14 ธ.ค. เวลา 06:48 • ศิลปะ & ออกแบบ
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

Osacar and The Factory สายพานสานฝัน

เรากลัว...และบางครั้งก็แค่ขี้เกียจที่จะมีปัญหา ไม่อยากทำอะไรนอกเหนือจากที่ระบบมีให้ทำ ตัดสินกันที่คะแนนสุดท้าย โชคดีก็ได้กลุ่มที่ทำให้ภาระงานเราน้อยลง โชคร้ายก็แค่ทำ ๆ ให้เสร็จไป เราไม่ได้มองคนรอบข้างอย่างลึกซึ้ง ไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่เขาผ่านมาจนเจอ หรือบางทีก็แค่ไม่ได้เปิดใจและสร้างพื้นที่ให้พวกเขาได้พูดคุยกับเราอย่างจริงจัง
พวกเราเรียนละคร ฝึกฝนการทำละคร จนพบเจอว่า พวกเราอาจจะไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง เพื่อสุขภาพและความสุขอย่างแท้จริง  แน่นอนว่าการทำงานศิลปะเป็นอาชีพในประเทศที่คนจำนวนมากไม่ได้อยู่ในฐานะและมีเวลามีมากพอจะให้ค่ากับศิลปะ คนทำงานศิลปะจึงจำเป็นต้องสู้เพื่อฝ่าฟันเอาตัวเองที่เป็นศิลปินขึ้นไปอยู่ในจุดที่เลี้ยงชีพได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เรามองข้ามไป เรามักมองเห็นแต่ตัวเองจนลืมไปว่าเราทิ้งใครหลายคนไว้ เราเริ่มตัดทอนศิลปะที่ทำด้วยตัวคนไม่เดียวไม่ได้ออกไปด้วยเหตุผลง่าย ๆ คือทำคนเดียวมันเร็วกว่า
ทั้งที่มันคืองานที่มีค่าและน่าค้นหามากเพียงและจะไม่มีวันสำเร็จด้วยตัวคนเดียว จนตัวเองเผลอไปอยู่ในจุดที่เป็นม้าแข่งมีเป้าหมายเพียงวิ่งให้เร็วโดยไม่มองอะไรหวังให้ถึงเส้นสีแดงที่พาดระหว่างเสาสองต้นตอนไหนก็ไม่รู้
จนสุดท้ายกระบวนการที่ช้าที่สุดอาจจะเป็นวิธีการที่ทรงพลังมาก การรอที่ก้าวไปพร้อม ๆ กัน แม้จะช้ามากเพียงใดทว่าพวกเราก้าวด้วยเท้าที่หนักขึ้นพร้อม ๆ กัน มากขึ้นและดังขึ้น งดงามไร้ที่ติ
เราเริ่มตัดทอนศิลปะที่ทำด้วยตัวคนไม่เดียวไม่ได้ออกไปด้วยเหตุผลง่าย ๆ คือทำคนเดียวมันเร็วกว่า ทั้งที่มันคืองานที่มีค่าและน่าค้นหามากเพียงและจะไม่มีวันสำเร็จด้วยตัวคนเดียว จนตัวเองเผลอไปอยู่ในจุดที่เป็นม้ามีเป้าหมายเพื่อเอาชนะศิลปินคนอื่นตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
โลกยังกว้างใหญ่เสมอ มีหลายอย่างที่เรายังไม่เผชิญ ไม่ว่าจะมีชีวิตต่อไปอีกนานเท่าไร ก็จะยังมีประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้เจออีกมาก อย่างหนึ่งที่ช่วยให้เราได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของเรื่องราวนั้น คือการฟังคนอื่นเล่า ไม่เคยรู้ว่าระบบของการศึกษาที่เราเรียนรู้สร้างความกดดัน ให้กับเพื่อนมากแค่ไหน ยิ่งฟังยิ่งเห็นความจริงใจของเขาผ่านสายตาและน้ำเสียง ทำให้เราเห็นถึงการต่อสู้ ที่เราเองยังไม่กล้าจะกำหมัดลุกขึ้นยืน
วันหนึ่งที่เรียนละครจบไป เราจะมีอนาคตอย่างไรยังตอบไม่ได้เลย เสียงจากผู้ชมที่เรียนสาขาอื่นยังมองไม่เห็นอนาคตของตัวเองเช่นกัน ตลาดแรงงานกำลังมองหาอะไรอยู่กันแน่ เราแค่นึกเสียดายที่การศึกษาผลิตบุคลลากรที่มีศักยภาพมากในเส้นทางสายอาชีพนั้น แต่พวกเรากลับต้องมีสกิลที่มากมายเพราะเราอาจจะจบมาทำงานไม่ตรงสาย เราจินตนาการถึงชีวิตประจำวันในการทำงานที่สงบออกยากมาก ๆ ชีวิตที่มีเวลาพอสำหรับยามว่างและครอบครัว ทุกวันนี้เราต่างมองหางานที่จะตอบว่าเรารวยได้อย่างไร ยิ่งเร็วยิ่งดี
ตัวละคร ใน Oscar and The Factory ต่างมีฝัน และต่างก็เผชิญกับการสูญเสียฝันเหล่านั้น พวกเขาคงได้แต่พร่ำบอกตัวเองว่าเดี๋ยวเวลาที่ตนจะผลิบานจะมาถึงเอง ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่ต่อสู้แต่เป็นคงเป็นเพียงความหวังเดียวให้พวกเขามีชีวิตต่อไป ในโลกที่การพักผ่อนและค้นหาตัวเองมีเวลาน้อยกว่าไปว่าร้ายละทับถมผู้อื่น
เราได้เรียนรู้มากมายในเรื่องของชีวิตและการมีเพื่อน เมื่อปัญหาของเราได้รับการดูแลและแบกรับไปพร้อมกับกลุ่มคนที่พร้อมกับพยุงไปด้วยกันนั้น ทำให้เรารู้บางเบาขึ้นมากแค่ไหน เราเองก็เหนื่อยหน่ายกับการเรียนรู้วิธีการทำงานที่เดิม ในโรงละครที่ถูกใช้ซ้ำแล้วซ้ำเหล่าแต่เสียงไม่เคยกระจายออกไปไกลจากประตูสีดำหนา ๆ บานนั้น เราดีใจที่ทุกคนไม่ละทิ้งอุดมการณ์ที่จะนำละคร นำงานศิลปะออกมาอยู่ในที่โล่งแจ้ง ที่ ๆ ไม่มีกรอบทึบ ๆ มาบดบัง ให้ผู้ชม ให้พวกเขาได้เห็นความจริงใจที่พวกเราจะมอบให้
ถูกปรับโฉมให้ทำงานในสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าเป็นภาพลักษณ์ที่ดี พวกเราไม่กลัวจะที่จะถูกมองว่าทำอะไรที่โง่และบ้า พวกเราแค่ผิดหวังที่ถูกคนที่ควรเคารพกางขาพร้อมเหยียบ ในวินาที่ที่พวกเราล้ม
อย่าทำแบบนั้นกันเลย เส้นชัยไม่ใช่สิ่งที่ใครคนหนึ่งจะก้าวผ่านไปแค่คนเดียวแล้วการแข่งขันจะจบลง ไม่ว่าช้าหรือเร็วทุกคนจะก้าวข้ามเส้นนั้นไป และเมื่อถึงตอนนั้นเราเชื่อว่าพวกเราทุกคนชนะแล้ว
Oscar and The Factory  เป็นละครเวทีที่เราและเพื่อน ๆ ขัดเกลามันออกมา ผ่านทั้งปัญหาและอุปสรรคเพื่อถ่ายทอดงานศิลปะที่งดงาม นอกกรอบ ออกจากระบบ เรียกได้ว่าไม่สนใจแล้วว่าคนข้างในจะมองพวกเราอย่างไร ตราบใดที่พวกเรามองเห็นกันและกันแค่นั้นคงเพียงพอให้เรากล้าเอาความกลัวมาแผ่ให้คนอื่น ๆ ได้เห็นอีก ความเปราะบางที่ก่อตัวเป็นแผ่นหนาจะไม่มีวันถูกทำลายลงง่าย ๆ แล้วสักวัน จะหวังว่าความกลัวของพวกเราจะเปลี่ยนแปลง ไม่ให้คนอื่นได้มาพบเจอความสิ้นหวังที่พวกเราผ่านมันมา
บล็อกนี้คือบล็อกสุดท้ายของปี...ขอบคุณมากจริง ๆ สวัสดีปีใหม่ครับ
โฆษณา