8 ธ.ค. เวลา 12:54 • ไลฟ์สไตล์

วันนี้ขอ "อีก หนึ่งวัน มองข้ามความอวบไปก่อน วันบราวนี่แห่งชาติ 8 ธันวาคม National Brownie Day

วันที่ 8 ธันวาคมของทุกปี จะเป็นวันสำหรับผู้ที่ชื่นชอบบราวนี่ ถือเป็นโอกาส ที่จะได้ทั้งความอร่อยและความสุขจากบราวนี่ที่เหนียวหนึบและเข้มข้น ทั้งเนื้อสัมผัสแบบ บราวนี่ฟัดจ์ แบบบราวนี่กรอบ แบบเนื้อเค้ก แบบชิววี่บราวนี่ ไม่ว่าจะเป็นบราวนี่ช็อกโกแลตหรือบลอนดี้ และไม่ว่าจะแบบไหนก็ตาม บราวนี่จะทำให้คุณดื่มด่ำกับความอร่อยและปล่อยให้โลกแห่งความจริงละลายหายไปชั่วขณะ "ใช่แล้วมันเป็นแบบนั้นสำหรับใครหลายคน"
.
ตำนานเล่าว่า บราวนี่ได้รับการคิดค้นขึ้นที่โรงแรม Palmer House ในปี ค.ศ. 1893 เบอร์ธา พาล์มเมอร์ (Bertha Palmer) ซึ่งเป็นสตรีชั้นสูงในชิคาโกและสามีเป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ ได้ขอให้เชฟทำขนมหวานที่เหมาะสำหรับผู้หญิงที่เข้าร่วมงาน Chicago World’s Columbian Exposition เธอต้องการขนมชิ้นเล็กๆ ที่มีลักษณะเหมือนเค้กและสามารถใส่ในกล่องอาหารกลางวันได้ ผลลัพธ์ที่ได้คือบราวนี่ Palmer House ที่มีวอลนัทและเคลือบด้วยแอปริคอต ซึ่งโรงแรม Palmer House ยังคงเสิร์ฟขนมหวานสูตรนี้อยู่จนถึงปัจจุบัน
.
มีตำนานเล็กๆ อีกอย่างเล่าว่า บราวนี่ถือกำเนิดขึ้นเพราะแม่ครัวที่ชื่อ "บราวนี่" ลืมใส่ผงฟูลงในเค้ก ขนมจงไม่ขึ้นฟู และกลายเป็นบราวนี่จนถึงทุกวันนี้ อยู่ด้วย! (*ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยืนยันว่าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นจริง)
.
ชื่อนี้ถูกตั้งให้กับขนมหวานนี้ในช่วงหลังปี ค.ศ. 1893 แต่หนังสือหรือวารสารเกี่ยวกับการทำอาหารยังไม่ได้ใช้ชื่อนี้ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1907 บราวนี่ได้รับการยอมรับ และปรากฏในหนังสือ "Lowney’s Cook Book" โดย Maria Willet Howard ซึ่งเป็นการดัดแปลงสูตร "Bangor Brownie" ของ Boston Cooking School โดยเพิ่มไข่และช็อกโกแลตอีกชิ้น ทำให้ขนมหวานมีรสชาติเข้มข้นขึ้น
.
ชื่อ "Bangor Brownie" มาจากเมือง Bangor ในรัฐ Maine ซึ่งตำนานกล่าวว่าเป็นบ้านเกิดของแม่บ้านที่คิดค้นสูตรบราวนี่สูตรดั้งเดิม Mildred Brown Schrumpf นักการศึกษาด้านอาหารและนักเขียนคอลัมน์ของรัฐ Maine เป็นผู้สนับสนุนหลักของทฤษฎีที่ว่าบราวนี่ถูกคิดค้นขึ้นในเมือง Bangor
แม้ว่าหนังสือ "The Oxford Companion to American Food and Drink" จะหักล้างข้อสันนิษฐานนี้ แต่ "The Oxford Encyclopedia of Food and Drink in America" กลับพบหลักฐานที่สนับสนุนทฤษฎีนี้ในรูปแบบของหนังสือสอนทำอาหารหลายเล่มจากปี 1904 ที่มีสูตรทำ "บราวนี่เมือง Bangor" รวมอยู่ด้วย
.
บราวนี่ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของช็อกโกแลต, เนย, น้ำตาล, ไข่ไก่ และแป้งสาลีอเนกประสงค์ ซึ่งวัตถุดิบล้วนแล้วแต่เป็นที่ชื่นชอบของคนส่วนใหญ่ และเนยถือเป็นหนึ่งในส่วนประกอบที่สำคัญ
.
เนยจากยุคโบราณสู่ปัจจุบัน..
เนย หรือ Butter เป็นหนึ่งในอาหารที่เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์เคยรู้จักและใช้ในการปรุงอาหาร ตลอดประวัติศาสตร์ยาวนาน เนยมีบทบาทสำคัญทั้งในวัฒนธรรมการบริโภคอาหารและการใช้งานในทางการแพทย์
การทำเนยอาจมีขึ้นตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ การพบร่องรอยของการทำเนยในเครื่องปั้นดินเผาที่อยู่ในสถานที่ขุดค้นทางโบราณคดีต่างๆ เช่น ในตะวันออกกลางและยุโรป นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าการทำเนยเริ่มขึ้นเมื่อมนุษย์รู้จักการเลี้ยงสัตว์นมอย่างแกะและวัว
ใน ยุคโรมันโบราณ เนยไม่ใช่อาหารที่ใช้บริโภคทั่วไปในหมู่ชาวโรมัน แต่จะใช้เป็นผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ และเครื่องสำอางมากกว่า ซึ่งในยุคโรมันใช้เนยในการรักษาบาดแผลและผิวแห้ง นอกจากนี้ยังมีการบันทึกว่าเนยถูกใช้ในการปรุงอาหารบางเมนูของชาวโรมันเช่นกัน
ยุคโรมัน หรือ Roman Era เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์โลก มีการแบ่งออกเป็นหลายยุคสำคัญ แต่ละยุคมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในด้านการปกครอง วัฒนธรรม และสังคม
ยุคก่อตั้งและยุคสาธารณรัฐ (753–27 ปีก่อนคริสตกาล)
การก่อตั้งกรุงโรมในปี 753 ก่อนคริสตกาล ตามตำนานเล่าว่า โรมูรัส (Romulus) และเรมูส (Remus) สองพี่น้องเป็นผู้ก่อตั้งเมืองกรุงโรม
ยุคสาธารณรัฐโรมัน เริ่มต้นในปี 509 ก่อนคริสตกาล หลังจากที่โรมันล้มล้างการปกครองแบบกษัตริย์ เป็นยุคที่มีการจัดตั้งระบบการปกครองที่มีสภาผู้แทนราษฎร (Senate) และสภาผู้แทนประชาชน (Assembly)
ยุคจักรวรรดิโรมัน (27 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 476)
ยุคจักรวรรดิแรก เริ่มต้นเมื่อออกัสตุส (Augustus) ขึ้นเป็นจักรพรรดิคนแรกในปี 27 ก่อนคริสตกาล เป็นยุคที่กรุงโรมเจริญรุ่งเรืองทั้งในด้านการทหาร เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม
ยุคสันติภาพโรมัน (Pax Romana) เป็นช่วงที่โรมันมีความสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองในสมัยจักรพรรดิออกัสตุสจนถึงสมัยจักรพรรดิ Marcus Aurelius ในช่วงนี้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน สะพาน และอาคารสาธารณะ
ยุคจักรวรรดิตอนกลาง เริ่มจากปลายศตวรรษที่ 3 เมื่อจักรวรรดิต้องเผชิญกับการโจมตีจากชนเผ่าต่างชาติ และปัญหาภายในอย่างการปกครองที่อ่อนแอและการแบ่งแยกดินแดน
ยุคฟื้นฟูโรมัน (ค.ศ. 476–1453)
การล่มสลายของจักรวรรดิตะวันตก เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 476 เมื่อจักรพรรดิรอมูลุส ออกุสตุลุส ถูกยึดครองโดยชาวเจอร์แมนิก เป็นจุดสิ้นสุดของจักรวรรดิตะวันตก
จักรวรรดิตะวันออก (จักรวรรดิไบแซนไทน์) ยังคงอยู่และเจริญรุ่งเรืองต่อไปจนถึงการล่มสลายของกรุงคอนสแตนติโนเปิลในปี ค.ศ. 1453
.
การเจริญรุ่งเรืองและการพัฒนาในยุคโรมันมีผลกระทบที่ยาวนานต่อประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมโลก มรดกของโรมันยังคงเห็นได้ในหลายด้าน เช่น สถาปัตยกรรม วรรณคดี แศิลปะ และกฎหมาย รวมทั้งระบบการปกครองที่มีอิทธิพลต่ออารยธรรมตะวันตก
.
อ่านยาวๆ แล้วอาจจะเริ่มหิวเล็กน้อยกันแล้วไหม
บราวนี่ เอามาผสมเป็นได้อีกหลายเมนูที่เห็นแล้วก็ยากจะอดใจไหวนะ
1. บราวนี่ซันเดย์ (Brownie Sundae)
2. ช็อกโกแลตลาวาบราวนี่ (Chocolate Lava Brownie)
3. บราวนี่ชีสเค้ก (Brownie Cheesecake)
4. บราวนี่พาร์เฟต์ (Brownie Parfait)
5. ช็อกโกแลตเฟรนช์โทสต์บราวนี่ (Chocolate Brownie Stuffed French Toast)
.
ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ ชอบบราวนี่แบบไหนกัน
เวลายากกิน บราวนี่ อยากกินไอติมด้วย ถ้าแบบเข้าถึงง่ายๆ เลยนี่อยากบอกว่า ร้านแรกที่นึกถึงคือ แดรี่ควีน กับเมนู บลิซซาร์ด ช็อก บราวนี่..
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: nationaldayfood
: tasteatlas
: wikipedia
.
LookAt
โฆษณา