16 ธ.ค. เวลา 04:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

โมเดลธุรกิจโคคา-โคล่า ไม่สร้างโรงงานผลิตเอง แต่เน้นขาย หัวเชื้อน้ำอัดลม ให้คนอื่น | MONEY LAB

รู้หรือไม่ว่า โคคา-โคล่า เจ้าของเครื่องดื่มที่ใคร ๆ ก็รู้จัก อย่างโค้ก สไปรท์ และแฟนต้า สามารถขายเครื่องดื่มได้วันละ 2,200 ล้านขวดทั่วโลก
ซึ่งหากเราลองสังเกตดู ก็จะพบว่า โค้กเป็นเครื่องดื่มเพียงไม่กี่ชนิด ที่สามารถวางขายได้ครอบคลุมแทบทุกพื้นที่ในโลก ตั้งแต่บนเครื่องบินโดยสาร ไปจนถึงพื้นที่แถบชนบท
แล้วโคคา-โคล่า ทำอย่างไรถึงสามารถขายสินค้าครอบคลุมพื้นที่ทั่วทุกมุมโลกได้ ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
กลยุทธ์ที่โคคา-โคล่าใช้ เรียกว่า Asset Light Model หรือก็คือ การลดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนสูง เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารกิจการ
โดยนอกจากโคคา-โคล่าแล้ว ก็มีบริษัทชื่อดังอย่าง Apple
ที่ใช้กลยุทธ์นี้ด้วย
รู้หรือไม่ว่า Apple ไม่มีโรงงานผลิตสมาร์ตโฟนเป็นของตัวเอง แต่อาศัยการจ้างผลิต ทำให้บริษัทไม่ต้องตั้งงบลงทุนที่สูง และไม่จำเป็นต้องเสียเวลาสร้างโรงงานของตัวเอง
เพราะจุดแข็งของ Apple ไม่ใช่การผลิต แต่เป็นการออกแบบนวัตกรรมให้ล้ำหน้ากว่าคนอื่น
กลับมาที่โคคา-โคล่า
โคคา-โคล่าก็เหมือน Apple ตรงที่ไม่ได้สร้างโรงงานผลิตน้ำอัดลมเอง เพียงแต่ขายวัตถุดิบสำคัญคือ หัวเชื้อ หรือ Syrups ให้พาร์ตเนอร์ผู้ผลิตขวดบรรจุน้ำอัดลมในแต่ละประเทศ
จากนั้นพาร์ตเนอร์ผู้ผลิตขวดบรรจุน้ำอัดลมก็จะผลิตน้ำอัดลมจากหัวเชื้อ แล้วปรุงวัตถุดิบตามสูตรของบริษัทแม่
โดยในไทยก็มีบริษัท 2 แห่งที่รับจ้างผลิต และจัดจำหน่ายน้ำอัดลมให้โคคา-โคล่า นั่นก็คือบริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด และบริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน)
ข้อดีของการทำแบบนี้คือ โคคา-โคล่าไม่จำเป็นต้องเตรียมงบลงทุนสูง ๆ ไว้สร้างโรงงานผลิตเอง แล้วก็ไม่ต้องเสียเวลารอโรงงานสร้างเสร็จ เพื่อเริ่มผลิตสินค้าด้วย
บริษัทเพียงแค่มองหาผู้ผลิตที่มีศักยภาพในแต่ละตลาด ก็สามารถผลิตสินค้า ป้อนเข้าตลาดได้ทันที
นอกจากกระบวนการผลิตแล้ว บริษัทท้องถิ่นที่โคคา-โคล่าไปจับมือด้วย ยังรู้จักช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าในระดับท้องถิ่นเป็นอย่างดี
ในขณะที่โคคา-โคล่าซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติ อาจจะไม่รู้จักช่องทางการจัดจำหน่ายในแต่ละประเทศ ดีเท่ากับบริษัทในประเทศนั้น ๆ ดังนั้นกลยุทธ์นี้ จึงช่วยแก้จุดอ่อนให้กับโคคา-โคล่าได้เป็นอย่างดี
แต่สำหรับประเทศที่ไม่มีผู้ผลิตที่เหมาะสม เช่น กัมพูชา และเวียดนาม ทางบริษัทจะเข้าไปลงทุนสร้างโรงงานผลิตด้วยตัวเอง จากนั้นก็จะหาผู้ที่สนใจเข้ามาซื้อโรงงานต่อ
นอกจากนี้ ถ้าน้ำอัดลมของโคคา-โคล่าขายดีในประเทศนั้น ๆ บริษัทท้องถิ่นที่รับจ้างผลิต และเป็นตัวแทนจัดจำหน่าย ก็จะมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นไปด้วย
และบริษัทท้องถิ่นเหล่านี้ ก็ไม่ต้องแบกรับต้นทุนในการทำการตลาดด้วย เพราะบริษัทแม่จะเป็นผู้ทำการตลาดด้วยตัวเอง
พูดง่าย ๆ ก็คือ โคคา-โคล่าได้ดึงบริษัทท้องถิ่นที่มีศักยภาพในการผลิตน้ำอัดลมมาเป็นพวกของตัวเอง แล้วจึงแบ่งงานกันทำตามสิ่งที่แต่ละคนถนัด
โคคา-โคล่ามีสูตรและเก่งเรื่องทำการตลาด ก็ขายหัวเชื้อ และทำการตลาด ส่วนบริษัทท้องถิ่นเก่งเรื่องผลิต และจำหน่าย ก็ผลิตและจัดจำหน่าย
ถ้าเราลองมาดูผลประกอบการของโคคา-โคล่า จะพบว่า
ปี 2566 บริษัทมีรายได้จากการขายหัวเชื้อประมาณ 898,400 ล้านบาท และมีรายได้จากการผลิตน้ำอัดลมขายเองที่ประมาณ 650,570 ล้านบาท
ก็จะเห็นได้ว่าบริษัทสามารถสร้างรายได้จากการขายหัวเชื้อได้มากกว่า การผลิตน้ำอัดลมขายเองเลยเสียอีก..
1
เปิดจอง IPO กองทุน MEGAWORLD30 วันที่ 11-17 ธ.ค. 2567 นี้
- ร่วมเป็นเจ้าของ 30 บริษัทชั้นนำระดับโลก MEGAWORLD30 เสนอขาย 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดสะสมมูลค่า (MEGAWORLD30-A) และชนิดเพื่อการออม (MEGAWORLD30-SSF)
MEGAWORLD30 เป็นกองทุนที่จะเข้าไปลงทุนในตราสารทุนของบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ดังนี้
- ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange: NYSE) หรือ
- ตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (Nasdaq Stock Market: NASDAQ) หรือ
- ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange: HKEX) หรือ
- ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange: TSE) หรือ
- ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศในกลุ่มยูโรโซน (Eurozone) เฉพาะหลักทรัพย์ที่เป็นส่วนประกอบในดัชนี EURO STOXX 50
กองทุนมีการบริหารแบบ Rules Based Approach โดยพิจารณาลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) สูงสุด และมีสภาพคล่อง
รวมถึงปัจจัยที่ผู้จัดการกองทุนพิจารณาเพิ่มเติม เช่น คัดเลือกจากอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และ/หรือ อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่ผู้จัดการกองทุนกำหนด เป็นต้น จำนวน 30 บริษัท เช่น Nvidia, Apple, Microsoft, Meta, ASML, TSMC, Novo Nordisk, Tencent, Netflix, LVMH และ Hermès*
โดยกองทุนจะมีการลงทุนที่ส่งผลให้มี Net Exposure ในตราสารทุนข้างต้นโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
ทั้งนี้ กองทุนจะลงทุนในรูปของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ยูโร ดอลลาร์ฮ่องกง และ/หรือ เยน ตามรอบการปรับสมดุลของสัดส่วนน้ำหนักการลงทุน (Rebalance) และการปรับรายชื่อหลักทรัพย์
กองทุนรวมนี้ มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
*บริษัทดังกล่าวสามารถปรับเปลี่ยนได้ ตามเกณฑ์การลงทุนและสภาวการณ์การลงทุน ณ ขณะนั้น
สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถศึกษารายละเอียดและเริ่มต้นลงทุนได้ที่ บลจ.ทาลิส โทร. 02-0150215, 02-0150216, 02-0150222 หรือ www.talisam.co.th และผู้สนับสนุนการขายหลายราย
คำเตือน: กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะ เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงของกองทุนรวม ก่อนตัดสินใจลงทุน และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน SSF กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร และการลงทุนในกองทุนรวมตราสารแห่งทุนอาจมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์
โฆษณา