17 ธ.ค. เวลา 06:48 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Carry-On (ดูได้ทาง Netflix)

พอดูสนุกแต่ยังใช้ประโยชน์จากแนวหนังได้ไม่มาก
เอาเข้าจริงแล้ว Carry-On เป็นหนังแอ็กชันที่อยู่ในธีมเดียวกับ Die Hard และ Lethal Weapon คือหนังแอ็กชันที่มีฉากหลังเป็นคริสต์มาส ซึ่งในระหว่างที่ดู Carry-On ก็นึกเสียดายว่ามันควรเป็น Die Hard ฉบับสนามบิน เพียงแต่มัวแต่เสียเวลาไปกับเกมแมวจับหนู จนหลงลืมแอ็กชันและการพัฒนาตัวละครไปอย่างน่าเสียดาย
Die Hard มักถูกยกย่องว่าเป็นต้นแบบของหนังแอ็กชันที่ผสมผสานความตื่นเต้นและอารมณ์ขันเข้ากับบรรยากาศคริสต์มาสได้อย่างไร้ที่ติ เรื่องราวของจอห์น แมคเคลน ที่ต้องปะทะกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายในตึกนากาโตมิพลาซ่านั้น ไม่เพียงแต่เป็นหนังแอ็กชันที่เต็มไปด้วยฉากระเบิดภูเขาเผากระท่อม แต่ยังใช้สัญลักษณ์และจังหวะของคริสต์มาสเป็นตัวเสริม เช่น เพลง “Let It Snow” ที่เล่นตอนจบ หรือการใช้ของขวัญและคำว่า “Ho Ho Ho” ในแบบประชดประชัน
ความสำเร็จของ Die Hard คือการเล่าเรื่องที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง พร้อมตัวละครที่มีความเป็นมนุษย์และน่าจดจำ
ส่วน Lethal Weapon เองก็ใช้บรรยากาศคริสต์มาสเพื่อเสริมเรื่องราวของความเป็นครอบครัวและมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างริกส์และเมอร์ทัฟห์ แม้ว่าหนังจะเน้นความดิบเถื่อนในฉากต่อสู้ แต่เทศกาลคริสต์มาสกลับถูกขับเน้นใช้เพื่อสะท้อนความแตกต่างในตัวละครหลักอย่างริกส์ ผู้ที่เริ่มเรื่องด้วยความโศกเศร้าจากการสูญเสียภรรยา และเมอร์ทัฟผู้ที่มีครอบครัวอบอุ่น หนังใช้ธีมคริสต์มาสเพื่อเยียวยาและเชื่อมโยงตัวละครในแบบที่ทั้งซึ้งและดราม่า
แต่ Carry-On เป็นหนังแอ็กชันระทึกขวัญที่ใช้บรรยากาศคริสต์มาสอย่างผิวเผินเกินไป เรื่องราวในสนามบินที่ตัวเอกต้องเผชิญกับแผนการร้ายในช่วงวันหยุดสำคัญอาจมีความตื่นเต้นในแง่ของสถานการณ์ แต่กลับขาดความเชื่อมโยงกับธีมคริสต์มาสที่เด่นชัดเหมือนใน Die Hard หรือ Lethal Weapon หนังให้ความสำคัญกับการไล่ล่ามากกว่าการสร้างอารมณ์ร่วมหรือความขัดแย้งเชิงลึกภายในตัวละคร
เมื่อเปรียบเทียบทั้งสามเรื่อง Die Hard และ Lethal Weapon ยังคงเป็นหนังที่สมดุลระหว่างแอ็กชันกับธีมคริสต์มาสได้ดีที่สุด โดยใช้บรรยากาศวันหยุดเป็นทั้งฉากหลังและเครื่องมือเล่าเรื่อง อีกทั้งโดดเด่นในเรื่องความดราม่าและการพัฒนาตัวละครภายใต้ธีมเทศกาล ส่วน Carry-On แม้จะนำเสนอความตื่นเต้นได้ดี แต่ก็ขาดตัวละครที่มีเสน่ห์ ขาดเอกลักษณ์ของตนเองและการใช้บรรยากาศคริสต์มาสเพื่อเสริมเนื้อหา ทำให้ไม่อาจเทียบได้กับความลึกซึ้งและความคลาสสิกของสองเรื่องแรก
กระนั้น Carry-On ก็ดูได้พอสนุกไปจนจบเรื่อง
6/10
โฆษณา