12 ธ.ค. เวลา 06:21 • กีฬา

โลกเสมือน FM : การซื้อวันเดอร์คิดมากอง ที่กำลังทำ เชลซี ติดปีก | Main Stand

เชลซี ที่ใครก็มองว่ามีปัญหาลากยาวมาตั้งแต่ไม่กี่ฤดูกาลก่อน จากการซื้อนักเตะมามากมายจนสนามซ้อมแทบไม่พอใช้ แถมนักเตะที่ซื้อมาก็อายุน้อยจนแฟนบอลอดสงสัยไม่ได้ว่าซื้อใครมา (วะ)
แต่เมื่อฤดูกาล 2024-25 เริ่มขึ้น สิ่งที่เคยดูเป็นแง่ลบ กลับกลายเป็นแง่บวกที่ทำให้พวกเขาขึ้นมาเป็นรองจ่าฝูงและมีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกในเวลานี้ไปแล้ว
สิงห์บลูส์ กับนโยบายของ ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ และคณะ มาถึงตอนนี้ สำเร็จไปแค่ไหน ติดตามที่ Main Stand
วิธีการที่ถูกดูแคลน
อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้น เชลซี เปลี่ยนเจ้าของจาก โรมัน อบราโมวิช มาเป็นกลุ่ม BlueCo ที่นำโดย ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ และ เบห์ดัด เอ็กบาลี่ ที่คนแรกมีประสบการณ์ทำทีมเบสบอลใน MLB อย่าง แอลเอ ดอดเจอร์ส ที่เพิ่งคว้าแชมป์ เวิลด์ซีรี่ส์ ปี 2024 มาหมาด ๆ
แผนการเสริมทัพของ เชลซี ในยุคของ BlueCo ก็ไม่ต่างกับที่ ดอดเจอร์ส ทำ นั่นคือเสริมทัพด้วยนักเตะอายุน้อย มีศักยภาพที่จะไปต่อ ให้สัญญาระยะยาว และขยายสัญญาตามสมควรหากผลงานดี ส่วนคนไหนที่สอบไม่ผ่าน ก็จะขายหรือปล่อยยืมเพื่อเอาเงินทุนที่ซื้อไปกลับมาให้ได้มากที่สุด
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เชลซีมีชื่อนักเตะชุดใหญ่ก่อนฤดูกาล 2024-25 จะเริ่มถึง 53 คน จุดนี้แหละที่ทำให้เกิดมีมแซวทีม เชลซี มากมาย บวกกับช่วงก่อนเริ่มซีซั่น พวกเขาเจอเหตุการณ์ที่ เอ็นโซ่ เฟอร์นันเดซ จอมทัพของทีม ไปร้องเพลงเหยียดผิวใส่นักเตะฝรั่งเศส จนมีข่าวว่าแคมป์แตก ทีมแบ่งเป็น 2 ฝั่งระหว่างกลุ่มแข้งละติน กับนักเตะผิวดำ
มันอาจเป็นเพราะวิธีการนี้ เป็นวิธีการใหม่ในวงการฟุตบอล ไม่เคยมีทีมไหนทำแบบนี้ จึงทำให้ เชลซี ถูกมองว่าลงทุนมากกว่า 1.2 พันล้านปอนด์ แบบเสียเปล่า ซึ่งวิธีนี้ถึงกับมีคนเปรียบเทียบว่า กลุ่มผู้บริหารของ เชลซี คงกำลังคิดว่าตัวเองเล่นเกมคุมทีมฟุตบอลอย่าง FM หรือ Football Manager อยู่
หลักการของ FM นั้น มีหนึ่งสิ่งที่ผู้เล่นทุกคนทำจนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ และมันคือวิธีการเดียวกับที่ เชลซี ทำ นั่นคือการกว้านซื้อนักเตะดาวรุ่งจากทั่วทุกมุมโลกมากองไว้ก่อน จะได้ลงหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหา ค่อยมาคัดว่าใครเล่นได้ เล่นดี กันทีหลัง
ความเหมือนของลักษณะการสร้างทีมไม่ใช่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับ เชลซี ในโลกแห่งความจริงตอนนี้ มันก็คล้าย ๆ กับใน FM ไม่มีผิด
ต้นร้าย ปลายดี
การซื้อนักเตะดาวรุ่งก็เหมือนกับการเสี่ยงดวง เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของดาวรุ่งคนนั้นดีแค่ไหน บางคนตอนเด็กเก่งมาก ๆ แต่ก็หยุดพัฒนาไปดื้อ ๆ บางคนตอนเด็ก ๆ ก็งั้น ๆ แต่พอได้ลงเล่นมากขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น ก็กลายเป็นนักเตะที่เก่งกาจ ขณะที่บางคนเก่งยาว ๆ ตั้งแต่เด็กจนโต ซึ่งแน่นอนว่าประเภทสุดท้ายนี้ ก็เป็นนักเตะที่หายากที่สุด ถ้าเทียบในเกมก็ต้องเรียกว่าเป็นดาวรุ่งระดับเกรดพรีเมี่ยม วันเดอร์คิดตัวท็อปที่มีแค่ไม่กี่คนบนโลก
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของการซื้อนักเตะดาวรุ่ง และใช้งานพวกเขาทันทีโดยไม่มีนักเตะรุ่นเก๋าหรือซีเนียร์ลงเล่นด้วยก็คือ ทีมของคุณจะขาดความเขี้ยว นักเตะดาวรุ่งต่อให้เก่งแค่ไหน แต่พวกเขาก็ยังขาดสิ่งทีเรียกว่า ประสบการณ์
และถ้าคุณส่องไฟกลับไปที่ เชลซี ในฤดูกาล 2023-24 คุณจะเห็นความผิดพลาดส่วนบุคคลจากนักเตะดาวรุ่งของพวกเขามากมายหลายจังหวะ นักเตะอย่าง เบอร์นัวต์ บาเดียชิล, อักเซล ดิซาซี่, เวสลี่ย์ โฟฟาน่า, โรเมโอ ลาเวีย, มอยเซส ไคเซโด้ และอีกหลายคน ล้วนแต่เคยถูกมองว่าเป็นจอมเฟอะฟะ บ้างก็บอกว่าเล่นไม่สมราคาค่าตัวมาแล้วทั้งนั้น
ความผิดพลาดส่วนบุคคลนัดแล้วนัดเล่าของเหล่านักเตะดาวรุ่ง เชลซี สะท้อนถึงผลการแข่งขันในซีซั่นดังกล่าว กว่าที่พวกเขาจะเริ่มเข้าที่เข้าทางก็ต้องรอช่วงโค้งสุดท้ายของซีซั่น
และถึงจะเข้าฟอร์ม แต่ผลงานโดยรวมก็ยังแย่อยู่ดี เพราะจบซีซั่นด้วยการเป็นทีมที่ไม่มีแชมป์อะไรติดไม้ติดมือมาเลย อีกทั้งพวกเขายังทำได้แค่โควต้าไปเล่น ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ลีก รายการที่แทบไม่มีแฟนบอลสนใจ เรียกได้ว่ากลุ่มดาวรุ่งของ เชลซี โดนปรามาสแบบเต็ม ๆ หลังจากจบซีซั่นนั้น มีเพียงแค่ โคล พาลเมอร์ เพียงคนเดียว ที่ได้รับคำชมว่ามีพัฒนาการอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม ไม่เจ็บปวด ไม่เรียนรู้ ดูจะเป็นคำพูดที่ใช้ได้กับทีมเชลซีและกลุ่มดาวรุ่งของพวกเขา การที่เหล่าเด็ก ๆ ลงไปเจอของจริง ได้เล่นเกมระดับพรีเมียร์ลีกทุกสัปดาห์ ได้เจอคู่แข่งเก่ง ๆ สิ่งที่พวกเขาได้กลับมาคือประสบการณ์ และสิ่งที่ลดลงคือความห้าวมุทะลุแบบเด็ก ๆ
เชลซี ยิงเยอะ เสียเยอะ บางเกมเสียเยอะกว่าได้จึงทำผลงานแย่ต่อเนื่องในซีซั่น 2023-24 แต่เมื่อถึงเวลาที่ฤดูกาลสิ้นสุดลง พวกเขาได้ทบทวน ได้เรียนรู้จากแรงกดดันและความคาดหวังที่เคยเจอ ความเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้นในซีซั่นใหม่
ดาวรุ่ง+เยอะ = ข้อได้เปรียบ
เชลซี แต่งตั้งเฮดโค้ชอย่าง เอ็นโซ่ มาเรสก้า เข้ามาคุมทีมด้วยประวัติการใช้นักเตะดาวรุ่งเป็นตัวหลักในทีม เลสเตอร์ ชุดแชมป์ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ฤดูกาล 2023-24 นอกจากนี้ยังมีความเป็นฟุตบอลสมัยใหม่ซึ่งได้อิทธิพลจากการทำงานร่วมกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ แมนฯ ซิตี้ และข้อดีสองข้อนี้ส่งประโยชน์ต่อนักเตะอายุน้อยของ เชลซี เป็นอย่างมาก
เชลซี ในฤดูกาล 2024-25 อาจจะดูสับสนกับการเริ่มต้นซีซั่นบ้าง แต่เมื่อเวลาเริ่มผ่านไป สิ่งที่ทุกทีมเจอแต่เชลซีไม่เจอเลยก็คือ "ปัญหานักเตะไม่พอใช้"
ทีมอื่น ๆ นักเตะบาดเจ็บและหล่นหายไปตามโปรแกรมที่ถี่ยิบ ทีมอย่าง แมนฯ ซิตี้ เมื่อตัวหลักระดับกระดูกสันหลังของทีมอย่าง โรดรี้ เจ็บไป ผลงานของทีมก็ตกลงอย่างน่าใจหาย ขณะที่ตัวเลือกคนอื่น ๆ ที่พอจะเล่นในตำแหน่งนี้ได้ก็เจ็บ ๆ หาย ๆ ตลอดไม่ว่าจะเป็น อิลคาย กุนโดกัน หรือ มาเตโอ โควาซิช ซึ่งผลงานและมาตรฐานของพวกเขาก็อย่างที่เห็นในเวลานี้
ตัดกลับมาที่ เชลซี นักเตะดาวรุ่งที่มีประสบการณ์มากขึ้น รับมือกับความกดดันได้ดีขึ้น แถมมีนักเตะที่มีฝีเท้าและมาตรฐานใกล้ ๆ กันหลายคน ทำให้พวกเขาสับเปลี่ยนหมุนเวียนลงเล่นได้อย่างสบาย ๆ ไม่ว่าโปรแกรมจะหนักแค่ไหน
อีกทั้งฟุตบอลถ้วยอย่าง คอนเฟอเรนซ์ ลีก ที่หลายคนมองว่าเป็นรายการไม่ต่างจากบอลกระชับมิตร แต่กลับกลายเป็นว่า เชลซี ที่มีนักเตะสามารถแบ่งทีมได้ 2 ชุด กลับเจอบาลานซ์ที่ลงตัว เพราะพวกเขาสามารถโรเตชั่นได้แบบไม่ต้องมีความกังวลใด ๆ เลยในรายการนี้ เนื่องจากศักยภาพของคู่แข่งนั้นต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด
แม้คู่แข่งจะมาตรฐานต่ำกว่า แต่การเปรียบเทียบกับเกมอุ่นเครื่องก็เกินเลยไปหน่อย เพราะอย่างน้อยทีมอื่น ๆ ที่เจอกับ เชลซี ก็ฮึกเหิม มีความรู้สึกอยากล้มทีมใหญ่ตามสไตล์ทีมเล็ก นอกจากนี้พวกเขายังได้เจอกับนักเตะและแนวทางการเล่นหลากหลายจากลีกที่แตกต่างกัน ดังนั้น คอนเฟอเรนซ์ลีก จึงเป็นรายการที่นักเตะดาวรุ่งและตัวสำรองของ เชลซี ได้ประโยชน์เป็นอย่างมาก
พวกเขาใช้ถ้วยนี้ให้นักเตะที่ไม่ได้ลงเล่นในเกมลีกลงสนามแบบเปลี่ยนยกชุด เรียกได้ว่านักเตะเชลซีชุดนี้แทบไม่มีใครที่ขาดแมตช์ฟิตเลย ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่ เอ็นโซ่ มาเรสก้า จะหยิบจับตัวสำรองตัวไหนลงมาใช้ในเกมลีกหรือนัดสำคัญ พวกเขาเหล่านั้นก็อยู่ในสภาพที่พร้อมลงเล่น และสามารถช่วยทีมได้จริง อาทิ ชูเอา เฟลิกซ์, เจดอน ซานโช่, คริสโตเฟอร์ เอ็นกุนกู ที่ลงมาเปลี่ยนผลการแข่งขันในเกมลีกให้กับทีมได้อยู่บ่อย ๆ
เรียกได้ว่าแม้จะเจ็บช้ำในช่วงแรก แต่ในระยะยาว เราเริ่มได้เห็นทิศทางของการสร้างทีม เชลซี ที่ใคร ๆ มองว่าเป็นการเสริมทัพที่สูญเปล่าและมากเกินไป
ตอนนี้ดาวรุ่งของพวกเขาเริ่มพัฒนาเกรดของตัวเองมาอยู่ในระดับที่เป็นแข้งแถวหน้าในพรีเมียร์ลีกได้ และต้องไม่ลืมว่ายังมีดาวรุ่งฝีเท้าดีอีกหลายคนที่พวกเขาไปเซ็นสัญญาล่วงหน้าเอาไว้อย่าง เอสเตเวา วิลเลี่ยน กองหน้าวัย 17 ปี ที่เพิ่งคว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของลีกบราซิลไปหมาด ๆ
เชลซี มีตัวหมุนเวียนมากพอในระยะยาว และได้เปรียบเรื่องความฟิตของนักเตะที่มีให้เลือกใช้มากมายหลายคน ที่เหลือก็อยู่กับว่าพวกเขาจะสามารถต่อยอดให้ชุดนี้ไปไกลที่สุดได้แค่ไหน
แต่เท่าที่เราเห็นในเวลานี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีอนาคตที่สดใสรออยู่
บทความโดย : ชยันธร ใจมูล
โฆษณา