วันนี้ เวลา 06:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

สรรพสามิต จ่อเก็บภาษีคาร์บอน ภายในปีงบประมาณ 2568

กรมสรรพสามิตชูนโยบาย ESG ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวผ่านการเก็บภาษี จ่อเก็บภาษีคาร์บอนภายในปีงบประมาณ 2568
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวในงานสัมมนา “UNLOCKING ESG VALUE FOR BUSINESS SUCCESS” ระบุว่า กรมสรรพสามิตมุ่งเน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามแนวคิด ESG ด้วยกลไกภาษีสรรพสามิต ตามนโยบายของรัฐบาล โดยใช้มาตรการทางภาษีส่งเสริมศักยภาพสินค้าบริการ ESG อะไรที่ทำลายสิ่งแวดล้อมหรือสังคมจะเก็บภาษีสูงขึ้นกรมฯอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางการจัดเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) จากน้ำมัน โดยจะแทรกอยู่ในภาษีสรรพสามิตน้ำมันยืนยันว่าจะไม่ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบ หรือต้องจ่ายค่าน้ำมันเพิ่มขึ้น
ปั๊มน้ำมัน
อย่างเช่น ปัจจุบันประชาชนต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลในราคาน้ำมันอยู่แล้วที่ 6.44 บาท/ลิตร ภาษีคาร์บอนจะอยู่ในภาษีสรรพสามิตประมาณ 0.44 บาท แปลว่าประชาชนเสียค่าน้ำมันเท่าเดิม แต่ในนั้นจะมีภาษีสรรพสามิตอยู่ประมาณ 6 บาทและอีก 0.44 บาทเป็นภาษีคาร์บอน
โดยข้อเสนอของกรมในระยะแรกให้มีการจัดเก็บภาษีคาร์บอน อยู่ที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอน ซึ่งเป็นอัตราการจัดเก็บที่ใกล้เคียงกับประเทศสิงคโปร์ ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถบังคับใช้ในปีงบประมาณ 2568
Carbon Tax จะทำให้เกิดราคาคาร์บอน เป็นการสร้างรากฐานตลาดคาร์บอนให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ประชาชนจะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะภาษีคาร์บอนจะผู้อยู่กับภาษีสรรพสามิตน้ำมัน นายเอกนิติกล่าว
สำหรับมาตรการภาษีด้าน ESG ที่ผ่านมา อาทิ
-มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) เช่น มาตรการ EV3.0 และ 3.5 ซึ่งส่งผลให้ยอดขายรถ EV เติบโต 685% ทำให้ไทยมีอัตราการเติบโตของยอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าสูงเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรม EV และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องราว 80,000 ล้านบาท และมียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าสะสม 90,804 คัน
-มาตรการปกป้องสังคมเพื่อสุขภาวะที่ดี (Social) เช่น การจัดเก็บภาษีความหวาน
-มาตรการกำกับดูแลพื่อความโปร่งใสตรวจสอบได้ (Governance) เช่นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจดทะเบียน แจ้งราคา ยื่นแบบภาษี ชำระภาษี และคืนภาษี เพื่อให้มีความโปร่งใสตรวจสอบได้
อย่างไรก็ตาม นายเอกนิติ ยอมรับว่า ปัจจุบันกรมสรรพสามิตจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมายซึ่งตั้งไว้ที่ 598,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปีก่อน 25% แต่ข้อมูลตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 ถึงเดือนพฤษภาคม 2567 กรมฯจัดเก็บรายได้สูงกว่าปีก่อน 11% เพราะฉะนั้นกรมฯเก็บรายได้ได้เพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ถึงเป้าเนื่องจากมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นการช่วยเหลือประชาชน และมาตรการภาษีรถ EV 2%
ซึ่งเป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แต่ทั้งสองเป็นภาษีเป็นรายได้หลักของกรมฯ โดยภาษีน้ำมันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ของภาษีสรรพสามิตทั้งหมด ส่วนลดภาษีรถยนต์ประมาณ 20% รวมกันเป็น 60%
ส่วนมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน จะต่อหรือไม่นั้น นายเอกนิติ ระบุว่า เป็นนโยบายที่ต้องมีการหารือกันอีกครั้ง ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยในปีที่แล้วกรมฯเสียรายได้ไป 120,000 ล้านบาท และปีนี้เสียรายได้ประมาณ 25,000 ล้านบาท
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : https://www.pptvhd36.com/wealth/sustainability/225575
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา