วันนี้ เวลา 07:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ทำความรู้จัก "Green Finance" ยกระดับเกษตร – อาหารไทย สู่ความยั่งยืน

Green Finance หรือการเงินสีเขียว อีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการแก้ปัญหา Climate Change ในภาคเกษตรและอาหาร
นายกฤชนนท์ จินดาวงศ์ นักวิเคราะห์ และ นายปราโมทย์ วัฒนานุสาร นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า ปัจจุบันภาคเกษตรและอาหารไทยเป็นหนึ่งในกลุ่มที่เผชิญความเสี่ยงจากปัญหา Climate Change เนื่องจากภาคเกษตรและอาหารไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาจากกระบวนการผลิตเป็นจำนวนสูงถึง 26% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งประเทศ อีกทั้งยังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างในด้านผลิตภาพ ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้น้อยและถูกจัดเป็นกลุ่มเปราะบาง
Green Finance ยกระดับเกษตร – อาหารไทย สู่ความยั่งยืน
ในปัจจุบันมี Climate Technology หลากหลายที่พัฒนาให้สามารถรับมือกับปัญหาเหล่านี้ได้ แต่เรามองว่าอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการแก้ปัญหา Climate Change ในภาคเกษตร และผลักดันให้เกิดการปรับใช้ Climate Technology ได้อย่างเป็นรูปธรรมนั้น คือ การเงินสีเขียวเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน (Green Finance)
Green Finance คืออะไร?
Green Finance คือ การจัดสรรเงินทุนเพื่อวัตถุ-ประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งมีเป้าหมายช่วยส่งเสริมและพัฒนาสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น เช่น การจัดหาเงินทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้แก่ภาคส่วนต่างๆ การสนับสนุนการลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีสีเขียว รวมทั้งการจัดหาเงินทุนสำหรับเศรษฐกิจสีเขียวเพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
Green Finance ในภาคเกษตรเติบโตแค่ไหน?
Green Finance ในภาคเกษตรยังอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับ Sector อื่น Green Finance ในปี 2562/2563 ของธุรกิจเกษตรและอาหารทั่วโลก พบว่าอยู่ที่ 285,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นเพียง 4.3% ของมูลค่า Climate Finance ทั้งหมดที่อยู่ที่ 660,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ยิ่งไปกว่านั้นมูลค่า Climate Finance ของผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรและอาหารรายย่อยมีอยู่เพียง 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็น 0.8% ของมูลค่า Climate Finance ทั้งหมด
เช่นเดียวกับอัตราส่วนเม็ดเงินเพื่อการลงทุน Climate Finance ของภาคเกษตรและอาหาร ต่อปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคเกษตรและอาหาร ในปี 2562 พบว่ายังอยู่ในระดับต่ำที่เพียง 3.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคเกษตรและอาหารซึ่งอยู่ที่ 8,148 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า)
ซึ่งยังต่ำกว่าสัดส่วนมูลค่า Climate Finance ทั้งหมดทั่วโลกต่อปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกซึ่งอยู่ที่ 17.8 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกอยู่ที่ 37,040 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า)
ขณะที่งานวิจัยต่างประเทศ ชี้ว่า ความต้องการของ Climate Finance ในธุรกิจเกษตรและอาหาร อยู่ที่ราว 212,000 - 1,267,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี ในช่วงปี 2562-2573 หรือสูงถึง 7-44 เท่า เมื่อเทียบกับมูลค่าเงินลงทุนใน Climate Finance ของธุรกิจเกษตรและอาหาร ในปี 2562/63 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิด COVID-19 ซึ่งอยู่ที่ 28,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี ในปี 2564 ความต้องการของ Climate Finance ในภาคเกษตรและอาหารลดลงราว 12%YoY ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่มีการลงนามความตกลงปารีสในปี 2559 สาเหตุหลักมาจากผลกระทบของ COVID-19
Green Finance
มูลค่า Climate Finance ของธุรกิจเกษตรและอาหาร
คาดการณ์ความต้องการ Climate Finance ของธุรกิจเกษตรและอาหาร
ทำไม Green Finance จึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการแก้ปัญหา Climate Change ในภาคเกษตรและอาหาร?
1) ภาคเกษตรไทยมีความเปราะบางจากปัญหา Climate Risk โดยที่ผ่านมาภาคเกษตรนับว่าเป็น Sector ที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ชัดเจนกว่า Sector อื่น เนื่องจากมีสัดส่วนการใช้น้ำมากที่สุด เป็นสัดส่วนประมาณ 77% ของการใช้น้ำในแต่ละปีของไทย
ภาคเกษตรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อย ทำให้มีข้อจำกัดในการปรับตัวด้านการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากปัญหาในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน อีกทั้งพื้นที่เพาะปลูกของไทยอยู่นอกพื้นที่ชลประทานถึง 78% ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจากปัญหาขาดแคลนน้ำในการทำเกษตรกรรม
2) สถาบันการเงินในต่างประเทศและไทย รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ เริ่มตื่นตัวในเรื่อง Green Finance ในภาคเกษตรและอาหารมากขึ้น เช่น Rabo Bank ธนาคารผู้นำด้านเกษตรและอาหาร ได้มีโครงการความร่วมมือชื่อว่า กองทุน Climate Resilient Agribusiness for Tomorrow หรือ
CRAFT ที่มีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบอันเกิดจากปัญหาสภาพอากาศทั้งในแง่ของการสนับสนุนเงินทุนสินเชื่อสำหรับเกษตรกรเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน รวมถึงช่วยเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของสินค้าเกษตร เช่น ความร่วมมือระหว่าง Rabo bank และ DFCU Bank จากประเทศยูกันดาที่ได้มีการนำเสนอ Green Finance Solution ให้กับเกษตรกรในการปลูกทานตะวันเพื่อสกัดน้ำมันจำนวน 6,500 ราย เป็นต้น
สำหรับธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้มีการส่งเสริมและพัฒนานโยบายเพื่อสนับสนุนการลงทุนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ตัวอย่างโครงการ Green Finance ของไทย อาทิ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตถุงมือยางที่ใช้ในทางการแพทย์จากยางพารา ได้ออกหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลงทุนในโครงการเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น โครงการด้านพลังงานหมุนเวียน โครงการด้านการป้องกันและจัดการมลพิษ โครงการด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โครงการด้านการบริหารจัดการน้ำและน้ำเสียอย่างยั่งยืน และโครงการด้านการขนส่งที่สะอาด
นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ของไทยก็มีการออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อด้านเกษตรที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมแล้ว เช่น ธนาคารกรุงไทยที่เปิดตัวโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยลด PM 2.5 ในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย โดยมีวงเงินสินเชื่อรวม 4,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการตัดอ้อยสดแทนการเผาอ้อย ซึ่งจะช่วยลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 และส่งเสริมให้อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
ความต้องการใช้น้ำของไทย
ความต้องการใช้น้ำของไทย
ความท้าทายสำหรับการผลักดัน Green Finance ในภาคเกษตรและอาหารมีอะไรบ้าง?
แนวทางและข้อเสนอแนะ ในการผลักดัน Green Finance ในภาคเกษตรและอาหาร ประกอบด้วยอะไรบ้าง?
Government-ภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแลควรมีส่วนสำคัญในการผลักดัน Green Finance ยกตัวอย่าง สิงคโปร์ได้มีการจัดตั้งองค์การเงินตราแห่งประเทศสิงคโปร์ (Monetary Authority of Singapore: MAS) และหน่วยงานกำกับดูแลทาง
การเงิน ทำหน้าที่เป็นธนาคารกลางของสิงคโปร์ มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสถาบันการเงินและภาคเอกชนในการระดมทุนเพื่อสนับสนุนกิจกรรมการเงินสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ธนาคารกลางของเยอรมัน (Deutsche Bundesbank) ได้จัดทำ Data Hub จัดตั้งขึ้นในปี 2563 ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศอย่างโปร่งใสและเข้าถึงง่าย เพื่อรวบรวมเป็นฐานข้อมูลกลางด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงข้อมูลทางการเงินที่ยั่งยืนเพื่อตอบสนองต่อการนำไปใช้ออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินได้หลากหลาย
Reward-การสร้าง Incentive ในการ adoption สู่ Green Finance ยกตัวอย่างเช่น ภาครัฐของบราซิลได้จัดตั้งโครงการ Plano Safra ในปี 2566 เพื่อมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรและอาหาร โดยสนับสนุนวงเงินสินเชื่อ (Renovagro) ดอกเบี้ยต่ําที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล
สำหรับการจัดหาเงินทุน Green Finance มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรและปศุสัตว์ เช่นเดียวกับ ภาครัฐของอินโดนีเซียจัดตั้งโครงการอุดหนุน Green Finance เพื่อลดต้นทุนและผลักดันการเติบโตของ Green Finance โดยภาครัฐจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจ้างหน่วยงานภายนอกมาประเมินว่าหุ้นกู้นี้เข้าเกณฑ์ Green Finance หรือไม่
Educate-การสร้างองค์ความรู้ในเรื่อง Green Finance ยกตัวอย่างกรณีศึกษาในสิงค์โปร์ที่มีการผลักดันในเรื่องการสร้างการรับรู้ในเรื่องนี้ โดยมีการจัดตั้ง Singapore Green Finance Centre (SGFC) เพื่อให้ความรู้และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนที่ยั่งยืน เพื่อดึงดูดการลงทุนและพัฒนาเศรษฐกิจให้สอดรับกับการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ SGFC ยังมีการจัดการอบรม สัมมนา เพื่อเพิ่มองค์ความรู้เกี่ยวกับการเงินสีเขียวให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงสถาบัน

การศึกษาและธนาคารต่างๆ อีกด้วย
Engage-การสร้าง Commitment และเป้าหมายร่วมกัน โดยภาครัฐ หน่วยงานกำกับ หรือภาคการเงิน มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและสร้างเป้าหมายร่วมกันเพื่อมุ่งสู่ Green Finance เช่น ภาครัฐของอังกฤษได้ตั้งเป้าหมายสำหรับ Green Finance ที่มุ่งเน้นฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติในภาคเกษตรและอาหารให้มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านปอนด์ต่อปี ภายในปี 2573นอกจากนี้ HSBC
สนับสนุนการจัดหาเงินทุนและการลงทุนที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคาร์บอนต่ำมากขึ้น ซึ่งรวมไปถึงภาคเกษตรและอาหารด้วย และตั้งเป้าหมายในการสนับสนุนลูกค้าด้วยเงินทุนและการลงทุนระหว่าง 750,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2573
Network-สร้างความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนอย่างจริงจัง ตั้งแต่ภาครัฐสามารถกำหนดมาตรฐานกลางและดำเนินนโยบายได้ตรงจุดและสอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจต่างๆ ได้ และภาคธุรกิจสามารถปรับตัวและเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนและสามารถแข่งขันกับทั่วโลกได้อย่างทัดเทียม นอกจากนี้ ภาคการเงินมีความพร้อมในการจัดสรรผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ช่วยส่งเสริมการดำเนินการของภาคธุรกิจต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน ยกตัวอย่างเช่น
สหภาพยุโรปได้ประสานความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาโครงการพื้นฐานที่มีการลงทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับเศรษฐกิจสีเขียวในอนาคต ตามแนวทางของนโยบายการเงินที่ยั่งยืน นอกจากนี้ สหภาพยุโรปยังมุ่งหวังที่จะช่วยเหลือภาคธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยมีการจัดสรรงบประมาณ 17.5 พันล้านยูโรในกองทุน Just Transition Fund และการก่อตั้ง Climate pact
เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม ทั้งนี้ ภาคการเงินในสหภาพยุโรปก็ได้ให้การสนับสนุนแก่ธุรกิจที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการลงทุนในผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมถึงการระดมทุนผ่านการออกพันธบัตรและตราสารทุนอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการดำเนินธุรกิจ
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : https://www.pptvhd36.com/wealth/sustainability/224590
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา