8 ธ.ค. เวลา 10:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ

“The North Face” จากร้านขายอุปกรณ์ปีนเขา สู่แบรนด์เอาต์ดอร์ตัวท็อป

เปิดประวัติ “The North Face” แบรนด์เสื้อผ้าและอุปกรณ์สายเอาต์ดอร์ชื่อดัง จากร้านเล็ก ๆ ในซานฟรานซิสโก สู่การเป็นยักษ์ใหญ่วงการเอาต์ดอร์
หากเราเดินไปตามท้องถนนทุกวันนี้ หลายคนอาจสังเกตเห็นว่ามีคนใส่เสื้อผ้าหรือใช้กระเป๋าของ “The North Face” มากขึ้น แต่ทราบหรือไม่ว่า ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์นี้เคยจำกัดเฉพาะอยู่แค่ในกลุ่มของนักปีนเขา นักสกี และนักผจญภัยสายเอ็กซ์ตรีมเท่านั้น
จากร้านขายอุปกรณ์ปีนเขาเล็ก ๆ ในซานฟรานซิสโก แต่ปัจจุบัน The North Face ถือเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดสินค้ากลุ่มเอาต์ดอร์ ด้วยรายได้ต่อปีมากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (มากกว่า 1 แสนล้านบาท) พวกเขามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?
The North Face แบรนด์เอาต์ดอร์ยักษ์ใหญ่ของโลก
เหตุเกิดจากความรัก
“ดักลาส ทอมป์กินส์” เกิดที่เมืองคอนเนิต รัฐโอไฮโอ เมื่อปี 1943 เป็นบุตรของพ่อค้าของเก่า เขาใช้ชีวิตช่วงแรก ๆ ไม่กี่ปีในมหานครนิวยอร์ก ก่อนที่ครอบครัวจะย้ายไปที่เมืองมิลล์บรูก รัฐนิวยอร์ก
ต่อมาเขาไปเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาที่รัฐคอนเนตทิคัต แต่ในปี 1957 ถูกไล่ออกจากความผิดเล็กน้อยหลายประการ ทำให้เขาเรียนไม่จบ
ดักลาสใช้เวลาหลังจากนั้นในการใช้ชีวิตผจญภัยโลดโผน ทั้งเข้าร่วมการแข่งขันสกี และตระเวนไปปีนผาในโคโลราโด ยุโรป และอเมริกาใต้ และตั้งก๊วนปีนเขาขึ้นมา โดยหนึ่งในสมาชิกคือเพื่อนสนิทอย่าง “อีวอง ชูนาร์ด” ซึ่งในอนาคตจะเป็นผู้ก่อตั้ง “Patagonia” แบรนด์แฟชั่นสายรักษ์โลกนั่นเอง
ขณะอายุได้ประมาณ 20 ปี ดักลาสได้พบรักกับ ซูซี รัสเซลล์ พนักงานกาสิโนที่ให้เขาติดรถไปด้วยในขณะที่โบกรถไปยังทะเลสาบแทโฮ ต่อมาทั้งคู่แต่งงานกันในปี 1964 ที่เมืองซานฟรานซิสโก
หลังแต่งงาน คู่รักข้าวใหม่ปลามันมีความคิดอยากมีธุรกิจร่วมกัน และด้วยความรักในการปีนเขาแบบเข้าเส้น ทำให้ดักลาสและซูซีกู้เงิน 5,000 ดอลลาร์สหรัฐจากธนาคารมาก่อตั้งบริษัท The North Face, Inc. ในซานฟรานซิสโก ในฐานะบริษัท “ขายปลีกอุปกรณ์ปีนเขาและตั้งแคมป์” และมีบริการสั่งซื้อทางไปรษณีย์ด้วย
สำหรับชื่อของ The North Face นั้นมาจากคำเรียกด้านที่หนาวเย็นที่สุดและท้าทายที่สุดของภูเขาในการปีน ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นด้านเหนือของซีกโลกเหนือ ดักลาสจึงเลือกชื่อนี้เพื่อสะท้อนถึงภารกิจและความทุ่มเทอย่างเต็มที่ของแบรนด์
ดังนั้นแล้ว จะบอกว่า The North Face เกิดจากความรักที่ดักลาสมีต่อภรรยาและกิจกรรมการปีนเขาก็คงไม่ใช่เรื่องเกินเลยเท่าไรนัก
สินค้าขึ้นชื่อของ The North Face ในยุคนั้นคือเต็นท์ที่ทอมป์กินส์ออกแบบเอง โดยเป็นเต็นท์รูปโดมที่ไม่มีเสาตรงกลาง แต่ใช้แท่งงอได้สอดผ่านปลอกด้านนอกแทน ซึ่งเพิ่มความแข็งแรงของเต็นท์ เพราะทรงที่เป็นโดมทำให้กระแสผ่านไปได้โดยไม่พัดเต็นท์ปลิวเหมือนเต็นท์ทรงเดิม
เต็นท์รูปแบบโดมของดักลาสขายดิบขายดีจนเกิดการเลียนแบบกันอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก
“ThermoBall” หนึ่งในผลิตภัณฑ์ชื่อดังของ The North Face
ก่อตั้งแต่ไม่ได้ดูแลจนเติบโต
2 ปีหลังตั้งบริษัท The North Face ได้เปิดหน้าร้านสาขาแรกในวันที่ 26 ต.ค. 1966 ที่ถนนโคลัมบัสอเวนิวในซานฟรานซิสโก แต่ปีต่อมา ดักลาสขายหุ้นของเขาให้กับ “เคนเนธ แฮป คล็อปป์” นักศึกษา MBA (การจัดการธุรกิจ) มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในราคา 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ และออกเดินทางท่องเที่ยว
หลังจากนั้นทอมป์กินส์ได้ร่วมก่อตั้งแบรนด์แฟชั่น “Esprit” ร่วมกับภรรยาของเขา และขาย The North Face ทั้งหมด โดยตั้งใจที่จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างภาพยนตร์แนวผจญภัย
ก่อนที่เราจะไปดูการเติบโตของ The North Face ในยุคของคล็อปป์ ขอพูดถึงชีวิตหลังขาย The North Face ของดักลาสก่อน
หลังจากการขาย The North Face ดักลาสช่วยภรรยาดูแล Esprit จนมียอดขายปีละมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ ก่อนจะหย่าร้างและหันหลังให้โลกธุรกิจในปี 1989 โดยขายหุ้นทั้งหมดให้อดีตภรรยา และนำเงินที่ได้มาใช้ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและที่ดิน
ทอมป์กินส์ให้ความสนใจไปที่ภาคใต้ของชิลี เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการปีนเขา พายเรือคายัค และเล่นสกี
ในปี 1990 ดักลาสและคริสทีน แม็กดิวิตต์ ซีอีโอของ Patagonia ในขณะนั้น ได้ซื้อและอนุรักษ์พื้นที่ป่ามากกว่า 5 ล้านไร่ในประเทศชิลี เพื่อให้เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลที่จะไม่มีใครรุกล้ำเข้ามาทำลาย ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวมากกว่าบุคคลเอกชนรายอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในเจ้าของที่ดินเอกชนรายใหญ่ที่สุดในโลก
เพื่อมุ่งเน้นไปที่การอนุรักษ์ที่ดินและการรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม เขาได้ก่อตั้งมูลนิธิ Deep Ecology ในปี 1990 ซึ่งสนับสนุนการรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม และตั้งกองทุน The Conservation Land Trust ในปี 1992 (ปัจจุบันคือมูลนิธิ Tompkins Conservation) ซึ่งทำงานเพื่อปกป้องพื้นที่ป่าในชิลีและอาร์เจนตินา
ดักลาสให้ความสำคัญกับการสร้างสวนสาธารณะ การฟื้นฟูสัตว์ป่า เกษตรกรรมเชิงนิเวศ และการรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ เขาได้รวบรวมและอนุรักษ์ที่ดิน และมอบเป็นของขวัญให้กับรัฐบาลชิลี ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้รับการเปลี่ยนสัญชาติเป็นชาวชิลีหลังจากเสียชีวิตในปี 2015
ดักลาส ทอมป์กินส์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง The North Face
การเติบโตภายใต้ “คล็อปป์”
ในปี 1968 หลัง เคนเนธ แฮป คล็อปป์ ได้มาดูแล The North Face เขาได้ย้ายร้านไปยังอีกฟากหนึ่งของอ่าวซานฟรานซิสโก ไปที่ย่านเบิร์กลีย์แทน และเริ่มออกแบบและผลิตเสื้อผ้าและอุปกรณ์ปีนเขาที่เป็นออริจินัลของตนเอง
สินค้าออริจินัลตัวแรกของ The North Face ในยุคคล็อปป์คือ “Ruthsack” หรือกระเป๋าเป้แบบติดโครงรุ่นแรก ๆ ของโลก มีน้ำหนักเบาและใช้งานได้หลากหลาย ทำให้การเดินป่ากลายเป็นเรื่องปฏิวัติวงการด้วยการทำให้ทุกคนเข้าถึงได้ นี่คือจุดเริ่มต้นของ “การแบ็กแพ็ก” ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน
ต่อมาในปี 1971 The North Face เป็นที่รู้จักมากขึ้นเนื่องจากมีโลโก้ของตัวเองอย่างเป็นทางการ โดยเป็นรูปของ “Half Dome” หรือหินอัคนีมวลไพศาลขนาดมหึมาที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติโยเซมิตีของรัฐแคลิฟอร์เนีย
Halkf Dome ในอุทยานแห่งชาติโยเซมิตี รัฐแคลิฟอร์เนีย ต้นแบบโลโก้ The North Face
บริษัทเริ่มมีผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าครั้งแรกในปี 1977 โดยเจาะกลุ่มผู้เล่นสกีแบบเอ็กซ์ตรีมด้วยการเปิดตัว “GORE-TEX” เสื้อผ้าชั้นนอกสำหรับผู้เล่นสกี ซึ่งสามารถให้ความอบอุ่นได้แม้ในสภาวะที่เลวร้ายที่สุด เป็นเสื้อที่ระบายอากาศได้ดีและเหมาะกับทุกสภาพอากาศอย่างแท้จริงชุดแรกของแบรนด์
จากนั้นแบรนด์ได้ขยายขอบเขตไปยังกลุ่มนักปีนเขาด้วยเทคโนโลยีเดียวกับผลิตภัณฑ์สำหรับผู้เล่นสกี
นอกจากนี้ยังมี “Base Camp Duffel” กระเป๋าเดินทางซึ่งผลิตจากผ้าที่ทางบริษัทเคลมว่า “แทบจะทำลายไม่ได้” และได้รับการออกแบบมาเพื่อให้สามารถพาไปได้ทุกแห่ง ตั้งแต่สนามบินที่ดูแลกระเป๋าแย่ที่สุดในโลก ไปจนถึงบนภูเขาหิมะอันหนาวเหน็บและทะเลทรายอันแปรปรวน
นั่นทำให้ภายในสิ้นทศวรรษ 1980 The North Face กลายเป็นซัพพลายเออร์รายเดียวในสหรัฐฯ ที่นำเสนอคอลเลกชันเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ภายนอก ชุดสกี ถุงนอน เป้ และเต็นท์ที่มีประสิทธิภาพสูง เรียกได้ว่า ถ้าอยากไปผจญภัย The North Face มีให้คุณทุกอย่าง รวมถึงการรับประกันสินค้าด้วย
คล็อปป์เคยมห้สัมภาษณ์ว่า “ผมตัดสินใจว่าเราจำเป็นต้องเสนอการรับประกันเต็มรูปแบบสำหรับผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของเรา แนวคิดการรับประกันนั้นทำขึ้นสำหรับลูกค้าที่ภักดี แต่เนื่องจากพวกเขาจะเก็บอุปกรณ์ของ The North Face ที่พวกเขาเป็นเจ้าของตลอดไป เราจึงต้องเสนอผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมให้พวกเขาซื้อ”
นอกจากนี้ มีสิ่งอื่น ๆ ที่ทำให้ The North Face แตกต่างออกไป อย่างหนึ่งคือแคตตาล็อกประจำปีที่นำเสนอภาพพนักงานของบริษัทที่ใช้อุปกรณ์ของ The North Face ในการผจญภัยส่วนตัวทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งทำให้ลูกค้าได้เห็นผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
ด้วยความสำเร็จของชุดสกีและการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุปกรณ์และเครื่องแต่งกายสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง The North Face จึงเดินหน้าต่อไปได้อย่างสบาย ๆ และเริ่มก้าวสู่ตลาดโลก
“เราเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์กลางแจ้งรายแรกที่เริ่มทำการตลาดในญี่ปุ่นในช่วงปลายทศวรรษ 1970 จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยุโรปในปี 1983 ซึ่งเราได้ตั้งเครือข่ายการจัดจำหน่ายโดยมีโรงงานผลิตในสกอตแลนด์ แบรนด์เราจะต้องเป็นระดับโลก และเราได้ก้าวไปในจุดนั้น” คล็อปป์กล่าว
จากนั้นคล็อปป์ได้ขาย The North Face ให้บริษัท Odyssey ในปี 1989 ก่อนที่เมื่อปี 2000 บริษัท VF Corporation ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าจะเข้าซื้อกิจการ The North Face ด้วยข้อตกลงมูลค่า 25.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และกลายเป็นหนึ่งในเครือของ VF มาจนถึงปัจจุบัน
การตลาดผ่านการผจญภัยและท้าทายขีดจำกัด
ในช่วงแรก ๆ The North Face มุ่งเป้าไปที่กลุ่มตลาดเฉพาะของนักปีนเขาตัวยงและผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง
ความพยายามในการทำตลาดในช่วงแรกของแบรนด์จึงมุ่งเน้นไปที่การสร้างความน่าเชื่อถือภายในกลุ่มเป้าหมายนี้ โดยเป็นสปอนเซอร์สนับสนุนการผจญภัยและร่วมมือกับนักปีนเขาที่มีชื่อเสียง จนสร้างชื่อเสียงในฐานะผู้ผลิตอุปกรณ์ที่ทนทานและประสิทธิภาพสูงที่ออกแบบมาเพื่อทนต่อสภาวะที่ท้าทายที่สุด
การเดินทางผจญภัยครั้งแรกที่ได้รับการสนับสนุนจาก The North Face เป็นการเดินทางข้ามแม่น้ำโคยูคุกและอิทคิลลิกเป็นเวลา 30 วันรวมระยะทางกว่า 480 กิโลเมตร
ชในปี 1978 ทางแบรนด์ได้ให้การสนับสนุนทีมปีนเขาหญิงล้วนทีมแรกในการพิชิตยอดเขาอันนาปุรณะที่ความสูง 8,000 เมตรได้สำเร็จ หรือในปี 1990 ทีมนานาชาติออกเดินทางด้วยสุนัขลากเลื่อนข้ามทวีปแอนตาร์กติกาเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่ต้องเดินทางไกลถึง 6,400 กิโลเมตร โดยที่แน่นอนว่าพวกเขาสวมเสื้อและอุปกรณ์ของ The North Face
หลังจากนั้น The North Face เริ่มปรากฏตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในกลุ่มนักปีนเขา นักเล่นสกี นักเดินป่า และนักผจญภัยรูปแบบต่าง ๆ จนชื่อเสียงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสหรัฐฯ อีกต่อไป และทั่วโลกต่างรับรู้ว่า ถ้าต้องการผจญภัย ต้องไปหา The North Face
The North Face ทำการตลาดผ่านการผจญภัย
ไม่ต้องผจญภัยก็ใช้ The North Face ได้
แม้ The North Face ดูเหมือนจะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายแค่ในกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง แต่ผลิตภัณฑ์หลายตัวที่ออกมาแล้วคนทั่วไปก็เข้าถึงได้ง่าย เช่น แจ็กเก็ตขนแกะ “Denali” ซึ่งดึงดูดฐานผู้บริโภคที่กว้างขึ้น
แจ็กเก็ต Denali ซึ่งเป็นแจ็กเก็ตขนแกะแบบรูดซิป ด้วยน้ำหนักที่เบา ทนทาน และอบอุ่นเป็นพิเศษ ทำให้แม้แต่คนทั่วไปยังเริ่มนิยมใส่เสื้อของ The North Face
จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดในกลุ่มลูกค้าของบริษัทคือช่วงปลายทศวรรษ 1990 และต้นทศวรรษ 2000 หลังการเปิดตัวแจ็กเก็ต “Nuptse” อันโด่งดัง
Nuptse เป็นภาษาธิเบตที่แปลว่า “ยอดเขาทางทิศตะวันตก” รวมถึงเป็นชื่อยอดเขาที่อยู่ห่างจากเอเวอเรสต์ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 1.6 กิโลเมตร และถือเป็นยอดเขายอดนิยมสำหรับการปีนเขา
เสื้อแจ็คเก็ต Nuptse มีโครงสร้างที่สร้างสรรค์ใหม่ซึ่งช่วยลดการเคลื่อนตัวของขนอ่อนและเพิ่มความอบอุ่น กลายเป็นสินค้าไอคอนิกสำคัญของแบรนด์ที่แม้แต่ผู้คนที่อาศัยอยู่แต่ในเมืองยังซื้อไปสวมใส่
แจ็กเก็ต “Nuptse” สินค้าอันเป็นที่จดจำของ The North Face
เมื่อตระหนักถึงแนวโน้มนี้ The North Face จึงได้ปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคในเมืองโดยยังคงรักษาเอกลักษณ์หลักของกิจกรรมกลางแจ้งเอาไว้ แบรนด์เริ่มสร้างสมดุลระหว่างภาพลักษณ์และข้อความที่สื่อสาร โดยจัดแสดงผลิตภัณฑ์ทั้งในภูมิประเทศกลางแจ้งที่ยากลำบากและสภาพแวดล้อมในเมือง
อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ถูกใจทั้งนักผจญภัยและคนในเมืองคือ “ThermoBall” ซึ่งเปิดตัวในปี 2013 หลังผ่านการทดสอบในทริปเส้นทางสุดทรหดอย่างครีบฉลามของยอดเขาเมรู (Meru Shark’s Fin) และยอดเขาเอเวอเรสต์บริษัท ใช้เทคโนโลยีฉนวนสังเคราะห์ประเภทใหม่ที่เลียนแบบขนเป็ดที่ให้ความอบอุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงมีรูปร่างที่เรียบง่ายทะมัดทะแมง ทำให้ได้ใจลูกค้าทุกกลุ่ม
นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา แบรนด์เริ่มแนะนำเสื้อผ้าสำหรับไลฟ์สไตล์และชุดลำลองมากขึ้นนอกเหนือจากชุดเอาต์ดอร์แบบดั้งเดิม ซึ่งส่งผลให้มีกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้งแบบที่ไม่เอกซ์ตรีมมาก
ไม่เพียงเท่านั้น The North Face ยังเอาใจสายแฟชั่นด้วยกลยุทธ์การ “คอลแลบ” หรือการร่วมมือกับแบรนด์และนักออกแบบอื่น ๆ เพื่อดึงดูดผู้บริโภคที่ใส่ใจแฟชั่นรุ่นใหม่ได้ ความร่วมมือกับแบรนด์ต่าง ๆ เช่น Supreme และ Gucci ทำให้ The North Face เข้าสู่วงการสตรีทแวร์และแฟชั่นชั้นสูง ทำให้แบรนด์มีความน่าดึงดูดและเป็นที่รู้จักมากขึ้น
กลยุทธ์ทั้งด้านการผจญภัยและแฟชั่นของแบรนด์ทำให้รายได้ในปี 2023 ยังคงอยู่ในขาขึ้น โดยทำรายได้ไปทั้งสิ้น 3.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.26 แสนล้านบาท) โตขึ้นจากปีก่อนหน้าเล็กน้อยราว 1.7%
ไม่ลืมที่จะรักษ์โลก
ความยั่งยืนเป็นประเด็นหลักในการทำการตลาดของ The North Face มากตั้งแต่ก่อนปี 2000 คล้ายกับจะสืบทอดความตั้งใจของผู้ก่อตั้งอย่าง ดักลาส ทอมกินส์ โดย The North Face ได้ร่วมก่อตั้ง The Conservation Alliance ร่วมกับ REI, Patagonia และ Kelty โดยแจกจ่ายค่าธรรมเนียมสมาชิกประจำปีให้แก่องค์กรภาคประชาชนที่ทำงานเพื่อปกป้องพื้นที่ป่าของอเมริกาเหนือ
ขณะที่ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา แบรนด์นี้มุ่งมั่นที่จะริเริ่มโครงการด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น การใช้วัสดุรีไซเคิลและการลดปริมาณการปล่อยคาร์บอน
ในช่วงปี 2010 The North Face เริ่มให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังมากขึ้น โดยเริ่มเปิดตัวโครงการต่าง ๆ เช่น “Clothes the Loop” ที่เกิดให้ผู้บริโภคสามารถนำเสื้อผ้าและรองเท้าจากแบรนด์ใดก็ได้ในทุกสภาพมาบริจาคที่ร้านค้าของ The North Face
โครงการพิเศษอีกโครงการหนึ่งคือ “Renewed” ซึ่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ The North Face ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่และซ่อมแซม ดึงดูดผู้ซื้อกลุ่มที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
นี่คือการเดินทางของ The North Face จากแบรนด์อุปกรณ์ปีนเขาเล็ก ๆ มาเป็นแบรนด์ระดับโลกที่เน้นหนักไปที่เสื้อผ้าและอุปกรณ์เอาต์ดอร์ระดับพรีเมียมที่เน้นความยั่งยืนควบคู่ไปด้วย
ประวัติธุรกิจ The North Face
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : https://www.pptvhd36.com/wealth/trick-trend/238000
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา