10 ธ.ค. เวลา 04:04 • การเมือง

วิเคราะห์ “สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซีย” อัพเดท 9 ธันวาคม 2024

จากนักวิเคราะห์ทั้งฝั่งรัสเซียและตะวันตก
การล่มสลายในเวลาอันรวดเร็วของระบอบการปกครองของ บาชาร์ อัล-อัสซาด ในซีเรียมีแนวโน้มที่จะสร้างต้นทุนทางภูมิรัฐศาสตร์ ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ (หน้า) และอาจรวมถึงความมั่นคงภายในประเทศให้กับรัสเซียด้วย จากการวิเคราะห์ของ RM ต้นทุนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ชัดเจนอย่างหนึ่งคือการสูญเสียหนึ่งในพันธมิตรทางการทหารและการเมืองที่มอสโกยังคงรักษาไว้ได้หลังยุคโซเวียตล่มสลาย [1]
นอกจากนี้การที่รัสเซียไม่สามารถช่วยให้อัสซาดยังคงรักษาอำนาจของเขาในซีเรียได้นั้นยังสร้างความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือให้กับรัสเซียอีกด้วย ทำให้รัสเซียไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จากผลกระทบต่อการพิจารณาของผู้นำประเทศต่างๆ ที่กำลังชั่งน้ำหนักระหว่างต้นทุนและผลประโยชน์ของการได้เป็นพันธมิตรกับรัสเซีย
1
ในที่สุดกองกำลังต่อต้านอัสซาดที่ได้รับชัยชนะซึ่งมีหลายกลุ่มและมีเป้าหมายแตกต่างกันไปนั้นรวมถึงกลุ่มญิฮาดซุนนีที่เคยมีความเกี่ยวข้องกับอัลกออิดะห์และไอเอส ผลกระทบหลังจากการล้มอำนาจอัสซาดในซีเรียอาจทำให้เกิดการสนับสนุนกลุ่มญิฮาดที่ก่อเหตุรุนแรงทางการเมืองต่อรัสเซียอีกด้วย
เครดิตภาพ: Ghaith Alsayed / AP
แม้แต่นักวิจารณ์ชาวรัสเซียที่สนับสนุนรัฐบาลปูตินในมอสโกบางคนก็ยังมีทัศนคติเชิงลบต่อผลลัพธ์ของนโยบายซีเรียของรัสเซีย ในการวิเคราะห์ของ Ruslan Pukhov สมาชิกสภาด้านสาธารณะของกระทรวงกลาโหมรัสเซียกล่าวว่า “รัสเซียมุ่งเน้นมากเกินไปในการรักษาสถานะเดิมที่เน่าเฟะและไม่มีประสิทธิภาพ [ในซีเรีย] โดยการปกป้องระบอบการปกครองของอัสซาดที่เสื่อมลงและประชาชนซีเรียมองว่าไร้ความชอบธรรมในการปกครองประเทศ” [2]
1
ในมุมมองของ Fyodor Lukyanov ประธานสภานโยบายต่างประเทศและการป้องกันประเทศของรัสเซียให้ความเห็นว่า “การถอนตัวของรัสเซียจากซีเรียจะถือว่าสอดคล้องกับแนวโน้มทั่วไปของมหาอำนาจระดับโลก…ที่ออกจากเวทีในภูมิภาคเพราะไม่เพียงแต่ยากในการจัดการแต่ยังไม่จำเป็นอีกด้วยที่จะต้องแบกรับภาระลักษณะดังกล่าว” [3]
เหตุผลหนึ่งในหลายประการที่ส่งผลให้ปูตินตัดสินใจบุกเข้าไปในยูเครนอีกครั้งนั้น (เมื่อปี 2022) มักถูกมองข้ามไป นั่นคือ การที่จำนวนประชากรรัสเซียลดลงอย่างต่อเนื่อง ตามที่อีวาน คราสเตฟ และ สตีเฟน โฮล์มส์ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับวิกฤตลัทธิเสรีนิยมได้กล่าวไว้ พวกเขาได้เขียนไว้ในบทความของ Foreign Policy เผยแพร่เมื่อ 6 ธันวาคม 2024 [4] ดังนี้
1
“เป็นวิธีการหนึ่งในการตัดสินใจของปูตินที่จะบุกยูเครน ถือเป็นการยอมรับความล้มเหลวของนโยบายสนับสนุนเพิ่มอัตราการเกิดต่างๆ ของเขาที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มจำนวนประชากรของประเทศรัสเซีย โดยเฉพาะประชากรกลุ่มเชื้อสายสลาฟ” คราสเตฟและโฮลส์ถกเถียงถึงประเด็นนี้ ทั้งคู่เชื่อว่า “ดูเหมือนว่าแก่นแท้สำคัญของการตัดสินใจของเครมลินคือความกังวลว่ารัสเซียจะมีประชากรไม่เพียงพอที่จะใช้ประโยชน์ในโอกาสใหม่ๆ เช่นในการสำรวจและสกัดแร่ในภูมิภาคอาร์กติกได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ต้องการแรงงาน)”
ดังนั้นเรื่องหนึ่งที่เราสังเกตเห็นเป็นนโยบายที่ชัดเจนของปูตินที่ผ่านมาคือ การจำกัดสิทธิเสรีภาพและถึงขนาดต่อต้านเรื่องความเสมอภาคทางเพศ (LGBTQ) ในรัสเซีย เพราะมันเหมือนการกระตุ้นทำให้อัตราการเกิดในรัสเซียลดลง (เลยต้องไปกวาดต้อนหรือรับคนเชื้อสายรัสเซียในยูเครนตะวันออกเข้ามา)
บทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ของ Foreign Policy ตามลิงก์ด้านล่างนี้
1
“ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั้งหมดที่ยุคทรัมป์ 2.0 จะนำมา สิ่งสุดท้ายที่ปูตินและสีกังวลคือความสามารถของวอชิงตันในการสร้างความแตกแยกอย่างแท้จริงระหว่างประเทศของพวกเขา แม้ว่าทรัมป์จะไม่ได้สัญญาว่าจะทำเช่นนั้นในช่วงหาเสียงก็ตาม” ตามที่อเล็กซานเดอร์ กาบูเยฟแห่ง CEIP เขียนในบทความของ Foreign Affairs เผยแพร่เมื่อ 6 ธันวาคม 2024 [5]
การที่ปูตินและสีไม่น่ากังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้นั้นมาจากความคิดเห็นสามประการ ประการแรกทรัมป์จะสามารถเจรจาข้อตกลงเกี่ยวกับยูเครนที่ทำให้ปูตินพอใจได้หรือไม่ ยังต้องรอดูกันต่อไป นอกจากนี้รัสเซียยังต้องพึ่งพาจีนทางเศรษฐกิจอย่างมาก “ในที่สุดปูตินและสีก็รู้ว่านี่จะเป็นสมัยสุดท้ายของทรัมป์แล้ว (ปธน.สหรัฐ อยู่ได้สูงสุด 2 สมัย) และประธานาธิบดีสหรัฐคนต่อไปต่อจากทรัมป์อาจจะพลิกข้อตกลงใดๆ ที่บรรลุภายใต้ประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกันก็เป็นได้”
เครดิตภาพ: Illustrated by The New York Times; photographs by Nicolas Asfouri and Sergei Ilnitsky, via Getty Images
เรียบเรียงโดย Right Style
10th Dec 2024
  • เชิงอรรถ:
<ภาพปก: ถ่ายเมื่อปี 2006 เครดิต: REUTERS/ITAR-TASS/KREMLIN’S PRESS OFFICE>
โฆษณา