17 ธ.ค. เวลา 01:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ทำไมต้องลงทุนระยะยาว?

หากคุณสนใจอยากจะลงทุน ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ใด หุ้น กองทุน
สิ่งเเรกเลยที่ต้องรู้จักคือ “ตลาด”
หลายครั้งที่เราฟังข่าว นักข่าวมักจะพูดกันบ่อยๆว่า วันนี้ตลาดขึ้น-ลง กี่จุด
หากจะให้ความหมายของคำว่า “ตลาด” สามารถให้ความหมายเเบบง่ายๆ ดังนี้
“ตลาด” ความหมายในการลงทุน โดยทั่วไปเเล้ว คือ ดัชนีตลาดหุ้น ซึ่งมีหลายดัชนีด้วยกัน
ดัชนีตลาดหุ้น เกิดจากการคำนวณหุ้นหลายๆตัว ที่มีในตลาด ซึ่งโดยทั่วไปเเล้ว มาจากหลายอุตสาหกรรม เช่น
ในสหรัฐอเมริกา มีดัชนี “สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส หรือ S&P 500” ซึ่งคำนวณจากหุ้นขนาดใหญ่ 500 ตัวแรก ในสหรัฐอเมริกา โดยแต่ละวัน เมื่อราคาหุ้น 500 ตัวนี้เปลี่ยนแปลง การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น เหล่านี้ จะถูกคำนวณหาค่าเฉลี่ย เพื่อเป็นตัวแทนของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
เช่นเดียวกัน ในไทยเราก็มี ตลาดหุ้นหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่เรียกว่า “SET Index”
ซึ่งดัชนีเหล่านี้ใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่ ว่าทำผลงานได้ดีหรือไม่?
อีกความหมายหนึ่ง ตลาด คือ ตลาดกลางในการเคลื่อนย้ายเงินทุน จากผู้ที่มีเงินส่วนเกิน (ผู้ลงทุนหรือผู้ออมเงิน ซึ่งก็คือพวกเรานี่เอง) ไปสู่ผู้ประกอบการที่ต้องการเงินทุนไปขยายธุรกิจ
ดังที่ วอเรน บัฟเฟตต์ ได้ให้ความหมายของคำว่า ตลาด ไว้ง่ายๆ ว่า
“ตลาดหุ้น คือ สถานที่เดียวที่คนขับรถ BMW ไปขอคำแนะนำจากคนนั่งรถไฟฟ้า”
ตลาดหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ แต่หลักการในการลงลงทุนไม่เคยเปลี่ยนแปลง
นั่นคือ “ซื้อธุรกิจที่ดีในราคาที่เหมาะสม และทำซ้ำๆจนกว่า เราจะรวย”
เเละก่อนที่คุณจะเริ่มต้นลงทุน เเต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี
ขอเเนะนำให้คุณเริ่มต้นจาก “รู้จักตัวเอง” ก่อน ว่าคุณเป็นนักลงทุนเเบบไหน
เพื่อที่คุณจะได้เลือกวิธีการลงทุนที่เหมาะกับตัวเอง เเละทำกำไรได้
หากคุณอยากจะประสบความสำเร็จในการลงทุน
คุณต้องเข้าใจก่อนว่า ไม่ว่าจะเลือกหุ้นของบริษัท ได้ดีเเค่ไหน
ก็ไม่มีทางที่จะตอบสนองความต้องการของนักลงทุนได้ครบทุกคน
เราทุกคนมีความเเตกต่างกัน ทุกคนมีความถนัดไม่เหมือนกัน มีนิสัยเเตกกต่างกัน
การลงทุนก็เช่นกัน การเป็นนักลงทุนก็มีวิธีการ ทางเลือก การตัดสินใจที่ต่างกัน
บางคนลงทุนเเล้ว อยากให้หุ้นขึ้นทันทีเลย
บางคนบอกว่า สามารถถือระยะยาวได้ เเต่วันหนึ่ง พอราคาขึ้นมา 2-3 บาท ก็รีบขายทันที
บางคนบอกว่า เป็นนักเก็งกำไร เเต่กลับถือหุ้นบางตัวมาหลายปีเเล้ว ยังขายออกไม่ได้เลยก็มี
ดังนั้น เพื่อประโยชน์สูงสุด สำหรับตัวคุณเอง ก่อนที่จะเริ่มลงทุน
คุณต้องทำความเข้าใจตัวเองก่อนว่า คุณเป็นนักลงทุนประเภทไหน
คุณจะได้ทำตัวได้ถูก เลือกหุ้นได้เหมาะกับตัวคุณเอง เพราะนักลงทุนเเต่ละประเภท เลือกหุ้นลงทุนไม่เหมือนกัน
เเละที่สำคัญ อย่าเชื่อนักวิเคราะห์มากเกินไป เพราะพวกเขาไม่ได้รู้หรอกนะ ว่าคุณเป็นนักลงทุน ประเภทไหน?
บางครั้งเขาบอกหุ้นเด็ดมา เเต่หุ้นนั้นเป็นหุ้นเเบบเก็งกำไร
เเต่คุณเป็นนักลงทุนระยะยาว พอซื้อตามเขา กลายเป็นว่าคุณขาดทุน ทำกำไรไม่ได้เลย
หรือถ้านักวิเคราะห์เขาบอกหุ้นลงทุนระยะยาวมา เเต่คุณเป็นนักเก็งกำไร ซื้อมาหลายวันเเล้ว ราคาหุ้นก็ไม่ขึ้นซักที ก็จะเริ่มบ่นว่า นักวิเคราะห์ไม่เก่ง ไม่เเม่นเอาซะเลย
หลังจากที่รู้จัก “ตลาด” เเล้ว อีกอย่างที่คุณต้องรู้จักคือ “นายตลาด”
เพราะนี่อาจเป็นหัวใจหลัก ข้อเดียวที่สำคัญที่สุดของการลงทุนเลยเลยก็ว่าได้
เมื่อเราลงทุนในตลาดหุ้น เราต้องจินตนาการว่า เรามีหุ้นส่วน ชื่อ “นายตลาด”
ในทุกๆวัน นายตลาดจะมาเเนะนำเเละเสนอขายธุรกิจของเขา
เเต่มีเรื่องหนึ่งที่คุณควรรู้ไว้นะ “นายตลาด คือ คนบ้า!”
ที่บอกว่า นายตลาดคือคนบ้า นั่นเป็นเพราะ นายตลาด มีอารมณ์ขึ้นๆลงๆเป็นอย่างมาก
บางวันตอนที่เขามาเสนอขายธุรกิจให้คุณ เขาจะรู้สึกเศร้ามาก เหมือนกับว่า เขารู้สึกเเย่จนอยากตายเลยล่ะ ในช่วงเวลาที่เขามีความรู้สึกเเบบนี้ เขาต้องการขายธุรกิจทิ้งไป เเละอยากขายให้เราในราคาต่ำ เเต่บางวันเขาก็อาจจะรู้สึกดี มองโลกในเเง่ดี เขาก็อาจจะเสนอขายธุรกิจให้คุณในราคาสูงก็เป็นได้
เเล้วเราจะซื้อธุรกิจที่เราเล็งไว้ หรือต้องการ ตามลิสที่มีในใจเรา ตอนไหนกันล่ะ?
เเน่นอน เราย่อมอยากซื้อธุรกิจที่ดี ในตอนที่ราคาถูก จริงไหม?
เเต่เราจะรู้ได้ไงล่ะ ว่าวันไหน นายตลาดจะอารมณ์ดี หรือเศร้า?
ขอบอกว่า ในระยะสั้น นายตลาด มักจะไม่มีเหตุผล เพราะนายตลาดมักจะตอบสนองกับข่าว เเละไม่ได้ให้ความสนใจ มูลค่าของธุรกิจเลย เเต่คุณรู้ไหมธุรกิจที่มีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มักจะทำให้มูลค่าส่วนของผู้ถือหุ้น รวมถึงความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น ในตอนนี้เเหละ นายตลาดถึงจะตระหนักถึงมูลค่าของธุรกิจ เเละจึงตั้งราคาสูงขึ้น
เเต่ข้อเสียคือ เราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ราคาจะสูงขึ้นเมื่อไหร่
วอเรน บัฟเฟตต์ จึงได้ บอกไว้ว่า “เราจะซื้อธุรกิจ โดยคิดว่า ตลาดหุ้นจะไม่เปิดอีก ในระยะเวลาจากนี้อีก 5 ปี”
ในช่วงระยะเวลา 5-10 ปี ตลาดจะตั้งราคาธุรกิจ ตามมูลค่าของธุรกิจที่เเท้จริง
ลองดู หุ้น PB เป็นตัวอย่าง ในปี 2560 นายตลาดได้เสนอโอกาส ให้เราซื้อธุรกิจในราคาที่ดี กำไรต่อหุ้น คือ 2.97 บาท เเละเสนอขายธุรกิจที่ 64.30 บาทต่อหุ้น
นั่นหมายความว่า เราซื้อที่ประมาณ 21.6 เท่าของกำไร ซึ่งคิดอัตราผลตอบเเทนได้ประมาณ 33% กำไรต่อหุ้นของ PB เติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยอัตราการเติบโตที่คาดการณ์ได้ประมาณ 20-25% คุณคิดว่ามันสมเหตุสมผลทางธุรกิจไหม? ที่จะซื้อธุรกิจที่ให้ผลตอบเเทนในราคา 33% เเละมีเเนวโน้มเติบโตที่ 20% ต่อปี
นี่อาจฟังดูเป็นข้อเสนอที่ดี เเต่ถ้า..ราคาหุ้นลดลงอย่างต่อเนื่องล่ะ?
จริงๆเเล้วเรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงเหมือนกัน คุณรู้ไหม โอกาสที่เราจะซื้อหุ้นได้ในราคาต่ำสุด เป็นไปได้ยากมากๆ เราจึงต้องเลือกซื้อหุ้น ที่มีความสมเหตุสมผลทางธุรกิจ ถ้าราคาหุ้นตกลงไป เราก็จะซื้อหุ้นเพิ่มเรื่อยๆ ถ้าเรามีเงินทุน หรือไม่เช่นนั้น เราก็ต้องรอให้นายตลาดรับรู้ถึงมูลค่าของธุรกิจ
ที่สำคัญ คุณรู้ไหม
“ในระยะสั้น ตลาดคือเครื่องลงคะเเนนเสียง เเต่ในระยะยาว ตลาด คือ เครื่องชั่งน้ำหนัก”
ในระยะสั้น ตลาด อาจตั้งราคาธุรกิจสูงเกินไป หรือต่ำเกินไป ขึ้นกับความรู้สึกของนักลงทุน ที่มีต่อธุรกิจนั้น ดังนั้น นายตลาดเลยสามารถออกเสียงให้ราคาขึ้นหรือลงได้
เเต่ท้ายที่สุดเเล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมูลค่าของธุรกิจ ราคาของธุรกิจ ที่จะถูกกำหนด โดยมูลค่าของธุรกิจในที่สุด
ดังตัวอย่างที่กล่าวไป ของ PB ในปี 2560 นายตลาดตั้งราคาหุ้นที่ 21.40 เท่าของกำไรเเทนที่จะเป็น 21.6 เท่าจะเห็นว่า หลายครั้งการตั้งราคาของนายตลาด ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย กับมูลค่าที่เเท้จริง ของธุรกิจ นายตลาดจึงเป็นหุ้นส่วนที่ดี เเต่เป็นที่ปรึกษาที่ไม่ได้เรื่อง คุณจงจำไว้ว่า นายตลาดมีหน้าที่รับใช้เรา ไม่ใช่คอยออกคำสั่งเรา
#vijourney #พัฒนาตัวเอง #สอนให้รู้ว่า #วางแผนการเงิน #วางแผนการลงทุน #ลงทุนหุ้น #หุ้นไทย #ลงทุนมือใหม่ #การเงินส่วนบุคคล #การเงิน #การเงินการลงทุน #ลงทุนในตัวเอง #ลงทุน #longervideos #เทรนวันนี้
สนใจสั่งซื้อ คู่มือกรองหุ้น 👇👇👇
อ่านข้อมูลเพิ่มเติม
สั่งซื้อได้ที่ 📲
โฆษณา