13 ธ.ค. เวลา 07:55 • กีฬา

อยู่ได้ไม่ถึงตำนาน : เหตุผลที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จับ มาร์คัส แรชฟอร์ด เข้าสถานะ "พร้อมขาย" | Main Stand

หลังจากอยู่ในสถานะ "แตะต้องไม่ได้" มานาน ในที่สุด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ตัดสินใจเปลี่ยนสถานะของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ให้กลายเป็นนักเตะที่ "พร้อมขาย" หากได้ราคาที่ต้องการ
นับตั้งแต่เลื่อนชั้นมาเล่นชุดใหญ่ครั้งแรกเมื่อปี 2016 แรชฟอร์ด สร้างภาพความทรงจำดี ๆ มากมาย หลายคนบอกว่าเขาเป็นสายเลือดผีแดงพันธุ์แท้ และจะเป็นนักเตะระดับไอคอนของทีมในอนาคต แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว
นอกจากเรื่องฟอร์มตก อะไรที่ทำให้ แรชฟอร์ด ผู้เคยเป็นขวัญใจแฟนผี กลายเป็นนักเตะที่ตอนนี้ทุกคนมองว่า "หมดแล้ว"
ติดตามกับ Main Stand ที่นี่
จุดเปลี่ยนของ แรชฟอร์ด
แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นทีมที่ให้ความสำคัญในเรื่องการผลักดันดาวรุ่งจากท้องถิ่นขึ้นมาเล่นให้กับทีมชุดใหญ่เสมอ ทุก ๆ ซีซั่น และแทบทุกเกมต่อเนื่องกัน ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของสโมสร พวกเขามักจะมีแข้งท้องถิ่นลงสนามอยู่เสมอ
มาร์คัส แรชฟอร์ด ถือเป็นเชื้อสายแมนคูเนียนแท้ ๆ ตัวของ แรชฟอร์ด เติบโตมาจาก เฟล็ทเชอร์ มอสส์ เอฟซี โรงเรียนขนาดเล็กในท้องถิ่นที่มีใบประกาศจาก สมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ FA ให้สามารถฝึกสอนฟุตบอลกับเด็ก ๆ ได้ แต่ไม่ได้อยู่ในนิยามของคำว่า "ทีมอคาเดมี่อาชีพ"
เฟล็ทเชอร์ มอสส์ กลายเป็นแหล่งที่ ยูไนเต็ด สามารถเข้ามาช้อนเอานักเตะที่ดีที่สุดของทีมอคาเดมี่แบบกึ่งมาตรฐานในเมืองแมนเชสเตอร์แห่งนี้ และนั่นคือเหตุผลที่ว่าพวกเขาได้กำลังหลักอย่าง แรชฟอร์ด ขับเคลื่อนทีมชุดปัจจุบัน และเป็น "นักเตะซีเนียร์" เรียบร้อยแล้ว
แรชฟอร์ด แจ้งเกิดครั้งแรกเมื่อปี 2016 ในเกม ยูโรป้า ลีก ที่เขาถูก หลุยส์ ฟาน กัล ส่งลงสนามเป็น 11 ตัวจริงในเกมกับ มิททิลลันด์ ก่อนที่เขาจะยิง 2 ประตูในเกมนั้น จากนั้นไม่กี่วัน เขาลงเล่นและยิงใส่ อาร์เซน่อล ในเกม พรีเมียร์ ลีก อีก 2 ประตู
จากนั้นเป็นต้นมา แรชฟอร์ด ก็เป็นความหวังสูงสุดของ แมนฯ ยูไนเต็ด มาโดยเสมอ แม้กระทั่งวันนี้ ในวันที่เขาเล่นไม่ดีและกลายเป็นที่ติติงของแฟนบอลในแทบทุกสัปดาห์ ... ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ?
เรื่องนี้จะบอกว่าคล้ายกับ "พ่อแม่รังแกฉัน" ก็คงไม่เกินเลยไปนัก นับตั้งแต่วันที่ แรชฟอร์ด เข้ามาอยู่ในทีมชุดใหญ่ของ ปีศาจแดง ก็ต้องยอมรับว่า สโมสรแห่งนี้ลงทุนอย่างผิดพลาดกับการเสริมทัพ จนไม่สามารถมีใครขึ้นมายืนเป็นตัวหลักในระยะยาวของสโมสรได้เลย ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ที่ แรชฟอร์ด จะต้องขึ้นมาเป็นคน ๆ นั้น คนที่ทีมมองหาเสมอ
สถานะ "วันเดอร์คิด" บวกกับเป็นนักเตะท้องถิ่น ทำให้บอร์ดบริหารของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ทำงานล้มเหลวแทบทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องของฟุตบอล เข้าใจได้อย่างทันทีว่านักเตะอย่าง แรชฟอร์ด จะอยู่ในสถานะอนาคตระยะยาว และเป็นนักเตะที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ ไม่ว่าจะอย่างไร เขาจะเป็นสมบัติของทีมนานที่สุด ตราบเท่าที่วันลาจะมาถึง
1
เมื่ออยู่ในสถานะนี้ เขาจะได้รับการดูแลประคบประหงมเป็นอย่างดี เป็นหน้าเป็นตาของสโมสร และทุกครั้งที่สัญญาของเขากำลังจะหมด ข้อเสนอสัญญาฉบับใหม่จะต้องมาวางรอให้เขาเดินเข้ามาเซ็น คุณไม่มีทางได้เห็นเหตุการณ์แบบที่เกิดขึ้นกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ลิเวอร์พูล เหมือนกับที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำกับ แรชฟอร์ด แน่นอน
1
แม้การต่อรองจะมีบ้าง แต่ที่สุดแล้ว สิ่งใดที่จะทำให้พวกเขารั้งสตาร์หมายเลข 1 ของทีมอย่าง แรชฟอร์ด ได้ แมนฯ ยูไนเต็ด จะไม่ลังเลและทำสิ่งนั้น ซึ่งเมื่อได้สถานะนั้น มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่แฟนผีแดงจดจำก็ได้เปลี่ยนไป
ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน
อย่างไรก็ตาม การจะบอกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ผิด 100% กับการต่อสัญญา แรชฟอร์ด แบบสบาย ๆ จนมาถึงจุดนี้ก็คงไม่ถูกต้อง เพราะในช่วงแรก ๆ นั้นกระแสและความคิดเห็นของแฟนบอลที่มีต่อ แรชฟอร์ด ก็ไม่ต่างกับที่สโมสรมอบให้เขานัก แรชฟอร์ด เป็นนักเตะที่แฟนผีแดงรอมาเสมอ ว่าจะพัฒนาตัวเองจากนักเตะวันเดอร์คิด กลายเป็นนักเตะระดับโลก เหมือนที่ตอนรุ่น ๆ เขาเคยถูกเปรียบเทียบและเป็นคู่แข่งกับ คีลิยัน เอ็มบัปเป้
1
ความผิดหวังของแฟนปีศาจแดงเริ่มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีหลังสุด แรชฟอร์ด มีผลงานในสนามที่ตกลงไปเยอะมาก จังหวะกระชาก จังหวะใช้ความเร็ว จังหวะจบสกอร์คม ๆ จากระยะใกล้และไกลที่เคยมีเป็นจุดเด่นค่อย ๆ หายไป
ขณะที่สิ่งที่เคยมองว่าต้องปรับปรุง ทั้งเรื่องความเข้าใจเกม การคาดการณ์สถานการณ์ล่วงหน้า ทัศนคติในการเล่นเป็นทีม หรือแม้กระทั่งการช่วยเพื่อนร่วมทีมเล่นเกมรับ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หายไป แต่ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนทุกวันนี้มันแสดงออกมาเป็นภาษากายของเขาเรียบร้อยแล้ว
ท่าทีที่เล่นฟุตบอลด้วยความเครียด ไม่สนุก การทำผิดวินัยสโมสร การใช้โซเชี่ยลมีเดียแสดงออกมากกว่าผลงานในสนาม และชัดเจนที่สุดคือ ในวันที่ทีมต้องการเขา เขาไม่เคยเป็นคนเดิมที่อยู่ตรงนั้นเลย แม้กระทั่งวันนี้ วันที่เขาอายุ 27 ย่าง 28 ปี ซึ่งถือเป็นช่วงที่พีกที่สุดของการเป็นนักฟุตบอล
แต่ทำไปทำมา แรชฟอร์ด ในตอนนี้ พัฒนาถอยหลังยิ่งกว่าตอนที่เขาอายุไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะคุณจะมองเขาด้วยผลงานการยิงประตู ความมุ่งมั่นในการเล่น ความโดดเด่นในสนาม หรือคุณจะมองเขาจากเรื่องใด ๆ ก็ตามแต่ นี่คือความจริงที่แฟนปีศาจแดงไม่สามารถปฏิเสธได้เลย
สิ่งที่กล่าวมา ทำให้กลายเป็นว่า ณ ตอนนี้ การมีนักเตะเบอร์ 1 ของทีมอย่าง แรชฟอร์ด กำลังกัดกินทีม ๆ นี้อยู่ลึก ๆ
เราอยากให้คุณนึกภาพว่า คุณกำลังทำงานในออฟฟิศแห่งหนึ่ง และมีพนักงานคนหนึ่งที่เป็นลูกรักของประธานบริษัท รับเงินเดือนสูงที่สุด แต่ Performance หรือประสิทธิภาพการทำงานแย่มาก อีกทั้งเจ้าตัวยังวินัยหย่อนยาน ถึงขั้นใช้คำว่า "ขี้เกียจ" ได้ในระดับหนึ่ง
ตัดกลับมาที่คุณ พยายามตั้งใจทำงานอย่างดี ไม่เคยขาดลามาสาย แต่เมื่อถึงเวลา เขาเป็นตัวเลือกอันดับแรกที่จะถูกเจ้านายใช้งาน และเขาเป็นคนแรกที่ถูกนึกถึงหากพูดถึงชื่อบริษัทของคุณ
คุณจะยินดีให้สิ่งนี้เกิดขึ้นต่อไปหรือไม่ ? คุณจะทำงานหนักในที่มืดและยินดีจะให้คน ๆ หนึ่งรับคำชมในที่แจ้ง ขณะที่เขาคนนั้นพยายามไม่ได้ครึ่งของคุณหรือเปล่า ? นั่นแหละคือสิ่งที่เราหมายถึง
หรืออย่างดีที่สุด ต่อให้เพื่อนร่วมทีมปีศาจแดงจะยินดีที่มี แรชฟอร์ด อยู่ในทีม แต่ถ้าคุณมีนักเตะซีเนียร์แบบนี้ คุณคิดว่าเขาจะสร้างอิทธิพลต่อนักเตะดาวรุ่งคนอื่น ๆ แค่ไหน ? ... อย่าลืมว่า ยูไนเต็ด ยังมีนักเตะดาวรุ่งอีกหลายคนที่พวกเขาต้องการแบบอย่างที่ดี และต้องการพี่ใหญ่ รวมถึงผู้แนะนำทั้งในและนอกสนาม คุณลองคิดดูว่า อเลฮานโดร การ์นาโช่, ค็อบบี้ เมนู หรือแม้แต่ อาหมัด ดิยัลโล่ จะได้อะไรจาก มาร์คัส แรชฟอร์ด บ้าง ?
สิ่งที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ประกาศว่า แรชฟอร์ด เป็นนักเตะที่พร้อมขายนั้นจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย มันเป็นการกระทำที่ทุกสโมสรต้องทำ หากพวกเขาให้ความสำคัญกับความเป็นเลิศด้านฟุตบอลเป็นอันดับแรก
นักเตะทุกคนมีราคา
นอกจากเรื่องในและนอกสนามแล้ว มาถึงสิ่งสำคัญมาก ๆ ไม่แพ้กัน นั่นก็คือ เรื่องการเงินของสโมสร
นับตั้งแต่กลุ่ม INEOS โดย เซอร์ จิม แรทคลิฟฟ์ เข้ามาดูแลเรื่องฟุตบอลของ แมนฯ ยูไนเต็ด พวกเขาพยายามตัดการใช้เงินที่ไม่จำเป็นหลาย ๆ อย่างออกไป และตอนนี้พวกเขาก็มองว่า เงินที่สโมสรจ้าง มาร์คัส แรชฟอร์ด ราวสัปดาห์ละ 350,000 ปอนด์ คือสิ่งที่กำลังเป็นปัญหาในเวลานี้
จริงอยู่ที่ แรชฟอร์ด เคยเป็นนักเตะที่มีมูลค่าสูง และเคยถูกตีราคาว่า นักเตะอย่างเขา หากจะย้ายทีมต้องมีราคา 100 ล้านปอนด์ แต่อย่างที่ได้กล่าว ณ ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว ตามคำที่ว่า "ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน"
ณ เวลานี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังให้ใช้แบบไม่อั้นอีกแล้ว และต่อให้ที่พวกเขามีมันจะไม่ใช่จำนวนเงินน้อย ๆ แต่มันก็โดนกฎการเงินเพื่อความยั่งยืนหรือ PSR ครอบเอาไว้ กล่าวคือเมื่อพวกเขามีรายได้น้อยลง พวกเขาก็ต้องทำให้รายจ่ายของพวกเขาลงด้วย
การที่พวกเขาไม่ได้ไปเล่นฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกทั้งยังเอาเงินไปใช้กับการปลดโค้ช แต่งตั้งโค้ช รวมถึงค่าจ้างนักเตะที่สูงมาก ๆ ทำให้การระบายออกจำเป็นต้องเกิดขึ้นในเวลานี้
พูดแบบชาวบ้านให้เข้าใจง่าย ๆ เลยก็คือ ยูไนเต็ดต้องปล่อยผู้เล่นออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงการทำผิดกฎกำไรและความยั่งยืน และในฐานะผู้เล่นที่เติบโตจากสโมสร การขาย แรชฟอร์ด จะนับเป็นกำไร 100 เปอร์เซนต์ในงบดุลของพวกเขา
ยูไนเต็ด อยู่ในสถานะที่เลือกมากไม่ได้ เพราะถ้าพวกเขาจะต่อสัญญา แรชฟอร์ด ฉบับใหม่ แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นจำนวนเงินที่สูงขึ้นกว่าเดิมอีก และครั้นถ้าจะไม่ตั้งราคาหรือประกาศขายแบบที่ทำในตอนนี้ พวกเขาอาจจะไม่ได้อะไรเลย หากทุกอย่างล่วงเลยไปจนถึงวันที่ แรชฟอร์ด ไม่ต่อสัญญา
ณ ตอนนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่ควรจะต้องเป็นแบบนี้มากที่สุดแล้ว มันคือเวลาอันสมควรกับการวาง มาร์คัส แรชฟอร์ด ไว้บนบัญชีผู้เล่นขาออก และพร้อมรับฟังทุกข้อเสนอที่มีเข้ามา ด้วยเหตุผลมากมายหลายประการ
เขาไม่ใช่นักเตะที่ดีที่สุดในทีมอีกแล้ว เขาไม่ใช่นักเตะที่พึ่งพาได้ เขาเป็นนักเตะที่อาจเป็นตัวอย่างไม่ดีสำหรับนักเตะรุ่นน้อง เขาเป็นนักเตะที่ต้องปรับตัวกับระบบการเล่น 3-4-2-1 ของ รูเบน อโมริม และเหนือสิ่งอื่นใด ที่สำคัญที่สุดก็คือ แมนฯ ยูไนเต็ด แบกความผิดหวังกับนักเตะอย่างเขามามากพอแล้ว
การขายออกไป ไม่ว่าจะด้วยราคา 40-50 ล้านปอนด์ แม้จะลดลงจากที่คาดไว้ช่วง 1-2 ปีก่อนถึง 50% แต่ ณ ตอนนี้ ยูไนเต็ด ก็ไม่มีทางเลือกนัก
มาร์คัส แรชฟอร์ด และผลงานของเขา บีบให้สโมสรต้องทำแบบนี้ ... ยูไนเต็ด แค่ถึงเวลาตัดสินใจทำในสิ่งที่พวกเขาต้องทำ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เก่ง แต่ทุกคนล้วนต้องการที่ทางของตัวเอง เขาอาจจะล้มเหลวกับ ยูไนเต็ด ในตอนนี้ แต่กับต้นสังกัดใหม่ในอนาคต แรชฟอร์ด อาจเกิดใหม่เป็นคนละคน แบบที่นักเตะอย่าง สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ หรือ โรเมลู ลูกากู เป็นก็ได้ เพราะในโลกฟุตบอลอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
นักเตะจากไป แต่สโมสรคงอยู่ นี่คือความจริงที่ไม่เคยหนีหายออกไปจากโลกของฟุตบอล แม้ แรชฟอร์ด จะเคยสร้างความทรงจำดี ๆ กับทีมและแฟนบอล แต่ตอนนี้ เวลาอันสมควรของมัน ได้เดินทางมาถึงแล้ว
ไม่ว่าเร็วหรือช้า เวลาของเขากับ แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังจะหมดลงอย่างไม่ต้องสงสัย
1
บทความโดย : ชยันธร ใจมูล
โฆษณา