5 ชั่วโมงที่แล้ว • ปรัชญา

พระวิทยา กิจฺจวิชฺโช

๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๗ เมื่อวานไปวางศิลาฤกษ์สร้างอาคารผู้ป่วยในร่วมกับมูลนิธิดวงแก้ว เพื่อมอบให้กับโรงพยาบาลบึงนาราง อ.บึงนาราง จ.พิจิตร โดย หมอปิโยรส นิมนต์พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม เป็นประธาน ก็มีครูบาอาจารย์ไปหลายรูป ระดับ ๔๐ พรรษาขึ้น
ตอนเช้าก็มีบิณฑบาต ฉันเช้า พอเสร็จภัตกิจก็เจริญพระพุทธมนต์ ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ มีตอกไม้มงคล ประดับเพชรพลอย โปรยดอกไม้ ญาติโยมก็ทำกันไป ก็เพื่อเป็นกิริยาแห่งธรรมความเป็นสิริมงคลให้ปรากฏเป็นสักขีพยานทางตา ก็ไม่ว่ากัน
ถ้าจะเอาแต่นามธรรม ไม่มีกิริยาเป็นรูปธรรมให้เห็นเสียเลย คนก็ไม่รู้จักว่าจะต้องทำอะไร ยังไง ดังนั้น พิธีกรรมทั้งหลายก็จำเป็นต้องมีเคียงคู่กันไป จะเอาแต่นามธรรมไม่ได้ แต่ระวัง! ให้ทำด้วยเหตุผล เป็นไปเพื่อหนุนส่งความดับทุกข์ อย่าทำด้วยความงมงายเท่านั้น
เพราะบุญย่อมเกิดขึ้นที่ใจ ใคร ๆ ก็มองไม่เห็น แต่ผู้ทำบุญย่อมต้องรู้จักบุญได้ด้วยตนเอง ผู้ไม่ทำบุญก็ไม่มีวันจะได้บุญ และไม่มีวันจะรู้จักบุญว่า บุญคืออะไร บุญอยู่ที่ไหน
แท้จริง บุญคือความสุข กุศลคือความฉลาด จึงเรียกรวมกันว่า บุญกุศล และมีอยู่ที่ใจ พบได้ที่ใจ แต่ต้องทำให้มีขึ้น มิใช่จะเกิดขึ้นเอง
บุญก็มีหลายระดับ กุศลก็มีหลายระดับ และมักจะต้องเคียงคู่กันไป
บุญในชั้นทาน ชั้นศีล ชั้นสมาธิ ชั้นปัญญา ใครทำก็รู้ว่า มีความสุขหยาบ ละอียด ประณีตสุขุม ไม่เท่ากัน สุขสูงสุดก็ต้องดับทุกข์ขาดจากใจ เป็นเอกันตบรมสุขอยู่ที่ใจ นั่นเอง
กุศลคือความฉลาด ก็มีไปตั้งแต่ความฉลาดในชั้นทาน ชั้นศีล ชั้นสมาธิ ชั้นปัญญา ก็มีหยาบ ละเอียดไม่เท่ากัน เป็นเหตุที่จะทำให้เกิดความฉลาดสูงสุดคือ มหาสติมหาปัญญา สามารถสังหารอวิชชาดับทุกข์ขาดกระเด็นจากใจ นั่นเอง
ดังนั้น ชื่อว่า บุญกุศล ใครอยากทำอย่างไหน ทำได้ ก็ทำไปเถอะ มันจะไหลรวมกันไปสู่แดนแห่งความดับทุกข์ คือพระนิพพาน
เมื่อถึงที่สุดมันจะเป็นของมันเอง เหมือนเราตักน้ำใ่สตุ่ม จงระวัง! อย่าให้ตุ่มมันรั่ว แล้วตั้งหน้าตั้งตาตักน้ำใส่เข้าไป จะทีละหยด ทีละขัน ทีละกาละมัง ก็ใส่เข้าไป พอมันเต็ม เดี๋ยวมันก็ล้นออกมาให้เห็นเอง
ทุกวันนี้ ปราชญ์จอมปลอมมันเยอะ ปราชญ์โซเชียลทั้งหลาย ออกมาสอนชาวบ้านผิด ๆ ถูก ๆ ปฏิปทาครูบาอาจารย์พาทำมา มันไม่เอากันแล้ว ออกมาเทศน์แข่งกัน ไม่ต้องมีใครมาอาราธนา ไม่ต้องฝึกตัวเอง ไม่ต้องสอนตัวเอง ไม่ต้องทำความเพียร ไม่ต้องสู้ทุกข์ สู้ลำบาก สอนแบบง่าย ๆ ไปนิพพานง่าย ๆ เลย
กลายเป็นตาบอดคลำช้าง ต่างคนต่างบอดจูงกัน แห่กันไปลงเหวเสียส่วนใหญ่ เอาบุญชั้นละเอียด ไปตำหนิบุญชั้นกลางบ้าง เอาบุญชั้นกลางไปตำหนิบุญชั้นหยาบบ้าง สติปัญญาก็สะเปะสะปะมั่วกันไปหมด
คนมีสติปัญญาก็จงเลือกเสพธรรมะกันเอาเอง ใครออกมาสอนธรรม ต่างก็อ้างว่า เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้ากันทั้งนั้น
ใช่สิ! ถ้าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีวันผิดหรอก แต่คนจำเอามาพูด ถ้าไม่มีธรรมของจริงอยู่ในใจ ก็มักจะจำมาผิด หรือไม่ก็เข้าใจผิด ตีความหมายผิด ก็เลยพูดผิด สอนผิด คนฟังก็หลงเชื่อพลอยทำให้เข้าใจผิด แล้วก็ทำผิดตาม ๆ กันไป
ก็ถือเสียว่า เป็นกรรมของสัตว์ ผู้ฉลาดก็ต้องฉลาดในการฟังธรรมด้วย ฟังแล้วก็คิดอ่านใคร่ครวญเสียก่อนว่า ใช่หรือไม่ใช่ ถ้าไม่แน่ใจหรือไม่เข้าใจ ก็ควรถามผู้รู้แท้เสียก่อน ถามเยอะ ๆ ถ้าเข้าใจแล้วก็จดจำนำไปปฏิบัติ
เมื่อปฏิบัติก็ต้องรู้ว่า ธรรมของพระพุทธเจ้าแท้ เมื่อไปประดิษฐานอยู่ในใจท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นต้องมีศีลมากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น มีปัญญามากขึ้นตามขั้นของธรรม กิเลสในใจคือ ความโลภ โกรธ หลง มันต้องน้อยลง ค่อย ๆ น้อยลงไปเรื่อย ๆ จนถึงหมดเกลี้ยงจากใจไปในที่สุด
ถ้าฟังธรรมแล้วจิตใจตนเองไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ศีลก็ไม่ดีขึ้น สมาธิก็ไม่ดีขึ้น ปัญญาก็ไม่ดีขึ้น มิหนำซ้ำ มีแต่ความเย่อหยิ่งจองหอง โลภโมโทสัน ตระหนี่ถี่เหนียว ขี้โม้ ขี้อวด คิดแต่จะตำหนิผู้อื่น ไม่ตำหนิตัวเอง ใครทำดีก็อิจฉาริษยาเขา ใครทำไม่ดีก็ไปด่าเขา นั่นแหละ คือธรรมของเก๊ ให้รู้เอาไว้
ดอยแสงธรรม_๒๕๖๗_๑๒
โฆษณา