10 ธ.ค. เวลา 10:33 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

How to pain-proof your back: Simple, surprising changes to relieve your aches

วิธีป้องกันอาการปวดหลัง: การเปลี่ยนแปลงง่ายๆ เพื่อบรรเทาอาการปวดหลังของคุณ
ผู้ที่มีอาการปวดหลังมีจำนวนเพิ่มขึ้นเนื่องจากผู้คนมีการใช้ชีวิตแบบเนือยนิ่งมากขึ้น แล้ววิธีที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับอาการปวดหลังคืออะไร
ทั่วโลก ผู้ที่ปวดหลังมีเพิ่มมากขึ้น โดยมีจำนวนถึง 619 ล้านคน หรือประมาณ 1 คนจาก 13 คนของพวกเราต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดหลัง คาดว่าภายในปี 2050 ตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 843 ล้านคน สำหรับบางคน อาการปวดหลังถือเป็นการสูญเสียโอกาสที่ดีๆ ไปจากชีวิต
นอนไม่หลับ สุขภาพจิตเสีย กิจกรรมต่างๆ ที่เคยทำเป็นเรื่องปกติ เช่น เล่นกับลูกๆ หรือไปทำงาน อาจกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ ได้แย่ลงอย่างมาก อาการปวดหลังกลายเป็นสาเหตุหลักของความพิการในโลก วารสาร แล้นเส็ท โรคข้อและรูมาติสซั่ม The Lancet Rheumatology ได้ขนานนามอาการปวดหลังว่าเป็น 'โรคระบาดที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งโลก'
ในประเทศสหราชอาณาจักร มีค่าใช้จ่าย ที่บริการสุขภาพแห่งชาติของประเทศสหราชอาณาจักร หรือ NHS ต้องจ่ายประมาณ 5 พันล้านปอนด์ทุกปี ในขณะที่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ซึ่งรวมถึงการสูญเสียการผลิตของสินค้า บริการ หรืองานที่มีคุณภาพที่ควรจะได้ควรจะเป็น จากการต้องมารักษาอาการปวดหลัง มีมูลค่าสูงถึง 635 พันล้านดอลลาร์
ความเชื่อหรือความเข้าใจที่ผิดๆ เกี่ยวกับอาการปวดหลังสามารถพบได้ทุกที่ ตั้งแต่อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะกับสรีระ ไปจนถึงการสาธิตการยกกล่องที่ถูกต้องในสถานที่ทำงาน
สาเหตุของอาการปวดหลัง และการแก้ไขการปวดหลัง มักจะมีการเข้าใจผิดเสมอมา ไม่ว่าคุณจะรู้สึกปวดหลังจนต้องร้องตอนที่กำลังลุกขึ้นจากเตียง หรือว่าคุณยังไม่ปวดหลัง แต่ว่าต้องการดูแลรักษาหลังของคุณต่อไปในวันข้างหน้า นี่คือคำอธิบายการดูแลหลังที่ปวด ที่ได้รับการสนับสนุนจากวิทยาศาสตร์ ซึ่งสามารถจะบรรเทาอาการปวดหลังของคุณได้ในที่สุด
ฉันได้ทำอะไรบางอย่างให้หลังของฉันเสียหายหรือเปล่า
นี่เป็นความเข้าใจผิดที่พบได้บ่อย โดยส่วนใหญ่แล้ว อาการปวดที่หลังไม่ได้หมายความว่า มีสิ่งผิดปกติทางร่างกายกับกระดูกสันหลัง หรือหลังของคุณ 'ความเจ็บปวด' ไม่ใช่ว่าจะเป็น 'ความเสียหาย' และ 'ความเจ็บปวดที่มากขึ้น' ไม่ใช่ว่าจะเป็น 'ความเสียหายที่มากขึ้น' แต่อย่างใด
การหกล้มและอุบัติเหตุ อาจทำให้เกิดอาการเคล็ดและกระดูกหักได้ และในบางครั้ง น้อยกว่าร้อยละ 1 ของผู้ที่มีอาการปวดหลัง อาจมีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น การติดเชื้อ โรคข้ออักเสบ หรือโรคมะเร็ง
แต่อาการปวดหลังส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นนั้นจะ 'ไม่เฉพาะเจาะจง' ซึ่งหมายความว่า การตรวจหาจะไม่พบสัญญาณของการบาดเจ็บทางโครงสร้าง หรือตรวจไม่พบโรค พวกเราส่วนใหญ่ จะต้องประสบกับอาการปวดหลังเมื่อถึงจุดหนึ่ง อาการปวดหลังนี้อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกวัย แต่จะพบได้บ่อยขึ้น เมื่อเราอายุมากขึ้น
อาการปวดหลังเป็นระยะๆ เป็นเรื่องปกติของชีวิต เช่นเดียวกับการปวดหัวในวันที่คุณรู้สึกเศร้า แต่มีสิ่งที่ไม่ปกติคือ ความเจ็บปวด ยังคงดำเนินต่อไปอีกนาน หลังจากที่สิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการปวดได้หายไป
อาการปวดหลังเฉียบพลัน มีแนวโน้มที่จะหายไปเองภายในไม่กี่สัปดาห์หรือหลายเดือน ในทางตรงกันข้าม อาการปวดเรื้อรังหมายถึง ความเจ็บปวดใดๆ ที่คงอยู่นานกว่าสามเดือน ตัวเลขอาจแตกต่างกันไป แต่ระหว่างร้อยละ 4 ถึงร้อยละ 25 ของผู้ที่มีอาการปวดหลังเฉียบพลัน จะยังคงมีอาการปวดเรื้อรังต่อไป การลดความเจ็บปวดเรื้อรังเช่นนี้ อาจทำได้ยากกว่า แต่ก็มีหลายสิ่งที่สามารถช่วยลดความเจ็บปวดได้
ฉันจำเป็นต้องไปพบแพทย์หรือ
นูซัม Ruth Newsome ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัดเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง โรงพยาบาลเชฟฟิลด์ Sheffield Teaching Hospitals NHS Trust ประเทศสหราชอาณาจักร กล่าวว่า “อาการปวดหลังส่วนใหญ่ ไม่ได้ร้ายแรงหรือน่ากังวล” หากคุณไม่มีอาการอื่นๆ ให้พักไว้ 4-6 สัปดาห์ ก่อนไปพบแพทย์
ในช่วงเวลาดังกล่าว คุณสามารถจัดการกับความเจ็บปวดได้ด้วยยาแก้อักเสบ เช่น ไอบูโพรเฟน และพยายามเคลื่อนไหวต่อไป ถุงถั่วแช่แข็งห่อด้วยผ้าเช็ดตัว สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและบวมได้ กระเป๋าน้ำร้อนสามารถช่วยแก้อาการตึงหรือเกร็งของกล้ามเนื้อได้ ไปที่ร้านขายยา หากคุณต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม
อาการที่ต้องระวัง ได้แก่ อาการชา หรือรู้สึกปวดแปลบปลาบคล้ายเข็มทิ่มตำในร่างกายส่วนล่าง ปัสสาวะลำบาก เจ็บหน้าอก น้ำหนักลดโดยไม่คาดคิด และมีไข้ต่อเนื่อง หากคุณมีอาการเหล่านี้ อาจบ่งบอกถึงปัญหาอื่นๆ อย่ากังวลไป ไปพบแพทย์ทันที เพื่อมั่นใจได้ว่า อาการปวดหลังส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของปัญหาร้ายแรง
การสแกนสามารถส่งผลย้อนกลับได้หรือไม่
ผู้ที่มีอาการปวดหลังมักต้องการการสแกน การเอ็กซ์เรย์สามารถเผยให้เห็นกระดูกหักและความผิดปกติของกระดูกอื่นๆ ในขณะที่การสแกนด้วยเอ็มอาร์ไอ จะให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระดูกและเนื้อเยื่ออ่อนที่อยู่โดยรอบ
การสแกนมีขึ้นเพื่อจะแยกแยะปัญหาที่พบไม่บ่อย เช่น โรคทางระบบประสาท หรือโรคมะเร็ง แต่การสแกนก็สร้างปัญหาขึ้นมาเองได้เช่นกัน เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้น กระดูกสันหลังของเราก็จะเปลี่ยนไป เช่นเดียวกับผมที่หงอกและริ้วรอย นี่เป็นเรื่องปกติของกระบวนการชรา
แต่การสแกนเอ็มอาร์ไอ ผลที่ไก้จากการสแกนมีความละเอียดสูงมาก โดยสามารถจะสังเกตการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ โดยเน้นลักษณะต่างๆ เช่น การสึกหรอ เส้นเอ็นฉีกขาด และหมอนรองกระดูกโป่ง และบ่อยครั้งที่คุณลักษณะที่ได้มาจากผลสแกนเหล่านี้ ถูกนำเสนอต่อผู้ป่วยว่าเป็น 'ความผิดปกติ' ที่ต้องได้รับการแก้ไข แต่ถึงแม้ว่าปัญหาเหล่านี้จะพบได้บ่อยในผู้ที่มีอาการปวดหลัง แต่ก็พบได้บ่อยในผู้ที่ไม่มีอาการปวดหลังเช่นกัน
สิ่งที่ได้มาจากการสแกนเหล่านี้ ส่วนมากไม่ได้เกิดมาจากโรค และบทความจากการรีวิวงานวิจัยครั้งใหญ่ในวารสาร การรักษาอาการปวดของยุโรป European Journal of Pain ผลที่ได้จากการสแกน พวกเขาไม่บอกหรือไม่ไปทำนายว่า มีความเจ็บปวดของบุคคลในปัจจุบัน หรือจะมีความเจ็บปวดขึ้นในอนาคต ผลลัพธ์การตรวจพบโดยบังเอิญ ที่ไม่เป็นอันตรายเหล่านี้ หากไม่ได้รับการอธิบายอย่างถูกต้อง อาจทำให้เกิดเหตุการณ์ต่อเนื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ได้
ผู้ป่วยอาจรู้สึกหวาดกลัว ซึ่งทำให้ความเจ็บปวดแย่ลง โดยผู้ป่วยอาจจะเคลื่อนไหวน้อยลง ซึ่งจะมีผลทำให้ความเจ็บปวดเป็นหนักกว่าเดิม และพวกเขาอาจจบลงด้วยการรักษาแบบผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดก็จะมาพร้อมกับความเสี่ยงในตัวมันเอง
ตัวอย่างเช่น การวิจัยในปี 2020 ในผู้ป่วยปฐมภูมิในประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ร่วมการวิจัยประมาณ 400,000 คน ผลพบว่า ผู้ที่ได้รับการสแกนเอ็มอาร์ไอ เพื่อตรวจหาอาการปวดหลัง มีแนวโน้มที่จะรับประทานยาแก้ปวดที่มีฝิ่นผสม และมีแนวโน้มได้รับการผ่าตัดหลัง มากกว่าผู้ที่ไม่ได้สแกน
ยิ่งไปกว่านั้น คนกลุ่มเดียวกันนี้ ยังได้รับความเจ็บปวดมากขึ้นอีกในหนึ่งปีข้างหน้า ผลการวิจัยพบว่า การสแกนแทบไม่ได้ช่วยปรับปรุงผลลัพธ์ของผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังเลย แนวปฏิบัติในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศสหราชอาณาจักรเตือนอย่างสม่ำเสมอเกี่ยวกับการใช้การสแกนที่เกินความจำเป็น แต่ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การสแกนเอ็มอาร์ไอ เพื่อหาอาการปวดหลัง ได้กลายเป็นเรื่องปกติ
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแพทย์กังวลเกี่ยวกับ 'กลัวว่าบางสิ่งอาจขาดหายไป' และแพทย์กลัวถูกฟ้องร้อง และส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ป่วยคิดว่า การสแกนจะช่วยให้การวินิจฉัยเร็วขึ้น “แต่คุณไม่จำเป็นต้องสแกนเพื่อดูว่าคุณกำลังรักษาอะไรอยู่” นูซัม กล่าว “ประวัติทางทางการป่วย ก็ช่วยให้คุณเห็นภาพที่ชัดเจนอยู่แล้ว เป็นเพียงเพราะผู้คนคิดไปเองว่า สิ่งนี้ยากที่จะยอมรับ
ฉันจะทำอย่างไรเพื่อจะดูแลหลังของฉัน
เคลื่อนไหว เพราะการเคลื่อนไหวสามารถจะช่วยป้องกันอาการปวดหลัง และการเคลื่อนไหวสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง ในอินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยคำแนะนำเกี่ยวกับการออกกำลังกายที่ดีที่สุด แต่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่บ่งชี้ว่า การออกกำลังกาย หรือรูปแบบการออกกำลังกายแบบใดแบบหนึ่ง ดีกว่าแบบอื่น
โอซัลลิแวน Kieran O’Sullivan ศาสตราจารย์ นักกายภาพบำบัด และผู้เชี่ยวชาญด้านอาการปวดหลัง จากมหาวิทยาลัย
ลิเมอริค Limerick ประเทศไอร์แลนด์ กล่าวว่า “การออกกำลังกายที่ดีที่สุดคือ การออกกำลังกายที่บุคคลจะทำ”
“ไม่มีประโยชน์ที่จะแนะนำให้ว่ายน้ำถ้าคนไม่ชอบว่ายน้ำ หรือไปยิมถ้าคนไม่ชอบไปยิม”
แต่ผู้คนจำเป็นต้องค้นหาการออกกำลังกายที่สนุกสนาน เข้าถึงได้ และราคาไม่แพง จากนั้นพวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะยึดติดกับมันมากขึ้น แม้แต่การเดินก็ยังทำได้
โอซัลลิแวน กล่าวว่า “ผู้คนมักผลัดวันประกันพรุ่งออกไปอยู่เรื่อยๆ เพราะพวกเขาคิดว่า การออกกำลังกายจะทำให้ความเจ็บปวดเป็นมากขึ้น แต่ก็ยังปลอดภัยที่จะเคลื่อนไหว แม้ว่าคุณจะเจ็บปวดก็ตาม”
หากการเคลื่อนไหวจากการออกกำลังกายทำให้เกิดอาการเจ็บปวด ยาบรรเทาอาการปวดที่จำหน่ายตามร้านขายยา เช่น พาราเซตามอล หรือ ไอบูโพรเฟน สามารถช่วยให้คุณเริ่มต้นออกกำลังกายได้ เพียงเริ่มต้นด้วยสิ่งที่คุณจัดการได้ หยุดพักตามต้องการ และค่อยๆ สะสมการออกกำลังกายให้เพิ่มขึ้น
การออกกำลังกายจะเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และจะเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและสารอาหาร ไปยังเนื้อเยื่ออ่อนทางด้านหลัง ซึ่งสามารถช่วยเร่งการรักษาอาการปวดหลัง และช่วยลดความแข็งตึงของหลังได้
อะไรไม่ได้ช่วย
จากการวิจัยพบว่า มีความเชื่อกันโดยทั่วไปในหมู่ผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ว่า อาการปวดหลังและปวดคอ เกิดจากการนั่ง ยืน หรืองอตัวที่ไม่ถูกต้อง หลายๆ คนคิดว่า การนั่งหลังงอนั้นไม่ดี และการถือของหนักๆ อาจทำให้เกิดความเสียหายกับหลัง
ความเชื่อกันโดยทั่วไปเช่นนี้ ได้กระตุ้นการพัฒนาของอุตสาหกรรมทั้งหมด เช่น มีการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสรีระ เช่น เก้าอี้ พื้นรองเท้า และรอก แต่ยังไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่า สิ่งเหล่านี้ได้ประโยชน์ และผลการวิจัยที่ดำเนินการในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ผลก็พบว่า การนั่งหลังงอ ไม่ทำให้เกิดอาการปวดกระดูกสันหลัง
'คนนั่งหลังงอ' ไม่ได้ปวดหลังมากไปกว่า 'คนนั่งหลังตรง' และไม่พบท่านั่งท่าใดท่าเดียว ที่จะไปปกป้องผู้คนไม่ให้ปวดหลัง หรือจะไปทำให้พวกเขามีอาการปวดหลังมากขึ้น
การยกของหลังโค้งไม่ทำให้เกิดอาการปวดหลังมากไปกว่าการยกของหลังตรง แท้จริงแล้ว คนงานที่ต้องใช้แรงที่ไม่มีอาการปวดหลัง มักจะยกของด้วยท่าหลังโค้งมากกว่า และผู้ที่ใช้แรงที่มีอาการปวดหลัง มักจะยกของด้วยท่าหลังตรงมากกว่า
การวิจัยเพิ่มเติมยังแสดงให้เห็นว่า การฝึกอบรมการจัดการสถานที่ทำงานด้วยตนเอง ซึ่งในการฝึกอบรมจะสอนให้ผู้คนจัดท่าทางเพื่อจะยกของ 'อย่างถูกต้อง' ผลพบว่า การฝึกอบรมไม่ได้ช่วยลดอาการปวดหลัง หรือลดอาการบาดเจ็บที่หลัง แทนที่จะมองว่าการยกของไม่ดีต่อสุขภาพกระดูกสันหลัง แต่ความเป็นจริงแล้ว การยกของ สามารถช่วยป้องกันอาการปวดหลังได้จริง เพราะการยกของ ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูก
ปวดหลัง 'ทำให้คุณปวดหัว' มากแค่ไหน
ความเจ็บปวดทั้งหมดจะอยู่ในหัวของคุณ เป็นเพราะว่าสมองสร้างประสบการณ์แห่งความเจ็บปวด เมื่อเราได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย เช่น กระดูกหัก สมองจะสร้างความเจ็บปวด เพื่อแจ้งเตือนเราให้ทราบถึงปัญหา
ดังนั้นความเจ็บปวดก็เหมือนสัญญาณเตือน อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งสมองยังคงสร้างความเจ็บปวดต่อไปแม้ว่าจะไม่มีอาการบาดเจ็บทางร่างกายก็ตาม นี่เป็นเหมือนสัญญาณเตือนที่ผิดพลาด ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นยังคงเป็นเรื่องจริง แต่ข่าวดีก็คือ เราสามารถควบคุมกระบวนการนี้ได้ มากกว่าที่หลายๆ คนจะตระหนัก
การรักษาด้วยวิธีประมวลผลความเจ็บปวด หรือ วิธีพีอาร์ที PRT เป็นวิธีการรักษาทางจิตวิทยาสำหรับอาการปวดหลัง การรักษาด้วยวิธี พีอาร์ที เกี่ยวข้องกับการท้าทายความเชื่อของผู้คนเกี่ยวกับความเจ็บปวด โดยสอนพวกเขาว่าความเจ็บปวดไม่ได้บ่งบอกถึงอันตรายเสมอไป ร่างกายของพวกเขาปลอดภัย แต่สมองของพวกเขาสร้างสัญญาณเตือนที่ผิดพลาด
ในการทำวิจัยทดลองทางคลินิกครั้งแรกของ การรักษาด้วยวิธี พีอาร์ที ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2021 สองในสามของผู้ได้รับการรักษาโดยวิธีนี้ ไม่มีความเจ็บปวด หรือเกือบจะปราศจากความเจ็บปวดในหนึ่งปีผ่านไป เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม ซึ่งมีเพียงหนึ่งในห้าเท่านั้น ที่ไม่มีความเจ็บปวดหรือเกือบจะปราศจากความเจ็บปวดในหนึ่งปีผ่านไป
ในการวิจัยได้มีการสแกนสมองของพวกเขาด้วยเอ็มอาร์ไอ ผลการสแกนได้เผยให้เห็นกิจกรรมน้อยลงในบริเวณที่สำคัญของสมอง ที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวด ซึ่งบ่งชี้ว่า สมองของพวกเขา ได้ลดการผลิตสัญญาณความเจ็บปวดลง
อาชาร์ Yoni Ashar หัวหน้าโครงการวิจัย จากมหาวิทยาลัยโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “เราให้ผู้คนเล่าเรื่องราวความเจ็บปวดของตนเองที่แตกต่างออกไป”
“พวกเขาเปลี่ยนจาก 'ฉันเจ็บหลังเพราะโรคหมอนรองกระดูกเสื่อม' เป็น 'ฉันเจ็บหลังเพราะสัญญาณเตือนผิด ๆ ที่ฉันสามารถเปลี่ยนได้'”
สิ่งนี้มีพลังอย่างเหลือเชื่อ ในการวิจัยติดตามผล อาชาร์ แสดงให้เห็นว่า ยิ่งผู้คนเปลี่ยนการเล่าเรื่องเกี่ยวกับสาเหตุของความเจ็บปวดมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีพัฒนาการมากขึ้นเท่านั้น
ฉันจะเปลี่ยนการรับรู้ของฉันได้อย่างไร
ความเจ็บปวดได้รับอิทธิพลจากหลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งรวมถึงกระบวนการทางจิต เช่น ความกลัว ความวิตกกังวล และความเชื่อที่ไม่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับความเจ็บปวด ความเครียดอาจทำให้ความเจ็บปวดเพิ่มขึ้นได้ เช่นเดียวกับการอดนอนและปัจจัยในการดำเนินชีวิตบางอย่าง เช่น การรับประทานอาหารที่ไม่ดี และการไม่ออกกำลังกาย
อิทธิพลทางสังคม เช่น ปัญหาความสัมพันธ์ ความกดดันในการทำงาน และความกังวลทางการเงิน ล้วนมีความสำคัญเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อความรู้สึกของเรา ซึ่งอาจส่งผลต่อความเจ็บปวดของเราด้วย
โอซัลลิแวน กล่าวว่า “แต่ถ้าเรามองว่าพวกเขาเป็นเพียงกลุ่มของกระดูกและข้อต่อ เราก็ถือว่า คนที่มีอาการปวดหลังเป็นความเสียหาย”
การรักษาที่ดีที่สุดคือ การรักษาโดยคำนึงถึงอิทธิพลเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การรักษาด้วยความรู้คิดความเข้าใจคือการรักษาอาการปวดโดยการปรับเปลี่ยนแนวคิดนั่นเอง มีชื่อย่อว่า วิธีซีเอฟที CFT เป็นแนวทางการรักษาหนึ่งที่พยายามทำเช่นนี้ วิธีซีเอฟที เป็นวิธีการรักษาอาการเจ็บปวดที่เน้นปัจจัยด้านจิตใจ ร่างกาย และรูปแบบการดำเนินชีวิต
เนื้อหาของการรักษา จะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับความต้องการและประวัติการเจ็บปวดของพวกเขา ผู้ป่วยจะได้รับการช่วยให้รับรู้ถึงกลุ่มของปัจจัยต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อความเจ็บปวดของพวกเขา และเพื่อให้เข้าใจว่าความเจ็บปวดไม่ใช่สัญญาณของความเสียหายเสมอไป
ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการกินและการนอนหลับ รวมถึงวิธีการผ่อนคลายและขยับร่างกายในลักษณะที่รู้สึกปลอดภัย โดยจะให้ผู้ป่วยเป็นคนตั้งเป้าหมายของเขาเอง เช่น สามารถพาสุนัขเดินเล่นหรือรดน้ำสวนได้ จากนั้นจะชักจูงพวกเขา ให้เข้าจนบรรลุถึงชุดของทักษะ ที่จะช่วยให้พวกเขา สามารถจัดการและลดความเจ็บปวดได้
โอซัลลิแวน ช่วยจัดการทดลองวิจัยทางคลินิกขนาดใหญ่เกี่ยวกับ วิธีซีเอฟที ในประเทศออสเตรเลีย โดยมีผู้ป่วยจำนวน 492 ราย ที่มีอาการปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง หนึ่งปีผ่านไป พวกเขามีความเจ็บปวดน้อยลง โดยมีความเจ็บปวดน้อยกว่ากลุ่มควบคุม ที่ได้รับการดูแลตามวิธีมาตรฐานอย่างชัดเจน
สิ่งนี้น่ายินดี เพราะวิธีในการรักษาที่เป็นมาตรฐาน เช่น การออกกำลังกาย และการบำบัดทางจิตวิทยาบางอย่าง มีแนวโน้มว่าจะมีผลเพียงเล็กน้อยในระยะเวลาที่สั้นกว่า ผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มทดลองโดยวิธีซีเอฟที จะเป็นผู้ที่มีความมั่นใจมากกว่า หวาดกลัวน้อยลง และมีทัศนคติเชิงบวกมากขึ้นเกี่ยวกับอาการปวดหลัง
ผู้เขียน : Helen Scales (biologist)
แปลไทยโดย : Wichai Purisa (senior scientist)
โฆษณา