-ถ้ายังจำรีวิว Mr.Morale and The Big Steppers ได้ ผมเขียนทิ้งท้ายหลังจากที่ตกผลึกหลังฟังอัลบั้มนั้นจบไว้ว่า “ผลงานต่อๆไปน่าจะทิ้งช่วงยาว แล้วกลับมาด้วยภาษาพิเศษ ประเด็นพิเศษที่ต้องตีความอีกชั้น เหนือกว่าภาษาสามัญไปแล้ว” กลับกลายเป็นว่า ผมทำนายผิดหมดทุกตรงเลย เป็นเซอร์ไพร์สอัลบั้มที่กลับมาด้วยภาษาที่ง่ายกว่านั้น โดยที่ไม่ต้องอาศัยการตีความหลายชั้นแบบสามอัลบั้มก่อนด้วยซ้ำ ชิวล์สุด แถมย่อยง่ายเหลือเกิน
-การกลับมาโลดแล่นด้วยเหตุผลแห่งการลงสนาม beef กับ Drake จนเป็นที่ฮือฮาด้วย 1 verse ในเพลง Like That ของ Future & Metro Boomin’ ตามด้วยเพลงดิส 4 ซิงเกิ้ล (euphoria, 6:16 in LA, Meet The Grahams และ Not Like Us) แน่นอนครับว่าศึก beef รอบนี้ในสายตาของชาวฮิปฮอปดูเหมือนจะได้ผู้ชนะตั้งแต่ยังไม่เริ่มศึกเลยด้วยซ้ำ
-รูปโฉมใน era ใหม่นี้ช่างเรียบง่ายและ flex มากที่สุดของ Kendrick แล้วล่ะครับ ปกอัลบั้มที่ผ่านมาเน้นทางศิลป์ซะเยอะ แม้กระทั่ง good kid m.A.A.d city ก็มีรถแวนสีดำ ซึ่งอัลบั้มนั้นเน้นบริบทเล่าเรื่องมากกว่าอวดมั่งอวดมี สำหรับ GNX แทบจะไม่มีอะไรซับซ้อนไปมากกว่าการจงใจ pay homage ถึง west coast hip hop ที่เอารถแต่งคลาสสิคมาโยกๆในเอ็มวีกันอย่างคุ้นตา ถ้านึกออกอีกไวๆก็ชวนให้นึกถึงปกอัลบั้ม Vol.2…Hard Knock Life ของ Jay-Z และ The Carter II ของ Lil Wayne ที่ถ่ายคู่กับรถหรูคันดำเช่นกัน
แน่นอนว่า wacced out murals ไม่ได้พูดถึงแค่งานศิลปะจากแฟนเพลงที่ถูกแปดเปื้อนอย่างเดียว นี่คือเพลงที่ยาวสุดในอัลบั้มที่ร่ายยาวความในใจต่อประเด็นปัญหาที่ผ่านมา มีประเด็นให้พูดถึงเยอะเลยครับ สัญญาว่าจะขยายความอะไรยาวๆแค่เพลงนี้เพลงเดียว
Snoop posted "Taylor Made," I prayed it was the edibles
I couldn't believe it, it was only right for me to let it go
wacced out murals (Verse 2)
ศึก beef กับ Drake สุดแสนจะฮือฮาอันมาจากเพลงเจ้าปัญหา Taylor Made Freestyle ซึ่งดันไปโดน Snoop Dogg เต็มๆ แทนที่จะต่อต้านหรือออกมาด่าที่ตัวเองและเพื่อนผู้ล่วงลับโดนปลอมแปลง กลับกลายเป็นมาทำคลิป reaction ผ่าน IG ทันที่อัลบั้มนี้ถูกปล่อยออกไป ป๋า Snoop ก็ทำเนียนด้วยการช่วยโปรโมทอัลบั้มให้ อีกทั้งยังแซวตัวเองว่า It was the edibles เป็นเพราะเมากัญชาจริงๆไอ้น้องชาย
Used to bump Tha Carter III, I held my Rollie chain proud
Irony, I think my hard work let Lil Wayne down
wacced out murals (Verse 2)
นอกจากประเด็นความคับข้องใจที่มีต่อรุ่นพี่ Snoop Dogg แล้ว อย่างที่ผมหยอดไว้ข้างต้น ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ ประเด็นการได้รับเลือกให้แสดงสดในช่วงพักครึ่ง Super Bowl ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดของใครหลายคน และเป็นครั้งที่สองถัดจากปี 2022 ที่ขึ้นเวทีร่วมกับ Dr.Dre, Snoop Dogg, Eminem, Mary J. Blige, 50 Cent
แต่การที่ Kendrick ได้รับคัดเลือกในครั้งนี้กลับมีแค่ Nas เท่านั้นที่ร่วมแสดงความยินดี และก็มีใครบางคนไม่พอใจ ซึ่งก็คือ Lil Wayne แรปเปอร์เจ้าถิ่น New Orleans สถานที่จัดศึกเกมส์ Super Bowl ในปี 2025 นั่นเอง
ความคับข้องใจก็ยังคงมีต่อเนื่องกับแรปเปอร์รุ่นพี่ที่ Kendrick นับถือเป็นอย่างมาก ขนาดยุคของ The Carter III ที่รุ่งเรืองจนถึงขีดสุดจนกลายเป็นอัลบั้มฮิปฮอปสุดคลาสสิคที่แฟนเพลงฮิปฮอปทุกนายต้องฟัง Kendrick ก็ไม่พลาดที่จะฟังวนไปจนแทบจะ swag อวดเพื่อนไปทั่วเลยด้วยซ้ำ
ด้วยความที่ Kendrick สามารถไต่เต้าเป็นศิลปินฮิปฮอปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนี้ได้ จากเด็กที่เห่อ The Carter III ในวันนั้น กลับทำให้รุ่นพี่ที่มาก่อนไม่พอใจยิ่ง จนเป็นประเด็นวิวาทะที่อาจจะเปิดศึก diss ในอนาคต สยบข่าวลือที่ Kendrick จะเชื้อเชิญ Lil Wayne ขึ้นเวทีร่วมด้วย เมื่อยังไม่ถึงวันแสดงก็ยังต้องติดตามตอนต่อไปว่าจะเป็นเช่นไร
Okay, fuck your hip-hop, I watched the party just die
wacced out murals (Verse 3)
อีกหนึ่งประเด็นที่อยากจะเก็บตก หากใครยังจำกันได้ เพลงปริศนาที่ Kendrick โพสต์ลง Instagram (ชื่อเพลงโดยนัย The Day The Party Died) ที่ดูเหมือนส่งสาสน์บางอย่างที่ไม่ได้แค่ประกาศชัยชนะในการปิดยุคสมัยของ Drake โดยตรง แต่ยังวิพากษ์วิจารณ์อุตสาหกรรมฮิปฮอป รวมไปถึงอิทธิพลของ influencer ที่อิงแอบกับฮิปฮอปจนได้ดิบได้ดีและเป็นส่วนนึงที่ทำให้อุตสาหกรรมเพลงถูกขับเคลื่อนด้วยพลังงานที่ไม่สร้างสรรค์เท่าที่ควร
หาก The Day The Party Died คือการเฝ้ามองสิ่งผิดประหลาดในอุตสาหกรรมฮิปฮอปกำลังตายอย่างช้าๆ overall ของ wacced out murals ยังคงเชื่อมโยงกับเพลงนั้น โดยการกลับมาคัดกรองสิ่งที่ผิดประหลาดออกไปโดยที่ไม่ประนีประนอมต่อชื่อเสียงที่สั่งสมมาของใครบางคน ตราบใดที่มีคนประสบความสำเร็จจากอุตสาหกรรมนี้ อย่าเรียกตัวเองว่า God หรือ GOAT เลย หากวงการนี้ไม่มีกู มันก็คงไม่มีตำนานบทต่อไปอย่างแน่นอน
-squabble up ซิงเกิ้ลแรกที่มีท่อนอินโทรเดียวกับที่เอ็มวี Not Like Us เคยเรียกน้ำย่อยก่อนหน้านี้ เปิดโหมดคารวะ West Coast hiphop ด้วยท่วงท่า G-Funk ให้ได้มีชีวิตชีวาในฮิปฮอปกระแสหลักอีกครั้ง ตรงตัวตามชื่อเพลงอันเป็นศัพท์แสลงของชาว L.A. ที่แปลว่า เต้นล้อมวง หรือ ประจันหน้า แล้วแต่จะตีความ
-tv off หนึ่งเพลงสนุกที่โปรดิวซ์โดย Mustard ที่ยังคงทิ้งกลิ่นอาย Not Like Us และการตะโกน Mustaaaaaard อันเป็น producer tag พิเศษที่ Kendrick อยากจะมอบให้ ซึ่งท่อนนี้เองก็ถูกเอาไปแซวเป็นมีมตั้งแต่วันแรกที่ได้ปล่อยอัลบั้ม
เป็นเพลงสนุกที่ซ่อนด้วยอุดมการณ์แห่งการลุกขึ้นมาเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง จงออกไปยืนบนถนนกับแนวร่วม อิสรภาพและการปฏิวัติไม่ได้มาเคาะที่ประตูบ้านโดยที่ไม่ทำอะไรเลยและยังอยู่บ้านดูแต่ทีวีที่มีแต่สื่อของพวกคนขาวอยู่ ซึ่งเป็นการตอกย้ำสาสน์ The Revolution Will Not Be Televised เพลงประท้วงเพื่อพี่น้องชาวแอฟริกันของ Gil Scott-Heron ทั้งนี้การที่ Kendrick กำลังจะแสดงโชว์พักครึ่ง Super Bowl ในปีหน้าก็แสดงให้เห็นถึงการที่คนดำอย่างเขาเริ่มมีบทบาทในสื่อโทรทัศน์เหนือกว่าคนขาวได้อย่างเต็มภาคภูมิ
-luther โหมดฮิปฮอปอาร์แอนด์บีสุดคลีน ไม่ติด explicit แบบนานๆครั้งจะมีที SZA มาร่วมงานในรอบหลายปีถัดจาก All The Stars เคมีของทั้งคู่ยังคงดีงามและเป็นเหตุผลอันเหมาะเหม็งที่จะออกทัวร์ร่วมกัน ชื่อเพลงยังคงคารวะต่อ Luther Vandross เจ้าของเพลง If This World Were Mine ที่นำมาแซมเปิ้ลในเพลงนี้อีกที ใจความของ luther จึงเป็นการจับมือร่วมกันสร้างสัมพันธ์ที่สวยงามและการเปลี่ยนแปลงหล่อเลี้ยงโลกคอนกรีตแห่งนี้
-man at the garden กลับเข้าสู่โหมดจริงจังอย่างไม่ประนีประนอมต่อความทะยานอยากที่ยังคงเคลมต่อพระเจ้าด้วยการ repeat ประโยค I deserve it all ในเกือบทุกบาร์ พร้อมทั้งสาธยายว่า ทำไมเขาควรได้รับคัดเลือกจากพระเจ้าให้สามารถเข้า “สวน” หรือ “สวรรค์” ตามพระคัมภีร์นั้นได้
อีกทั้งยังทิ้งบอมบ์ต่อบทสนทนา ใครคือ GOAT ? ด้วยความแดกดันที่ว่า อะไรที่ทำให้พวกมึงทั้งหลายมั่นอกมั่นใจว่าควรค่าแก่การเป็น GOAT มากขนาดนั้น ในเมื่อกูนั้นสมควรได้ทุกสิ่งอย่างอยู่แล้วเว้ย โดยเพลงนี้ก็ยังคารวะความเป็น old school ด้วยการนำเพลง One Mic ของ Nas (คนเดียวกับที่แสดงความยินดีที่ Kendrick ได้แสดง Super Bowl) มาเป็นแซมเปิ้ลในเพลงนี้ด้วย
Que reflejan tu mirada
La noche, tú y yo
That reflects your gaze
The night, you and I
ที่สะท้อนแววตาของเธอ คืนนั้นเธอและฉัน
reincarnated (Intro)
-นอกจากการเคลมว่า เขาคือผู้ชายที่ควรอยู่ใน “สวน” ตามที่เขาสมควรจะได้แล้ว ถึงเวลาสื่อสารกับพระเจ้า ในเพลง reincarnated อันเป็นเพลงที่มีความสำคัญต่ออัลบั้มนี้ในแง่ของตีมและแก่นอุดมการณ์ที่อยาก represent ชัดเจนตั้งแต่การใช้เพลง Made N****z ของ 2Pac มาเป็นแซมเปิ้ล และการใช้น้ำเสียงแร็ปที่ดุดันชวนระลึกถึงไอดอลผู้ล่วงลับยิ่งทำให้ความเป็น west coast เกิดความเลือดข้นยิ่งขึ้น อีกนัยนึงคงหนีไม่พ้น โชว์การคารวะที่ถูกที่ควรเป็นการตบหน้า Drake ที่ใช้ AI ปลุกผี 2Pac อย่างเห็นได้ชัด
สอง Verse แรกจะเป็นการเล่าเรื่องของตำนานผู้ล่วงลับ 2 ท่าน เริ่มจากการเล่าเรื่องของ John Lee Hooker นักร้องและมือกีตาร์เพลง Blues ที่ต้องจากบ้านตั้งแต่ยังวัยรุ่นจนกลายเป็นศิลปินที่มีความมั่งคั่งมหาศาลจากการที่เพลงของเขาถูกนำไปใช้โฆษณามากมาย เงินทองหลั่งไหลเข้ามาใช้ไม่หมดมือ ส่วน verse ถัดมาก็บอกเล่าชีวิตของ Billie Holiday นักร้องสาวในตำนานที่มีชีวิตมืดมนและมีจุดจบน่าเศร้าแห่งการตกหลุมพรางยาเสพติดจนเสียชีวิตด้วยวัยเพียง 44 ปี
-dodger blue ที่สุมแขกรับเชิญไว้เยอะมากๆ มาร่วมขับขานอย่างละนิดอย่างละหน่อยในท่วงท่า vibrant อาทิเช่น Roddy Ricch, Sam Dew, Ink, Wallie The Sensei และ Siete ร่วมพรรณนาถึงเพื่อนบ้านแถบ L.A สุดแช่มชื่น ไม่ได้จักสำคัญมากนัก
โดย heart pt.6 เป็นการล้างหู The Heart Part 6 ของ Drake ที่แสนเหนื่อยหน่ายและมีท่าที “กูยกธงขาวก็ได้ค่ะ” ด้วยท่วงทำนองสุดงดงามอันมาจากแซมเปิ้ลเพลง Use Your Heart ของ SWV ที่โปรดิวซ์โดย Pharrell Williams และ Chad Hugo ในนามของ The Neptunes แต่พอมาอยู่ในเพลง rap mode แบบนี้กลับทำให้เพลงฮิตสุดคลาสสิคถูกเอมาปรุงใหม่ด้วยบีทที่แน่นเปรี๊ยะกว่าเดิม
และเป็นเพลงซีรี่ย์ Heart ที่ติดหูเร็วที่สุดด้วยประโยชน์ของแซมเปิ้ล และเข้าใจง่ายที่สุดกับการพรรณนาถึงค่ายเก่า TDE ที่ตัวเองจากมา การได้เจอกับมิตรสหาย Black Hippy
gloria ในภาษาสเปนยังแปลว่า ชัยชนะ (Glory) ที่บ่งบอกถึงการกำชัยเหนือกว่าคนอื่นๆ (โดยเฉพาะ Drake) จากความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับฮิปฮอปอย่างสม่ำเสมอ จะว่าไป การพรรณนาการผูกปิ่นโตระหว่างตัวศิลปินกับวงการฮิปฮอปก็ถูกศิลปินรุ่นพี่พรรณนามาแล้วตั้งหลายเพลง ไม่ว่าจะเป็น I Used To Love H.E.R ของ Common ที่เปรียบเปรยฮิปฮอปเป็นนายหญิงสูงส่งท่านนึง และ I Gave You Power ของ Nas ซึ่งจะมีอยู่ท่อนนึงของ SZA ที่ลั่นวาจารบเร้าต่อบทสนทนาของ Kendrick ด้วยประโยคอันเป็นชื่อเพลงของ Nas อย่างโต้งๆแบบตะโกนด้วย
-หลังจากที่ชนะศึกรอบแรกกับ Drake อย่างเป็นเอกฉันท์ด้วยการทำผลงานแบบตีแตกทุกกระแสเพลงและสังคมจนเป็นส่วนหนึ่งของ pop culture โดยไม่ต้องสงสัย Kendrick Lamar ในวันนี้มีความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมยิ่งกว่าใคร การเดินเกมส์กลยุทธ์ปล่อยผลงานแบบเซอร์ไพร์ส ไม่มีการบอกกล่าวใดๆทั้งสิ้น และยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง ช่างเป็นการเดินหมากเกมส์ที่หลักแหลม รู้กระแสลม Not Like Us ที่หลายคนยังคงสนุกอยู่ร่ำไป ละทิ้งการยึดความส่วนตัวเป็นศูนย์กลางไว้ก่อน ตัดสินใจใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย runtime ที่รวบรัด ไม่ยืดยาว
ต่อให้ไม่เลิศเลอตามบาร์มาตรฐานที่เคยตั้งไว้สูง ตั้งแต่ GKMC จนถึง DAMN. แต่ก็ไม่ฉาบฉวยเกินกว่าจะปล่อยผ่านไปได้ ทุก movement ของเขาคนนี้แม่งสำคัญจริงๆ
“How To Be More Like Kendrick for Dummies” คือชื่อหนังสือฮาวทูที่เป็น mockup ในเอ็มวี squabble up ที่อยากจะยืมมาใช้เพื่อนิยามการกลับมาในครั้งนี้ด้วยการเสี้ยมสอน “ทำให้เด็กมันดู” ที่เป็นรูปธรรมที่สุด มีเป้าประสงค์ที่มากกว่า diss แล้วหายไปนาน แต่เป็นการพยายามอย่างยิ่งยวดในการส่งสาส์นถึงวงการเพลงที่ต้องถูกผลักดันไปสู่การขบคิดในหลายเรื่องๆ ไม่ใช่ความบันเทิงที่ยึดติดกับวัตถุนิยมเหมือนๆกันหมด
Just walk that man down, that’ll do everyone a solid
It’s love, but tough love sometimes gotta result in violence
The Day The Party Died - Kendrick Lamar
ประโยคข้างต้นจากเพลงปริศนา The Day The Party Died น่าจะสรุปเป้าประสงค์ของ rap beef และการกลับมาด้วย GNX อีกนัยหนึ่งด้วยแง่ที่ว่า ความรักที่มีต่อวงการฮิปฮอปในนิยามของ Kendrick คงไปไกลกว่าการสนับสนุน แต่เป็นการให้ยาแรงอันแสนหยาบคายโดยที่ไม่ต้องเกรงใจอีกต่อไป ยากมากที่ rap beef จะจบศึกได้ในเร็ววัน เพราะฝ่ายนั้นก็เดินเกมส์ฟ้องร้องลามปามไปถึงค่ายเพลงต้นสังกัดแล้ว แฟนเพลงที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายชัดเจน ความโหดร้ายที่ไม่น่าจะตีกันแบบ physical แต่เป็นการหักหน้ากันเพื่อชิงชัยการเป็นตัวจริงในสายตาสาธารณะชน