10 ธ.ค. เวลา 13:56 • ท่องเที่ยว

เล่าเรื่องเมืองอุทัยธานี : ทริปบ้านไร่-ลานสัก-อุทัยธานีปลายปี 67"

เช้าวันที่ 7 ธค.67 คณะเราขึ้นรถตู้ออกเดืนทางจาก กทม.ตามเส้นทางสุพรรณบุรี-ด่านช้าง โดยไม่เข้าตัวเมืองสุพรรณ
เราเลี่ยงออกที่ถนนทางไปอำเภอสองพี่น้อง พอถึงถนนมาลัยแมนก็แวะวัดทับกระดาน บ้านคุณผึ้ง(พุ่มพวง ดวงจันทร์)ซึ่งแยกจากถนนมาลัยแมนไป 7 กิโล พรรคพวกแซวกันว่าจะไปขอหวยกันใช่ไหม เราก็เออออตามกัน ที่จริงอยากไปเที่ยวและไหว้พระมากกว่า ในวัดมีของอร่อยขายหลายอย่าง โดยเฉพาะไข่เค็มใบเตยที่พรรคพวกซื้อติดมือกันทุกคน และแผงลอตเตอรี่
เราวิ่งย้อนกลับมาทางเดิมที่ถนนมาลัยแมนมุ่งตรงไปอำเภออู่ทอง เมืองเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ก่อนย้ายมากรุงศรีอยุธยา เข้าไปไหว้พระนอนที่วัดเขาพระศรีสรรเพชญาราม แล้วเดินขึ้นบนเขาชมทิวทัศน์เมืองอู่ทอง  จากนั้นมุ่งตรงไปอ.ด่านช้าง แล้วรถวิ่งต่อไปจนถึงอำเภอบ้านไร่ อุทัยธานี. ถนนป็นเส้นตรงราบเรียบตลอดเส้นทาง  ระยะทางจาก กทม.ราว 200 กิโลเศษ ใช้เวลาราวสองชั่วโมงเศษ
ทานอาหารกลางวันที่บ้านไร่เสร็จ ตอนบ่ายเราก็ขึ้นไปที่แก่นมะกรูด รถวิ่งขึ้นไปบนเขาตามเส้นทางคดเคี้ยวร่วม 45 นาที บางช่วงก็รู้สึกหวาดเสียวเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีใครถึงขั้นอาเจียนโอ้กอ่าก  ที่แก่นมะกรูดปีนี้เขาจัดดอกไม้และตกแต่งประดับประดาไว้อย่างหลากหลายและสวยงาม. มีจุดให้ถ่ายรูปสวยๆเยอะมาก  อากาศตอนบ่ายไม่หนาวอย่างที่คิด ราว 29 องศา แต่ก็ไม่ร้อน มีคนขึ้นมาเที่ยวมาถ่ายรูปกันเยอะมาก เป็นไฮไลท์แรกของทริปเรา
ลงจากแก่นมะกรูดก็แวะที่บ้านสะนำ ไปจับมือกันล้อมรอบต้นไม้ยักษ์  แล้วถ่ายวิดีโอกันอย่างสนุกสนาน ต้นไม้ยักษ์คือต้นเชียงหรือต้นผึ้งอายุ 400 กว่าปี จากนั้นก็เข้าที่พักและทานอาหารเย็นบ้านสวนรีสอร์ท ในตัวอำเภอบ้านไร่
วันรุ่งขึ้นทานอาหารเช้าเสร็จไปตลาดชาวไฮ มีผลิตภัณฑ์ อาหารและพืชผักผลไม้พื้นบ้านนานาชนิดให้เลือกซื้อกันมากมาย พวกเราต่างช่วยกันอุดหนุนชาวบ้าน ซื้อผ้าทอ ของกินต่างๆ โดยเฉพาะพุดทราพันธุ์พื้นบ้านของบ้านไร่หิ้วขึ้นรถกันทุกคน
ออกจากตลาดชาวไฮ ตอนแรกตั้งใจจะไปน้ำพุร้อนสมอทอง อำเภอห้วยคต แต่ดูเวลาแล้วคงไม่ทัน เราเลยมุ่งตรงไปฝายกั้นน้ำปางสวรรค์  ต.คอกควาย ในเขตอำเภอบ้านไร่ ทางเข้าก็ดูเปลี่ยวๆ คิดในใจว่าพาเรามาทำไม พอไปถึงก็ดูสภาพภายนอกเป็นฝายชลประทานกั้นน้ำธรมดาๆ เหมือนไม่มีอะไรน่าสนใจ สงสัยว่าทำไมคนจึงมาเที่ยวกันเยอะจัง
เราถูกคะยั้นคะยอให้ถอดรองเท้า เดินลงบันไดตามกันไปที่ก้นฝายอย่างตื่นกลัว  จนถึงพื้นล่างของฝายที่เป็นธารน้ำไหลบางๆพอท่วมหลังเท้า หมดหน้าฝนแล้วน้ำจึงน้อยลง สัมผัสแรกรู้สึกว่าเย็นจัง แต่ก็รู้สึกดี เราพากันเดินลุยน้ำกันอย่างสนุกสนาน  ความเย็นแผ่ซ่านขึ้นมาทั่วร่าง เป็นวารีบำบัดได้อย่างดีจริงๆ  อยากเดินแช่เช่นนี้นานๆ
เดินเข้าไปข้างในเห็นธารน้ำตกไหลลงมาเป็นผืนม่านขนาดใหญ่ สวยงามมาก เหมือนดูในรูปถ่ายเลย จึงรู้ว่าของดีซ่อนอยู่ข้างในนี้เอง มีชิงช้าให้นั่งแกว่งไกวถ่ายรูปด้วย พวกเราโพสท่าถ่ายรูปกันดุจนางแบบนายแบบปานฉะนั้น
สมาชิกท่านหนึ่งพูดขึ้นว่า "ที่นี่เป็นไฮไลท์ของทริปนี้เลย"  คนอื่นๆก็ขานรับพร้อมกันว่า "ใช่เลย..ใช่เลย.."
พอขึ้นมาจากฝายก็มีห้องน้ำให้อาบน้ำล้างแข้งล้างขา ค่าบริการให้หยอดลงตู้คนละ 5 บาท สบายตัวจริงๆ  แถมที่นี่ยังมีร้านค้าขายอาหารพื้นบ้านให้เลือกทานพอสมควร คณะเรามาหยุดที่ร้านขายมันญี่ปุ่นนึ่ง  ทุกคนทานแล้วติดใจ พากันซื้อหิ้วพะรุงพะรังขึ้นรถ เพื่อเดินทางต่อไปยังหุบป่าตาดและสวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย อำเภอลานสัก
ลาก่อนฝายกั้นน้ำปางสวรรค์..ที่นี่เป็นปางสวรรค์จริงๆ..
ก่อนถึงหุบป่าตาดได้เวลาอาหารกลางวัน เลยแวะทานกันที่ร้านแตน อ.ลานสัก บอกได้เลยว่าร้านนี้อร่อยทุกอย่างสมคำร่ำลือ โดยเฉพาะขาหมูทอดกรอบ แกงป่า ยำสมุนไพร เป็นต้น
ตกบ่ายเราไปต่อที่ หุบป่าตาด  คุณสุชาติ หิรัญ เจ้าหน้าที่ดูแลอุทยานที่นี้เป็นวิทยากรที่เก่งมากให้ความรู้แก่พวกเราได้อย่างดีสนุกสนานไม่เบื่อ ทราบจากคุณสุชาติว่าที่นี่เป็นชื่อของป่าดึกดำบรรพ์  พื้นที่นี้เคยเป็นถ้ำหินปูนมาก่อน ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา ทำให้หลังคาถ้ำพังถล่มลงมา กลายเป็นหลุมยุบหรือหุบในปัจจุบัน  มีต้นไม้ดึกดำบรรพ์ ขึ้นอยู่หลายชนิด เช่น ต้นตาด สมพง ยมหิน ปอหูช้าง ปรง กล้วยผา เป็นต้น
คุณสุชาติ พยายามให้เราได้เห็นกิ้งกือมังกรสีชมพูกิ้งกือสีสวย สีชมพู หนึ่งเดียวในโลก เราเห็นแค่ตัวเล็กๆตัวเดียวในท่อนไม้ เพราะผ่านฤดูฝนไปแล้ว  นอกจากเป็นวิทยากรพาเราลงไปในทุกซอกทุกมุมแล้ว คุณสุชาติยังสอนพวกเราถ่ายภาพพาโนราม่าแล้วพูดตื๊ดๆๆๆ ไปในขณะถ่ายด้วย
ออกจากหุบป่าตาด เรานั่งรถอ้อมไปข้างหลังไม่นานก็ถึงสวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย ที่อยู่ใกล้ๆกัน มีภูเขาสองลูกโค้งเข้าหากันที่เบื้องหน้า เวลาอากาศเย็นๆทำให้เราจินตนาการว่าเหมือนอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์ เขาจัดมุมให้ถ่ายรูปไว้หลายจุด ที่สะดุดตาคือม้านั่งที่มีข้อความข้างหลัง "รักตลอดกาลที่ตาลคู่" ใครมาเป็นคู่ก็อดไม่ได้ที่จะถ่าย ณ จุดนี้ไว้เป็นที่ระลึก
เย็นมากแล้วเราก็เดินทางเข้าเมือง ผ่านอำเภอหนองฉาง อำเภอหนองขาหย่าง แล้วเข้าตัวเมืองอุทัยธานี คืนนี้เราพักที่ อุทัยธาราฮิลล์ ที่นี่สะดวกสะบายมาก
อาหารเย็นมื้อนี้ทานกันที่ ทุ่งเกาะเทโพโอเค  อยู่ริมเกาะเทโพ อร่อยทุกอย่างเช่นกัน  มื้อนี้เป็นมื้อแรกที่เราได้ทานปลาเนื้ออ่อน เพราะทุกมื้อที่ผ่านมาเราสั่งเมนูปลาแรดทุกมื้อ เพื่อให้ถึงเมืองอุทัยธานีอย่างแท้จริง ตามที่เขาพูดกันว่า "ส้มก็ซ่า  ปลาก็แรด.."
วันรุ่งขึ้นเราไปใส่บาตรที่ตลาดริมแม่น้ำสะแกกรัง หลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดอุโปสถารามที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ ท่านพายเรือมารับบิณฑบาตด้วยตนเอง สร็จแล้วเราก็เดินเลือกซื้อของในตลาดเช้าด้วย
ตอนสายๆเราไปไหว้พระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์ ด้านล่างของวัดสังกัสรัตนคีรี  แล้วไปหนุนสินค้าส่งเสริมวัฒนธรรมไทยที่ศูนย์วงเดือนอาคมสุรทัณฑ์ อ.เมืองอุทัยธานี ที่นี่เขามีกิจกรรมหลายอย่างที่มุ่งช่วยเหลือด้านการศึกษา ด้านอาชีพแก่เยาวชนและประชาชน ใครที่ไปอุทัยธานีพลาดไม่ได้ที่จะต้องไปศึกษาดูงานและอุดหนุนสินค้าที่ศูนย์ฯนี้กันนะครับ
วันนี้เราทานอาหารกลางวันกันที่ครัวน้องทราย  ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในย่านเกาะเทโพนี้มีร้านอาหารปลาแม่น้ำที่อร่อยๆราคาไม่แพงอยู่หลายร้าน เช่นร้านป้าสำราญ ร้านสมบัติ ครัวน้องทราย เป็นต้น
เราปิดท้ายทริปนี้ในบ่ายนี้กันที่ปราสาททองคำวัดท่าซุง เสียดายที่ไม่ได้เข้าไปไหว้พระและสรีระหลวงพ่อฤาษีฯในวิหารแก้วร้อยเมตร เพราะเขาปิดช่วงเที่ยงพอดี
      เราเดินทางกลับโดยออกจากวัดท่าซุง ขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านอำเภอมโนรมย์ ไปเข้าถนนสายเอเซียที่หางน้ำสาคร และนำความสุขกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพกันทุกคน
                 ธเนศ ขำเกิด
                   10 ธ.ค. 67
โฆษณา