Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
VI Journey: ลงทุนเน้นคุณค่า
•
ติดตาม
เมื่อวาน เวลา 02:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
หุ้น BRI น่าลงทุนระยะยาวไหม?
การที่เราจะตรวจสอบดูว่าหุ้นตัวไหน น่าลงทุนในระยะยาว เราสามารถดูได้จากงบการเงิน หรือปัจจัยพื้นฐานของหุ้นตัวนั้น
โดยเราจะดูข้อมูลย้อนหลัง 5-10 ปี เพราะว่า ระยะเวลานี้ ข้อมูลจะสะท้อนข้อมูลว่าบริษัทนั้นเป็นอย่างไร ในช่วง10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมักจะผ่านมาทั้งวิกฤติเศรษฐกิจ เเละช่วงรุ่งเรืองของเศรษฐกิจมากครบเเล้ว
ปัจจัยพื้นฐานที่เราจะใช้ในการคัดกรองหุ้นดีๆ ได้แก่
1.เป็นบริษัทที่มีกำไรเติบโตสม่ำเสมอในระยะยาว เราดูจาก กำไรสุทธิต่อหุ้น(Earning per share)
ค่านี้บอกเราได้ว่า บริษัทนั้นสามารถทนเเรงกดดันต่อ ความผันผวนทางเศรษฐกิจได้ดีเเค่ไหน
โดยมีเกณฑ์ว่า ควรเพิ่มขึ้นตลอดทุกปี จะดีมาก รวมถึงรักษาระดับได้ดีอย่างสม่ำเสมอ
หรือบางทีเราก็อนุโลมได้ว่า ค่าไม่ต้องเพิ่มตลอดก็ได้เเต่ต้องไม่ผันผวนมากนัก เช่น ขาดทุน 2-3 ปี เเล้วกลับมาทำกำไรได้ดีเหมือนเดิม
2.เลือกบริษัทที่มีอำนาจในการต่อรองกับลูกค้าได้สูง โดยดูจาก อัตราส่วนกำไรขั้นต้น
อัตราส่วนนี้ บอกเราได้ว่าบริษัทสามารถปรับราคาขายสินค้าเเละบริการได้ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
โดยไม่กังวลว่าลูกค้าจะหายไปใช้สินค้าของที่อื่น รวมถึง การที่ถ้าลูกค้ากลับมาใช้สินค้าหรือบริการซ้ำเเล้วซ้ำอีก
เเสดงให้เห็นถึงความเเข็งเเกร่งของเเบรนด์นั้นๆ
เกณฑ์คัดเลือก คือ เลือกบริษัทที่มีอัตราส่วนนี้เพิ่มขึ้นตลอดทุกปีจะดีมาก เเละสามารถรักษาระดับได้อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงไม่ต้องเพิ่มตลอดก็ได้ เเต่ต้องไม่ผันผวนมาก เช่นขาดทุน 2-3 ปี เเล้วกลับมาทำกำไรได้เหมือนเดิม เเต่ถ้าบริษัทนั้นมีอัตราส่วนนี้ ถ้าลดลงเรื่อยๆ เเบบนี้ไม่ดี ถือว่าไม่มีความได้เปรียบทางธุรกิจ
3.เลือกบริษัทที่เป็นผู้นำในธุรกิจหรือเป็นบริษัทที่มีส่วนเเบ่งตลาดสูงกว่าบริษัทคู่เเข่ง
เราดูได้จาก อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการขายเเละการบริหารต่อรายได้
อัตราส่วนนี้ บอกเราได้ว่าบริษัทนั้นเป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจนั้นๆหรือไม่ การเป็นผู้นำจะทำให้มีความได้เปรียบคู่เเข่ง เช่น ได้บุคลากรมีคุณภาพ ใครๆก็อยากมาทำงานด้วยเเละไม่ต้องทุ่มงบโฆษณามากลูกค้าก็อยากมาใช้บริการ
เกณฑ์คัดเลือก คือ อัตราส่วนนี้ควรมีระดับต่ำต่อเนื่องทุกปี เเละลดลงเรื่อยๆในระยะยาว
4.เลือกบริษัทที่มีฐานะทางการเงินเเข็งเเกร่ง โดยดูจาก 3 อัตราส่วน ได้แก่ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน อัตรากำไรสุทธิ เเละ ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี,Interest Expenses to Earing before interest and taxes,EBIT
โดยคุณสามารถเลือกตรวจสอบเพียง 1 ข้อจาก 3 ข้อนี้ก็เพียงพอเเล้ว เเละเเนะนำให้คุณเลือกตรวจสอบข้อที่ 1 ก่อน หากตรวจสอบเเล้วต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยัน ก็สามารถตรวจสอบข้อ 2 เเละ 3 ภายหลังก็ได้
อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน เป็นอัตราส่วนที่บอกเราว่าบริษัทไหนที่มีฐานะทางการเงินที่เเข็งเเกร่งสามารถฟันฝ่าอุปสรรคได้ดี เเม้ยามที่ต้องเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจ โดยเราจะเลือก บริษัทที่มีมีหนี้สินน้อยๆ อัตราส่วนนี้ ตัวเลข ยิ่งต่ำยิ่งดี (<1) เเละยิ่งเข้าใกล้ 0 จะยิ่งดี
อัตรากำไรสุทธิ อัตราส่วนที่ผ่านมาดูดี อัตรากำไรสุทธิก็จะออกมาดูดีด้วย แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น บางครั้งอาจทำให้ เราตั้งข้อสังเกต อะไรได้หลายอย่างเหมือนกัน บริษัทที่มีอัตราส่วนนี้ สูงอย่างสม่ำเสมอ บ่งบอกถึงธรรมชาติของบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง หรืออาจอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันต่ำ เลือกลงทุนหุ้นของบริษัทที่มีอัตราส่วนนี้ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี,Interest Expenses to Earing before interest and taxes,EBIT อัตราส่วนนี้ ยิ่งต่ำยิ่งดี ยิ่งใกล้ 0 ยิ่งดี
5.เลือกบริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง ดูจาก อัตราส่วนผลตอบเเทนผู้ถือหุ้น (Return on Equity) : ROE
ความสำคัญของอัตราส่วนนี้คือ บอกเราได้ว่าบริษัทไหนมีความสามารถทำกำไรสูง หรือก็คือ เราก็จะได้รับผลตอบเเทนสูง ได้ทุนคืนเร็ว
เกณฑ์คัดเลือก คือ เราจะเลือกบริษัทที่มี ROE > 20% นี่ถือว่าดีมาก ที่สำคัญ ROE สูงอย่างเดียวไม่พอ ควรต้องเพิ่มขึ้นทุกปีด้วย จะถือว่าเป็นบริษัทที่ดีมากเลยทีเดียว
เเละเราจะไม่เลือกลงทุนในบริษัทที่มี ROE < 10% เพราะผลตอบเเทนไม่คุ้มค่า รวมถึงไม่ลงทุนใน บริษัทที่มี ROE ผันผวนมากๆ(ขึ้นๆลงๆตลอด) ด้วย
หรือดูจาก อัตราส่วน ROAก็ได้ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับ ROE เพียงแต่ส่วนหารเปลี่ยนไปเป็นสินทรัพย์ แทน ส่วนผู้ถือหุ้น
อัตราส่วนนี้ ยิ่งมากและยิ่งเพิ่มยิ่งดี แสดงให้เห็นว่า บริษัทไม่จำเป็นต้องลงทุนมาก มีสินทรัพย์เพียงน้อยนิด ก็สามารถสร้างกำไรได้มหาศาลเเล้ว
ข้อควรระวัง! ROA ยิ่งสูงยิ่งอันตราย เพราะ ROA สูงๆ จะเป็นการเปิดโอกาสให้คู่แข่งอยากเข้ามาทำธุรกิจด้วย เพราะลงทุนเพียงน้อยนิด เเละมีสินทรัพย์เพียงนิดหน่อยก็สามารถสร้างกำไรได้เเล้ว
6. เลือกบริษัทที่มีผู้บริหารมืออาชีพเเละมีธรรมาภิบาล การที่บริษัทไหนมีผู้บริหารที่ดี เเละเก่ง จะสามารถนำพาบริษัทให้เติบโตได้ดีในระยะยาว เพราะว่าสามารถไปดึงส่วนเเบ่งการตลาดจากคู่เเข่งมาได้
โดยเราจะเลือกบริษัทที่มีผลประกอบการย้อนหลัง ว่า ดีหรือไม่ รวมถึงเลือกบริษัทที่ไม่มีการเปลี่ยนผู้บริหารบ่อยๆ
7.เลือกบริษัทที่ลงทุนเฉพาะในธุรกิจที่เกี่ยวข้องเเละถนัด
เราจะมองหาบริษัทที่ขายสินค้าหรือบริการที่ไม่หลากหลายเกินไป เพราะง่ายต่อการบริหารจัดการ
ง่ายต่อการพัฒนาสินค้า ซึ่งนั่นจะส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรระยะยาวของบริษัท โดยเราจะเลือกบริษัทที่มีจุดโพกัสที่ชัดเจน ชัดเจนว่าทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร ไม่หลากหลายเกินไป
8.เลือกบริษัทที่ไม่พึงลูกค้ารายใหญ่รายเดียวในการสร้างรายได้
การที่บริษัทนั้น ไม่พึ่งพาลูกค้าเพียงไม่กี่ราย จะเกิดผลดีกับบริษัท เพราะถ้าหากลูกค้าเหล่านั้นเลิกใช้บริการเเล้ว ก็จะส่งผลกระทบร้ายเเรงต่อบริษัทได้ โดยเราจะเลี่ยงบริษัทที่พึ่งลูกค้าไม่กี่รายเพื่อสร้างรายได้ เพราะมีความเสี่ยงสูงที่หากลูกค้าเลิกใช้บริการ ซึ่งจะทำให้การดำเนินงานของบริษัทจะมีปัญหาได้รับผลกระทบสูงได้
#vijourney #พัฒนาตัวเอง #สอนให้รู้ว่า #วางแผนการเงิน #วางแผนการลงทุน #ลงทุนหุ้น #หุ้นไทย #ลงทุนมือใหม่ #การเงินส่วนบุคคล #การเงิน #การเงินการลงทุน #ลงทุนในตัวเอง #ลงทุน #longervideos #เทรนวันนี้ #BRI
สนใจสั่งซื้อ คู่มือกรองหุ้น 👇👇👇
อ่านข้อมูลเพิ่มเติม
https://openlink.co/vijourney
สั่งซื้อได้ที่ 📲
https://lin.ee/d0NXPT3
การลงทุน
ลงทุนหุ้น
หุ้น
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย