Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เรื่องเล่าเมาเมาแมน
•
ติดตาม
14 ธ.ค. เวลา 07:06 • หุ้น & เศรษฐกิจ
มนุษย์ เศรษฐกิจ และหล่มเทคโนโลยี…
ใกล้สิ้นปีแบบนี้ สารพัดสำนักก็ออกมาพูดถึงคาดการณ์
เศรษฐกิจปีหน้ากันเต็มไปหมด
ส่วนของไทยเอง ส่วนมากจะบอกว่า เราผ่านจุดต่ำสุด
มาแล้ว และปีหน้าคงดีขึ้น
แต่ถ้าจะไม่ดี ก็คงเป็นผลจากสงครามการค้าถ้ารุนแรง
และสงครามจริงๆ ที่อาจเกิด และเพิ่มความรุนแรงขึ้นได้
ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยนัก ผมไม่ได้มองว่าเราผ่านจุดต่ำสุด
มาแล้ว มันอาจแย่ได้มากกว่านี้ แม้ไม่มีปัจจัยการเมือง
ทั้งนอกและในอะไรเลยก็ตาม
เหตุผลคือ ผมเชื่อทฤษฎีที่ว่าโครงสร้างของเศรษฐกิจทั่วโลก
มันช้าเกินไป ที่จะรับมือเทคโนโลยีที่เราสร้างกันขึ้นมา…
ผมเชื่อในทฤษฎีนี้มากกว่า
…แบบที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนพูดว่า…
…เศรษฐกิจโลกยุคใหม่ GDP จะโต แต่ไม่เอาคนไปด้วย….
การเร่งตัวของเทคโนโลยีนั้น มีผลมากกับการทำลาย
โครงสร้างเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม จนวัดอะไรแบบเดิมได้ยาก
คือแทนที่ GDP ดี คนจะกินดีอยู่ดี มีงานทำ มันก็อาจไม่ชัวร์
ถ้าจะอธิบายทฤษฎีว่า GDP โตแต่ไม่พาคนไปด้วยอย่างไร
ก็ต้องเข้าใจว่า เทคโนโลยีนั้นเปลี่ยนแปลงสมการทางเศรษฐศาสตร์อย่างไรให้ได้ด้วย
สมการทางเศรษฐศาสตร์แบบดั้งเดิม
คือ เศรษฐกิจโต จากการมีผลผลิตมากขึ้น
ที่จะพาให้จ้างงาน และค่าแรงที่สูงขึ้น GDP ก็จะสูง
สัมพันธ์ในลักษณะแปรผันตรงแบบนี้
แต่สมการนี้ถูกทำลาย ด้วยเทคโนโลยีไปแล้ว
เมื่อปัจจุบันนั้น แม้มนุษย์จะมีผลผลิตสูงขึ้นมาก
แต่กลับใช้คนเท่าเดิมในประเทศกำลังพัฒนาแบบไทย
หรือน้อยลงมากในบางประเทศที่ไฮเทคอย่างจีน
…เราจะเห็นว่า การมองเศรษฐกิจด้วยวิธีแบบดั้งเดิมนั้น
ใช้ไม่ได้อีกแล้ว…
แต่มนุษย์ที่เป็นผู้วางนโยบาย หรือ
Policy makers ส่วนมากมักเป็นคนสูงวัย
ซึ่งไม่ทันกับตรงนี้มากนัก แม้แต่กับประเทศ
ที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีเอง อย่างสหรัฐ และจีน….
1
…คนเหล่านี้ ยังมองเศรษฐกิจ และบริหารมันด้วยวิธีดั้งเดิม
ซึ่งในความเป็นจริง มันเป็นไปไม่ได้แล้ว …
สมการดั้งเดิม ถูกทำลาย แต่กรอบความคิดคน
ยังวนเวียนกับตำราอายุหลายร้อยปี มันจะรอดได้อย่างไร ?….
ในจีนนั้น พบปัญหานี้มากที่สุด
ด้วยเหตุผลสามอย่างที่สำคัญ
1) พวกเขาพยายามลดต้นทุนทุกอย่างมากเกิน
และหวยก็มาออกที่การลดรายจ่ายด้านบุคคลากรมากที่สุด
…เมื่อค่าแรงจีน ไม่ได้ต่ำเหมือนเดิมอีกแล้ว
เพื่อให้ได้สินค้าจำนวนมาก ในราคาถูกกว่าคู่แข่งมากๆ
ทางออกของพวกเขาคือการลดคน ใช้เทคโนโลยีแทน…
2) พวกเขาต้องการเร่งการพัฒนาทางเทคโนโลยีมากไป
ด้วยเหตุผลทางการเมือง เพื่อบอกโลกว่าพวกเขาเจริญแล้ว
3) ในขณะที่พวกเขาเร่งเทคโนโลยีแบบนั้น แต่พวกเขา
กลับลืม ว่าพวกเขามีประชากรจำนวนมหาศาลกว่าชาติ
ตะวันตก ที่จะต้องตกงาน หรือรายได้ลดลงไป
และทุกวันนี้ จีนก็มาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับ
เพื่อให้คนมีงานทำมากขึ้น นั่นทำให้ตัวเลขว่างงาน
ของพวกเขาสูงที่สุด ในบรรดาประเทศพัฒนาแล้ว…
…และแม้ GDP จีน จะยังโตดีกว่าทางสหรัฐ
ถ้ามองเฉพาะตัวเลข โดยไม่ดูบริบทอื่นประกอบ…
แต่เราจะพบว่าคนจีนตกงานมากกว่าสหรัฐ ทั้งที่มีขนาด
เศรษฐกิจเล็กกว่า และมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากกว่า
ซึ่งมันเป็นอะไรที่ย้อนแย้งกับแนวคิดแบบเดิมทั้งหมด …
ที่จริง มันมีคำถามมานานมากแล้ว ตั้งแต่จีนเริ่มบูม
ว่า จีนจะทำอย่างไรกับแรงงาน เมื่อพวกเขาเน้นใช้
เครื่องจักรมากแบบนี้
ซึ่งตอนนี้ ปัญหาเริ่มเด่นชัดขึ้น เพราะมันไม่ใช่แค่
การใช้เทคโนโลยีในการผลิตอย่างเดียว…
…ปัจจุบัน เทคโนโลยีเข้าแทรกแซงแม้กระทั่งงานธุรการ
หรือบริหาร บริการของจีนแทบทั้งหมด แรงงานก็ยิ่ง
มีรายได้น้อยลง เมื่อผู้ประกอบการ เห็นว่า มันไม่มีความ
จำเป็นต้องจ้างคนมาก หรือคนเก่งค่าตัวแพงอย่างเดียว
…ธุรกิจขนาดใหญ่ ใช้คนเก่งดูแลน้อยลง
ทำงานร่วมกับใครก็ได้ที่พอจะมีทักษะนั้นๆ
และเป็นเทคโนโลยี …
หนักที่สุด คือจีนยังพยายามเร่งพัฒนาเทคโนโลยีพวกนี้
ให้เร็วและง่ายมากขึ้นอีก เพื่อแข่งขันกับตะวันตก ทั้งในแง่
การโชว์ศักยภาพ และเพื่อทำราคาฉีกออกจากสินค้าตะวันตก
ที่แพงกว่าอยู่แล้ว ให้ได้เปรียบมากขึ้นไปอีก
…สิ่งนี้ กำลังกลับไปกัดกินระบบเศรษฐกิจของจีนอย่างมาก
และกระทบไปถึงภาคสังคม ที่มีลูกน้อยลง การหย่าร้างพุ่งสูง
และในหมู่คนรุ่นใหม่ เริ่มขาดความหวัง หรือแรงบันดาลใจ…
เดิมนั้น ในตะวันตกพบปัญหานี้น้อยกว่ามาก
มันมีเหตุผลทางการเมือง และระบบของพวกเขาขวางทาง
เทคโนโลยีที่เร็วเกินไปอยู่
ที่สำคัญ คือ สหภาพแรงงานในชาติตะวันตกเอง
ซึ่งมักมีความแข็งแรงมาก และเป็นกลุ่มกัอนที่มีพลัง
ทางการเมืองสูง นักการเมืองค่อนข้างเกรงใจ
การใช้เครื่องจักรมากไปในตะวันตก
สหภาพแรงงานจะออกมาถล่ม จนต้องถอย
แบบที่เราเคยเห็นข่าว สหภาพคนเขียนบทในสหรัฐประท้วง
หรือการเรียกร้องให้มีการเก็บภาษีหุ่นยนต์นั่นแหละ
แต่ในจีนนั้นไม่มีสิทธิทำแบบนั้น
และเนื่องจากจีนปล่อยสินค้าราคาถูกไปทั่วโลก
ในการแข่งขันทางธุรกิจ จึงเหมือนบีบให้ธุรกิจฝั่งตะวันตก
และทุกชาติในโลก ต้องลดต้นทุน และทำแบบเดียวกัน
กับจีน ไม่งั้นก็สู้ไม่ได้
เขียนแบบนี้ อาจเหมือนโทษว่าจีนคือต้นเหตุทั้งหมด
ของการเปลี่ยนแปลงลักษณะการผลิตของโลก
ซึ่งมันก็ใช่นั่นแหละ กองเชียร์จีนต้องเข้าใจด้วยว่า
เมื่อจีนเป็นประเทศเศรษฐกิจอันดับสองในปัจจุบัน
พวกเขามีอิทธิพลในการกำหนดแนวทางเศรษฐกิจไปแล้ว
…การเร่งปฏิกิริยาแทรกแซงของเทคโนโลยีที่มากไปจากจีน
จึงเหมือนเร่งปฏิกิริยาทั่วโลกแบบเดียวกันไปด้วยในตัว …
…ตราบที่จีนยังเน้นขายของถูก ทุ่มตลาดแบบนี้
เศรษฐกิจโลกมันก็จะเป็นแบบนี้นั่นแหละครับ….
และปัจจุบัน จีนมีปัญหาการผลิตมากจนเกินความต้องการ
ของโลกไปเยอะ มันจะทำให้เกิดการโละสต็อกแบบถูกๆอีกมาก
ลักษณะนี้จะพากันแย่ไปทั้งโลก ไม่เว้นแม้แต่ในจีนเอง
…เพราะแบบนี้ บางทฤษฎีถึงบอกว่า…
…ไอ้ที่ว่าแย่ที่สุดผ่านมาแล้ว มันอาจไม่ใช่นั่นเอง….
มนุษย์เรา พยายามสมดุลการเข้ามาแทนคนของเทคโนโลยี
มาตลอด ตั้งแต่หลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
เพื่อให้คนยังมีงานทำ และเศรษฐกิจโตไปตามตำรา
หรือแนวทางที่ควรจะเป็น
ที่ผ่านมา เทคโนโลยีจำพวกโรบอท ที่สร้างผลผลิตได้มาก
หรือโปรแกรมช่วยงานที่ง่ายนั้น ทางฝั่งตะวันตก
จะค่อนข้างไม่ปล่อยมันออกมาเร็วเกินไป ทั้งที่ทำได้
เพื่อให้เกิดสมดุล ของเทคโนโลยีกับตลาดแรงงาน
แต่จีนไม่ทำแบบนั้น พวกเขาไม่เคยควบคุมสิ่งเหล่านี้
และพยามเร่งมันเสียด้วยซ้ำ
พวกเขาพยายามทำอะไรออกมาให้ใช้ง่าย และง่าย
จนเกินไปในบางครั้ง ซึ่งนั่นไม่เป็นผลดีนัก
จีนปัจจุบัน คือเจ้าแห่ง software ประเภท
non performance ของโลก
มันอาจให้ผลดี ที่ทำให้คนทั่วไป สามารถทำงานยากๆ
โดยไม่ต้องเชี่ยวชาญมากนักได้ ทำให้จีนมีผลผลิตมากขึ้น
โดยต้นทุนต่ำลง จากการไม่ต้องมีผู้เชี่ยวชาญ
แต่ในอีกด้าน มันกลับทำให้คนทำงานรุ่นใหม่ของพวกเขา
มีความสามารถเฉพาะทางที่ต่ำลง และความกระตือรือร้น
ของบรรดาเยาวชน นักศึกษาลดลงไปด้วย
มันเป็นต้นเหตุทั้งหมด ที่ทำให้การว่างงานในจีนสูงขึ้น
และทำให้คนจีนไม่อยากมีลูก เพราะกลัวอนาคตลูก
จะไม่มีงานทำ
…มันไม่ใช่ความผิดของจีน ที่พยายามพัฒนาตัวเอง
…แต่การไม่มองผลรอบด้าน มันทำให้เกิดเป็นลักษณะ
ของการกัดกินตัวเอง แบบ cobra effect ของพวกเขา
และลามออกมาทั่วโลก …
…เศรษฐกิจโลกยุคต่อไป มันจึงคาดหวังได้ยาก
สำหรับผู้คน ก็เพราะเรื่องลักษณะนี้นี่เอง…
ปัจจุบัน จีนเริ่มรู้ตัวแล้ว กับปัญหาที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง
สินค้าหลายรายการ เริ่มถูกตัดตอนโดยรัฐบาล
เช่น แผงโซลาร์เซลล์ จีนก็ต้องจำกัดโควต้าการผลิตแล้ว
หรือรถไฟฟ้า ก็มีข่าวว่า การสนับสนุนจากภาครัฐลดลงมาก
เหลือไว้แต่เจ้าใหญ่ๆก็พอ เจ้าเล็กปล่อยเจ๊งหมด
ซึ่งถ้าจีนแก้ปัญหาสมการบิดเบี้ยวของตัวเองได้
มันจะส่งผลดีกับเศรษฐกิจทั้งโลก
…มันเป็นสิ่งที่เราควรคาดหวังจากพวกเขา…
…ให้จีนโตแค่ 3% แต่พวกเขากลับมาจ้างงานมาก
ค่าแรงขึ้นเยอะ สินค้าพวกเขาราคาสูงขึ้นบ้าง
มันดีกับโลกมากกว่าให้จีนโต 10% แต่คนจีนยังตกงาน
และสินค้าถูกลงเรื่อยๆ แบบปัจจุบันนั่นแหละ ….
สำหรับไทย ผมว่าเราควรมองโมเดลเศรษฐกิจจากอิตาลีนะ
…เลิกเหอะ มองจีน ญี่ปุ่น เกาหลีเป็นโมเดลน่ะ…
คนอิตาลีนิสัยก็คล้าย
ลักษณะการใช้ชีวิตแบบครอบครัวใหญ่ก็คล้าย
ลักษณะความเชี่ยวชาญก็คล้ายกันมาก
2
อิตาลีอาจเป็นประเทศไฮเทคก็จริง
พวกเขานี่แหละ คือชาติที่ขายสายพานการผลิตไปรัสเซีย
มากที่สุด และเป็นรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในด้านนี้
แต่พวกเขากลับเลือกเน้นขายทักษะคนเป็นหลักมากกว่า
อิตาลีจึงแทบไม่ได้รับผลกระทบจากการถล่มตลาดของจีน
มันน่าขำนะ ที่ก่อนเกิดสงครามในยูเครน และเยอรมัน
เริ่มฟุบจากการไม่ไหวกับการต่อต้านสินค้าจีน
แต่อิตาลีที่ตอนแรกย่ำแย่ กลับฟื้นคืนชีพมาอย่างแข็งแกร่ง
โมเดลธุรกิจเพื้ยนๆ ของพวกเลี่ยน กลายเป็นสิ่งสำคัญ
ที่สุด และเหมาะสมที่สุด ในการรับมือกับจีน
…จีนอยากผลิตเก้าอี้ราคาถูกเหรอ เรื่องของเอ็งสิ…
…ข้าจะขายแพงอ่ะ ใครจะทำไม…
…จีนจะใช้เครื่องจักรเพื่อผลิตขายร้อยตัวใช่มะ เรื่องของเอ็ง..
…ข้าจะใช้คนของข้าคนเดียว ทำตัวเดียว แต่ได้ราคา
ได้กำไร เท่าเอ็งร้อยตัวให้ดู !…
นี่แหละ โมเดลเพี้ยนๆแบบอิตาลี
2
…ทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ดีที่สุดไม่ทำเลยดีกว่า ติสท์สุดๆ…
ปกติมันก็ไม่ค่อยได้เรื่องนักหรอก
แต่ถ้าจะรับมือสินค้าจีน ก็ต้องแบบนี้แหละ ดีที่สุด
และผมว่าคนไทยกับคนอิตาลี มีลักษณะคล้ายกันหลายอย่าง
…ลองมองต้นแบบที่เหมาะสมกับตัวเองบ้าง
คงดีกว่าเดินตามคนที่เราไม่ใช่เขาน่ะนะ…
1
…บางที มันอาจช่วยให้เรารอดจากหล่มเทคโนโลยีก็ได้…
ข่าว
https://www.investing.com/news/economy-news/chinas-cewc-avoids-bold-new-measures-focuses-on-stability--anz-3770613
ธุรกิจ
ข่าวรอบโลก
เศรษฐกิจ
บันทึก
18
5
1
18
5
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย