ทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุด(109)ตอน4

การถูกบังคับจากพระน้องให้ปฎิบัติธรรมผมไม่ชอบเท่าไหร่เพราะผมเหมือนกับคนทั่วไป ที่ใช้ชีวิตอย่างตามใจตัวเองมาตลอด ที่ต้องฝึกเพราะพระน้องได้พูดประโยคหนึ่งทำให้ผมต้องยอมรับความจริง " พี่ ยังไงพี่ต้องตายในที่สุดเหมือนพ่อแม่ของเรา พี่จะตายอย่างทนทุกข์ทรมานเหมือนตอนนี้ หรือตายอย่างสงบมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์" จริงนะยังไงก็ต้องตายอยู่ดี จะตายทั้งทีต้องตายอย่างมีศักดิ์ศรีแบบชาวพุทธ พระน้องได้สอนพื้นฐานใหม่ในพระพุทธศาสนา ซึ่งที่สุดแล้วก็ลงไปที่ "จิตของเรา" นั้นเหละ
แต่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเรากระทบกับภายนอกอยู่ตลอดเวลาคือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ มันทำให้เราละเลยต่อจิตของเราเพราะเราต้องทำกิจกรรมตลอดเวลาเพราะมีอายะตนะภายนอกมากระทบอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั้งการนึกคิดก็เช่นกัน
ช่วงที่ผมฝึกใหม่ผมป่วยต้องนอนติดเตียงตลอดร่วมหลายเดือน ลองนึกดูว่าขณะที่เราป่วยอยู่นั้น จิตเราจะเป็นยังไงส่วนใหญ่ก็ต้องเศร้าโศกคิดถึงเรื่องการป่วยของเรามันมีแต่ความทุกข์อย่างมาก พระน้องได้สอนให้ผมในเรื่องพิจารณาสังขารโดยให้"สวดในบทพิจารณาสังขาร"
โดยให้ผมน้อมจิตไปในเรื่องของความไม่เที่ยง ให้คิดถึงสภาพร่างกายของเราตอนที่ยังหนุ่มทำงานได้ไปไหนมาได้ จนถึงตอนนี้ที่เราต้องนอนติดเตียง จะเห็นถึง "ความไม่เที่ยง ความเป็นอนิจจังของชีวิตเรา"
และบทสวดพิจารณาสังขาร โดยย่อ ชีวิตของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง เราไม่ม่ความสงสัยในความตายนี้เลย ผมนอนอยู่บนเตียงก็พิจารณาความตายเป็นหลักว่าร่างกายนี้ ก็ตายอยู่ดี เมื่อตายแล้วก็เป็นท่อนไม้ท่อนฟืนหาประโยชนใดมิได้
วันสองวันแรกรู้สึกอึดอัดมากแต่วันที่สามก่อนพระน้องกลับวัดรู้สึก เบาสบายจิตโล่งไปหมดถึงแม้ร่างกายป่วยก็ตาม แต่จิตไม่ไปผูกกับร่างกายนี้ เพราะจิตรู้ว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยงแท้หนอ สักวันหนึ่งก็เน่าเปื่อยผุพังไป
จิตเข้าสู่สงบมีความสุขอย่างมากถึงแม้ร่างกายก็ป่วยความเจ็บป่วยมาเป็นระยะ แต่เราไม่กลัวแล้ว ผมมีความเข้าใจแล้วผมได้พบธรรมะของพระพุทธเจ้า
และอยู่ดีมันก็มีความรู้สึกขึ้นมาว่า "เราไม่กลัวตายแล้ว เรายังมีลมหายใจอยู่เรามีธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เราไม่กลัวความทุกข์อีกแล้ว จากนี้ไปเรายังมีลมหายใจอยู่ เราใช้ชีิวตให้ดีที่สุดก่อนจากโลกนี้ไป"
โฆษณา