6 ธ.ค. เวลา 12:47 • หุ้น & เศรษฐกิจ

วิเคราะห์ภาษีสหรัฐฯ: หลายรัฐปรับนโยบายดึงดูดเงินทุน สะท้อนข่าวรัฐบาลไทยเสนอแนวคิดปรับภาษี จนทัวร์ลง

เมื่อรัฐบาลไทยเสนอแนวคิดปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็น 15% และปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 15% เพื่อเพิ่มรายได้รัฐและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนบางส่วนว่า การลดภาษีให้เหลือ 0% เช่นเดียวกับรัฐโอเรกอนและเดลาแวร์ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่มีการเก็บภาษีการขาย เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือการไม่เก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเลย เช่น รัฐเท็กซัส ฟลอริดา และเนวาดา เพื่อดึงดูดประชากรและแรงงาน อาจเป็นแนวทางที่ดีกว่าในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากเชื่อว่าประชาชนมีความสามารถในการจัดการเงินและรายได้ของตนเองได้ดีกว่ารัฐ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างงานมากขึ้น ดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถ และป้องกันการใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสมของรัฐ
ในขณะเดียวกัน มีความเห็นจากประชาชนบางส่วนว่า การแก้ปัญหาของประเทศไทยไม่ควรอยู่ที่การขึ้นภาษี แต่ควรมุ่งเน้นไปที่การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมไทย หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันได้ การขึ้นภาษีแม้ถึง 30% ก็อาจไม่เกิดประโยชน์ เนื่องจากเงินที่ได้อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม
2
นอกจากนี้ การขึ้นภาษีอาจส่งผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อยและชนชั้นกลางอย่างรุนแรง จึงมีข้อเสนอให้ปรับฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จาก 1.8 ล้านบาท เป็น 5 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน และพิจารณาอัตราค่าจ้างแรงงานที่เหมาะสม โดยเปรียบเทียบกับประเทศสิงคโปร์ที่มีอัตราภาษีเพียง 9% แต่มีค่าจ้างแรงงานสูงกว่า
วันนี้เราเลยจะพามาดูรายละเอียดกันครับว่าหลายๆรัฐในสหรัฐอเมริกา เค้ามีนโยบายแบบไหน ทำกันอย่างไร เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุนเข้ามาโดยภาระไม่ตกลงไปอยู่ที่ประชาชน(ชนชั้นกลาง-ล่าง)
รัฐอย่าง Oregon, Delaware, Texas, Florida และ Nevada ได้ใช้กลยุทธ์ด้านนโยบายภาษีเพื่อดึงดูดธุรกิจและผู้อยู่อาศัย ส่งผลให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจและเพิ่มความน่าสนใจในฐานะจุดหมายปลายทางการลงทุน
[Oregon]
Oregon ไม่มีการเก็บภาษีซื้อขาย (Sales Tax) ในระดับรัฐ ซึ่งช่วยลดต้นทุนการดำรงชีวิตและการดำเนินธุรกิจ อย่างไรก็ตาม รัฐนี้เก็บ Corporate Activity Tax (CAT) กับธุรกิจที่มีรายได้ต้องเสียภาษีเกินกว่า $1 ล้านต่อปี โดยคำนวณเป็น $250 + 0.57% ของรายได้
ในประเทศไทย ราคาสินค้าหรือบริการที่เราซื้อจะรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ไว้แล้ว เช่น หากสินค้าราคา 100 บาท นั่นคือราคาที่รวม VAT เรียบร้อย
ในสหรัฐอเมริกา ราคาสินค้าจะแยกจากภาษีขาย (Sales Tax) ซึ่งแต่ละรัฐมีอัตราภาษีที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น หากซื้อสินค้าที่ Minnesota ราคา 100 ดอลลาร์ จะถูกบวก Sales Tax 7.49% รวมเป็น 107.49 ดอลลาร์
[Delaware]
Delaware มีชื่อเสียงในฐานะรัฐที่เป็นมิตรต่อธุรกิจ โดยไม่มีการเก็บภาษีซื้อขายทั้งในระดับรัฐและท้องถิ่น
(ภาษีซื้อขายระดับรัฐ เป็นภาษีที่รัฐบาลของแต่ละรัฐกำหนดและเก็บโดยตรงจากการขายสินค้าหรือบริการ อัตราภาษีจะแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ เช่น บางรัฐอาจไม่มีการเก็บภาษีนี้เลย
ส่วน ภาษีซื้อขายระดับท้องถิ่น เป็นภาษีที่กำหนดโดยรัฐบาลท้องถิ่น เช่น เมืองหรือเทศมณฑล (County) ซึ่งจะบวกเพิ่มจาก State Sales Tax)
อีกทั้ง Delaware ยังมีกรอบกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อบริษัท โดยเฉพาะ Court of Chancery ซึ่งเชี่ยวชาญด้านกฎหมายธุรกิจ ส่งผลให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ กว่าครึ่งจดทะเบียนใน Delaware
นอกจากนี้ รัฐยังเก็บภาษี Gross Receipts Tax (ภาษีจากรายรับรวม) ในอัตรา 0.096%-1.92% ขึ้นอยู่กับประเภทกิจกรรมธุรกิจ
[Texas]
Texas ดึงดูดทั้งธุรกิจและบุคคลด้วยการไม่มีการเก็บภาษีเงินได้ของรัฐ ช่วยลดภาระภาษีโดยรวม แต่รัฐชดเชยด้วยภาษีทรัพย์สินที่สูงขึ้นและภาษีแฟรนไชส์สำหรับธุรกิจ
โปรแกรมอย่าง Chapter 313 of the Texas Tax Code ยังเสนอการจำกัดภาษีทรัพย์สินให้กับธุรกิจขนาดใหญ่ เพื่อส่งเสริมการลงทุนขนาดใหญ่และการสร้างงาน วิธีนี้ดึงดูดบริษัทอย่าง Tesla ให้สร้างโรงงาน Gigafactory ในรัฐนี้
[Florida]
Florida ไม่มีการเก็บภาษีเงินได้ของรัฐ ทำให้รัฐนี้ดึงดูดทั้งผู้เกษียณอายุและแรงงาน รัฐพึ่งพาภาษีการขายและภาษีทรัพย์สินในการหารายได้ แม้ว่าภาษีทรัพย์สินในเมืองอย่าง Jacksonville, Tampa และ Miami จะเพิ่มขึ้นถึง 60%, 57%, และ 48% ตามลำดับตั้งแต่ปี 2019 แต่ Florida ยังคงเติบโตด้านประชากร โดยมีผู้คนเพิ่มขึ้นเกือบ 670,000 คน และรายได้รวมแล้วเพิ่มขึ้นเกือบ $9.9 หมื่นล้าน ระหว่างปี 2019 ถึง 2022
(ภาษีทรัพย์สิน คือภาษีที่เรียกเก็บจากมูลค่าของทรัพย์สินที่บุคคลหรือองค์กรเป็นเจ้าของ ซึ่งมักเป็นทรัพย์สินที่ไม่เคลื่อนที่ เช่น ที่ดิน อาคาร บ้านพักอาศัย หรือโรงงาน)
[Nevada]
Nevada ไม่มีการเก็บภาษีเงินได้ส่วนบุคคลและนิติบุคคล พร้อมด้วยสภาพแวดล้อมทางกฎหมายที่เป็นมิตรต่อธุรกิจ ทำให้รัฐนี้ดึงดูดบริษัทที่ต้องการลดต้นทุนการดำเนินงาน
1
รัฐมีการเก็บ Commerce Tax กับธุรกิจที่มีรายได้เกินกว่า $4 ล้านต่อปี โดยอัตราภาษีจะแตกต่างไปตามอุตสาหกรรม บริษัทอย่าง Tesla ได้ตั้งฐานการผลิตขนาดใหญ่ เช่น Gigafactory ใน Nevada และได้รับประโยชน์จากสิทธิพิเศษทางภาษีของรัฐ
[ข้อได้เปรียบทางเศรษฐกิจและการลงทุน]
นโยบายภาษีเหล่านี้ช่วยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ การสร้างงาน และการไหลเข้าของการลงทุน ตัวอย่างเช่น Texas และ Florida มีการเติบโตของประชากรและรายได้อย่างมาก โดย Texas เพิ่มประชากรเกือบ 490,000 คน และรายได้รวมที่ปรับปรุงแล้วมากกว่า $2.7 หมื่นล้าน ระหว่างปี 2019 ถึง 2022
อย่างไรก็ตาม ข้อดีของการไม่มีภาษีเงินได้บางครั้งถูกหักล้างด้วยภาษีทรัพย์สินที่สูงขึ้นหรือค่าธรรมเนียมอื่นๆ ซึ่งส่งผลต่อค่าครองชีพและต้นทุนการทำธุรกิจโดยรวม
โดยสรุป กลยุทธ์ด้านภาษีของ Oregon, Delaware, Texas, Florida และ Nevada มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจและความน่าดึงดูดสำหรับธุรกิจและผู้อยู่อาศัย แม้ว่านโยบายเหล่านี้จะมีข้อได้เปรียบอย่างมาก แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องบริหารจัดการอย่างรอบคอบเพื่อรักษาการเติบโตและความน่าสนใจในระยะยาว
โฆษณา