้กระทั่งทุกวันนี้ที่มีเทคโนโลยีมากมาย คุณสามารถใช้มันทำให้ทีมของคุณได้เปรียบฉันใด ... คุณก็สามารถใช้มันทำให้ทีมของคุณตกอยู่ในสถานการณ์แย่ ๆ ได้เช่นกัน หากคุณทำมันได้ไม่แนบเนียนพอ
ทีนี้ก็อยู่ที่คุณเลือกแล้วว่า คุณจะเล่นแบบไหน และกล้าเสี่ยงแค่ไหนกับผลลัพธ์ที่รอคุณอยู่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
บทความโดย : ชยันธร ใจมูล
โฆษณา