13 ธ.ค. 2024 เวลา 14:35 • การศึกษา
ลำพูน

ว่ากันต่อที่วจีกรรมและกายกรรม

วจีกรรมก็มีลักษณะอย่างเดียวกับมโนกรรม คนเราจะพูดออกมาก็ต้องอาศัยข้อมูลที่เป็นสัญญาความจำที่เก็บไว้ในใจที่เป็นฝ่ายบวกหรือฝ่ายลบ ที่ผลัดเปลี่ยนออกมาเป็นเหตุปัจจัยในการปรุงแต่งให้คนเราพูดออกมา ถ้าข้อมูลลบให้ผลคือพูดก็จะออกมาไม่ดี ทำให้คนเรามีเรื่องมีราวทะเลาะกัน แต่ถ้าข้อมูลบวกให้ผล คำพูดก็พูดสิ่งที่ดีไพเราะออกมา สร้างสุขกับคนฟังได้
จะเห็นว่าการพูดจึงเป็นกรรมหรือการกระทำออกมา ย่อมมีผลของการพูดเกิดขึ้น เรียกว่าผลของกรรม ใจเป็นผู้ส่งข้อมูลให้คนเราพูด ใจก็ต้องเก็บข้อมูลของการพูดเก็บไว้ในใจอีก แล้วก็คอยแสดงผลออกมาให้ผลตามกรรมที่ทำไว้
ส่วนทางกายกรรม ก็เหมือนกับทางวจีกรรม ได้รับข้อมูลจากมโนกรรมที่ปรุงแต่งเสร็จเรียบร้อย ถ่ายทอดไปสู่การกระทำทันทีในทางกาย การกระทำทางกายจึงหนักหน่วงกว่ามโนกรรมและวจีกรรม เช่น คนเราไม่พอใจมาก่อน แล้วถ่ายทอดออกเป็นคำด่าทางวจีกรรม
ด่าแล้วยังไม่พอต้องถ่ายทอดความไม่พอใจนั้นออกไปทางกาย เช่น ทุบตี ฆ่าฟัน เป็นต้น จะเป็นการทำกรรมที่หนักกว่าทุกทาง มีผลกว้างไกล ออกมาเป็นรูปธรรมที่ตั้งอยู่ยาวนาน เป็นบาดแผลเกิดขึ้นกับวัตุสิ่งของ และสัตว์บุคคล ที่เห็นได้ชัด ใจของเราก็จะเก็บผลการกระทำทั้งหมดเป็นวิบากกรรมไว้ในใจแล้ววิบากกรรมนั้นก็ทยอยออกมาให้ผลตามธรรมชาติ เรียกว่า กฎแห่งกรรม
ชีวิตของคนเราในขณะนี้ เราเห็นว่าทุกคนที่เกิดมาเป็นคนต้องมาชดใช้วิบากกรรมที่ตนเองทำไว้ตลอดเวลา แต่ไม่มีใครเข้าใจจริงๆจึงดำเนินชีวิตโดยเอากรรมเก่าเป็นฐานของการกระทำกรรมใหม่ทุกวัน แทนที่กรรมเก่ามาให้ผลแล้วมันหมดแล้วก็จบ แต่คนเราไม่มีปัญญาธรรมของพระพุทธเจ้าจึงไปเก็บเอาผลของกรรมเก่าไปสร้างกรรมใหม่อยู่ตลอดชีวิตโดยที่ตัวเองไม่รู้อะไรเลย เหมาะสมแล้วที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า คนเราเกิดมาด้วยความไม่รู้หรืออวิชชา นี่คือการสร้างระบบการเวียนว่ายตายเกิดหาที่สิ้นสุดไม่ได้ให้กับตนเองด้วยความเต็มใจ
โฆษณา