18 ธ.ค. เวลา 09:00 • การศึกษา

รู้เขารู้เรา, know me know you

ผู้เขียนขออธิบายเนื้อหาในเรื่องนี้ว่า เขียนออกมาจากการประมวลผล แล้วสรุปจากที่ได้ศึกษาข้อมูลมา จะมีทั้งส่วนที่เป็นวิชาการที่หาได้ตามอินเตอร์เน็ต และส่วนที่มาจากประสบการณ์การแก้ปมส่วนตัวที่ใช้แล้วได้ผล จึงไม่อาจจะบอกว่าถูกต้องตามหลักวิชาการ อยากให้เห็นว่าเป็นเหมือนการบอกเล่าความคิด และประสบการณ์ส่วนตัวมากกว่า ทั้งนี้คาดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ในการสังเกตและปฏิบัติติตัว ทำให้เข้าใจตนเองและผู้อื่นมากขึ้น
ตามหลักจิตวิทยามีการแบ่งบุคลิกภาพคน เพื่อใช้ประโยชน์ในการค้นหาตนเอง และดึงศักยภาพออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งช่วยในการปฏิบัติตัวให้อยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข ในบทความนี้จะพูดถึงการแบ่งตามหลัก sensitivity และ MBTI
ก่อนอื่นขอพูดถึง อาการ sensitive ในที่นี้ผู้เขียนจะขอกล่าวแยกเป็น 3 ชนิด เรามาลองทำความเข้าใจกับอาการนี้แบบโดยรวมกันก่อน
ยกตัวอย่างจากเรื่องใกล้ตัว อย่างการที่คุณเห็นหมาตกใจเพราะได้ยินเสียงดังๆ อย่างประทัด หรือพลุไฟ จนมันกลัวหัวหด หรือวิ่งพล่านไปมา หรืออาจจะเคยได้ยินได้เห็นในโซเชียล ที่ลงประกาศหาหมาหลุดจากบ้าน เพราะตกใจเสียงพลุที่จัดเต็มตามเทศกาลต่างๆตลอดทั้งปี บางคนอาจจะเคยนึกหัวเราะเยาะเย้ย ว่าแค่เสียงพลุ เสียงประทัดแค่นี้ จะตกอกตกใจอะไรนักหนา
การที่คุณหัวเราะเยาะหมาว่าทำไมตกใจง่ายกับเสียงดัง ในระดับที่สำหรับคุณไม่เห็นว่าจะเป็นอะไรนักหนานั้น ออกจะเป็นการมองอย่างตื้นเขินไปหน่อย เพราะต้องเข้าใจก่อนว่าโดยธรรมชาติแล้ว หมานั้นหูดีกว่าคนตั้งไม่รู้กี่เท่า เสียงดังแบบทนรับได้สำหรับคนอย่างเช่น พลุ ประทัด เทียบกันแล้วคงเหมือนโดนลูกระเบิดลงใกล้ๆกับตัวมันเลยสำหรับหมา
เหมือนกับคนที่มีความ sensitive ทางอารมณ์ ก็คือผู้ที่มีความรู้สึกได้มากและไวกว่าคนทั่วไป เป็นผลจากการรับรู้ความรู้สึกจากสิ่งที่มากระทบจิตใจ มีความเข้มข้นของความรู้สึกมากจนทนไม่ไหว ต้องร้องไห้ออกมา ผู้ที่ไม่เข้าใจจะมองว่าคน sensitive เป็นคนอ่อนแอ แต่โดยแท้จริงแล้วเขาอาจมีความอดทนมากกว่าคนปกติทั่วไปด้วยซ้ำ เพราะระดับการรับรู้ของอารมณ์และความรู้สึกกดดันนั้นเหนือกว่าคนปกติมากนัก
นักจิตวิทยาได้อธิบายว่าการร้องไห้ เป็นกลไกตามธรรมชาติที่จะช่วยลดความกดดันภายในใจ คนปกติทั่วไปหากรู้สึกเครียดและกดดันเกินกว่าจะรับไหว ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ เพศไหนล้วนร้องไห้ เพื่อระบายความเครียดและกดดันทั้งนั้น ไม่ใช่แค่ผู้ที่มีภาวะ sensitive เหมือนการปล่อยลมออกจากลูกโป่ง เพื่อลดความดันไม่ให้มันแตกออก แต่เพราะคน sensitive อาจจะร้องไห้กับเรื่องที่ดูธรรมดามากสำหรับคนปกติ จึงถูกเข้าใจผิดว่าอ่อนแอได้ง่าย
คน sensitive แต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะเรื่องที่รู้สึกร่วมด้วยมีมากน้อยไม่เหมือนกันและไม่เท่ากัน แต่ละคนก็มีความสามารถในการรับความกดดัน รวมถึงมีความไวต่อการกดดันไม่เท่ากันด้วย แม้แต่ในคนๆเดียวกันระดับความอดทนต่อเรื่องแต่ละเรื่อง แต่ละสถานการณ์ก็ไม่เท่ากัน เนื่องจากมีการพัฒนาจากประสบการณ์ส่วนตัวและเข้าใจโลกมากขึ้น
ประเภทของ sensitivity
Sensitive แบบประสาทรับรู้ไว คือสามารถรับรู้ความรู้สึกของคนรอบข้างได้ไวกว่าปกติ แต่ระดับความรู้สึก การเข้าถึงอารมณ์นั้นๆจะเท่ากับคนปกติ บางครั้งรับรู้ถึงอารมณ์นั้นๆ ก่อนเจ้าตัวที่เป็นคนรู้สึกซะอีก
ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนโกรธ คน sensitive แบบความรู้สึกไว จะรู้สึกถึงบรรยากาศคุกรุ่นได้ก่อนคนปกติธรรมดา และจะไม่เข้าใกล้บุคคลนั้นๆ หรือไม่ทำอะไรที่ไปขัดใจเขาเพิ่มขึ้น โดยที่คนปกติอาจจะไม่รู้ ดูไม่ออกแล้วแหย่รังแตนเข้า คน sensitive ชนิดนี้จะหันหางเสือได้ไว รับมือกับสถานการณ์ได้ทันท่วงที เพราะรู้สึกได้ก่อนชาวบ้านในเรื่องอารมณ์ความรู้สึก พวกเขาจะไม่ได้หวือหวามากด้านอารมณ์ จนอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเป็นคน sensitive เพราะไม่ได้รู้สึกตอบสนองมากและชัดเจนเท่ากับแบบอื่น
Sensitive แบบความรู้สึกเยอะ ก็คือแบบที่คนปกติทั่วไปรู้จัก คือมีความกดดันทางอารมณ์สูงเมื่อถูกกระทบด้วยเหตุการณ์ต่างๆ เพราะรับรู้ความรู้สึกได้เยอะและลึกซึ้งมากกว่าคนทั่วไป แต่ไม่ได้รู้สึกก่อนคนปกติ จึงมักจะเป็นไอ้หนุ่มเมาหมัด เนื่องจากต้องรับความรู้สึกท่วมท้นในเวลาเพียงเล็กน้อย กระชั้นชิด เมื่อมีอะไรมากระทบใจ
แต่ถ้ารู้จักจัดการกับความรู้สึกนั้นได้ ก็จะกลายเป็นไอ้หนุ่มหมัดเมาที่สามารถใช้ประโยชน์จากความรู้สึกนั้น โดยที่คนธรรมดาๆทำไม่ได้ เพราะความรู้สึกมากและชัดเจนทำให้แยกแยะสภาวะของจิตใจได้ดีมาก ถ้าจะให้เห็นประโยชน์แบบชัดๆ ก็อาจจะเห็นได้ในเรื่องของการแสดง ขับร้อง และงานศิลปะต่างๆ คนพวกนี้จะถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้ดีและชัดเจน จนผู้เสพผลงานรู้สึกมีอารมณ์ร่วมสูง
คน sensitive type นี้ควรระวังเรื่องความเจ้าคิดเจ้าแค้น เพราะอะไรที่คนปกติเขาทำกับคุณในระดับปกติ แต่เพราะคุณรู้สึกมาก ยิ่งเป็นในทางลบก็อาจจะตอบสนองรุนแรงเกินไป โดยที่เขาไม่ได้ทำกับคุณมากเท่าที่คุณรู้สึก แต่เป็นระดับคนทั่วไปรู้สึกกัน ถ้าเป็นแบบนี้จะสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น หรือถ้าไม่ถึงขั้นเป็นศัตรูก็พาลให้เหม็นขี้หน้า โดนประทับตราว่าเป็นคนเจ้าอารมณ์ไม่น่าคบหาได้แล้ว
แบบสุดท้ายเป็นแบบลูกครึ่ง คือ เป็นคน sensitive ที่มีทั้ง 2 แบบที่กล่าวถึงก่อนหน้านั้นในคนเดียวกัน คนที่เป็นแบบลูกครึ่งนี้ก็จะมีทั้งข้อดีและข้อเสียของทั้งสองแบบ มีอารมณ์ลึกซึ้งรุนแรงและรับรู้ความรู้สึกได้ไว ฉะนั้นจะเมาหมัดแบบหัวทิ่มกับเรื่องที่ตนรู้สึก sensitive ด้วย บางครั้งรู้สึกเหมือนโดนลุกล้ำความเป็นส่วนตัว เพราะไปรับรู้ความรู้สึกของคนอื่นที่เขามีกับอีกคน แบบที่เลือกไม่ได้ว่าอยากหรือไม่อยากรับรู้
เพราะคนเราไม่ได้มีแต่ความรู้สึกดีๆต่อกัน พอรู้สึกแบบแรงๆ ก็อาจจะเป็นพวกรักแรงเกลียดแรงได้ รวมถึงเจ้าคิดเจ้าแค้น เพราะใครทำอะไรให้จะรู้สึกไว คือจับได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร และรู้สึกตอบสนองแบบรุนแรง แต่เป็นไปได้ว่าจะเข้าใจผิด เพราะความ sensitive อาจจะตีความถูกเรื่องที่คนอื่นรู้สึกกับตน แต่ตีความไม่ถูกทั้งหมด เพราะถูกความรู้สึกที่มากนั้นครอบงำ มันจึงง่ายที่คุณจะเข้าใจผู้อื่นผิด นั่นก็ทำให้คุณดูเป็นคนแรง หรือดูพาลได้
คนชนิดนี้จึงควรฝึกให้ตัวเองใจเย็น รับฟังเหตุผลให้มาก ชั่งใจในการตอบสนองต่อเรื่องต่างๆ และทำอย่างมีสติ เพราะถ้าคุณ balance ตัวเองได้ คุณจะเป็นเจ้าของข้อดีของทั้งสองชนิด คือจะเป็นผู้ชักนำอารมณ์ผู้คนได้ชนิดที่เหมือนสะกดจิต
คราวนี้ลองมาว่ากันถึงเรื่อง MBTI กันบ้าง หากคุณเคยศึกษาเอง หรือเคยได้ทำแบบทดสอบมาแล้วบ้าง จะเห็นว่าการแบ่งเป็นแบบคร่าวๆ จำพวกใหญ่ๆ 16 แบบ คุณลองอ่านดูแล้วไปค้นหาผลทดสอบดูเองนะคะ ว่าตรงกับคน type ไหน เพราะตรงส่วนนั้นผู้เขียน จะไม่อธิบายไปถึง จะเน้นตรงที่เป็นคู่ๆ ซึ่งเวลาทำแบบทดสอบแล้วงงมาก ผู้เขียนเองก็เป็น เลยอยากอธิบายตรงส่วนนี้ โดยอธิบายเสริมเจาะลึกในส่วนที่ได้เรียนรู้มาจากประสบการณ์และการวิเคราะห์ส่วนตัว คิดว่าน่าจะช่วยให้เห็นภาพชัดขึ้น
เริ่มที่ introvert, extrovert, ambivert ก่อนอื่นอยากจะอธิบายว่าไม่มีใครเป็น introvert หรือ extrovert 100% และในทุกหมวดของ MBTI นี้ด้วย แต่ในที่นี้จะอธิบายให้สุดโต่ง เพื่อที่จะได้เห็นภาพชัด ส่วนคุณจะเหมือน introvert หรือ extrovert ในด้านไหนต้องไปสังเกตกันเอาเอง เพราะมันปนๆกันอยู่ เปอร์เซ็นต์ที่บอกว่าคุณเป็น introvert หรือ extrovert ก็ไม่ได้ระบุเจาะจงว่าด้านไหน อะไร ยังไง สังเกตตัวเองเพิ่มดีและตรงสุดค่ะ
MBTI สรุปวิธีรับพลัง
วิธีได้รับพลัง
Introvert กับ Extrovert I/E
introvert คนชอบมองว่าเป็นพวกมีความเป็นส่วนตัวสูง ขี้อาย ตั้งกำแพงสูง เขาแค่เป็นพวกชอบคิด ติดจะดำดิ่งกับความคิดของตัวเองได้ง่าย ช่างสังเกตโดยธรรมชาติ ถ้าคุณมีความเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อย ไม่ว่าจะตัดผมใหม่ เปลี่ยนสีทาเล็บ หรือเสียงเปลี่ยนเล็กน้อยเพราะเจ็บคอ ฯลฯ พวกเขาจะเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ก่อน แต่จะทักคุณหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าเขารู้สึกสนิทกับคุณมากแค่ไหน และคำพูดจะบอกตามความรู้สึกจริงๆไม่ใช่บอกคุณตามมารยาท ชมหรือติผ่านการคิดมาดีแล้ว หรือถ้าเห็นว่าไม่ควรพูดก็จะเงียบ นิ่งเฉยไปเลย
อีกทั้งยังไม่ค่อยอนุญาตให้ใครเข้ามาสนิทสนมได้ง่ายๆ เห็นเรื่อง “ขอบเขตความเป็นส่วนตัว” เป็นเรื่องคอขาดบาดตายเลยทีเดียว ถ้าคุณไม่ได้สนิทกับเขาจริง และต้องให้เขายืนยันก่อนไม่ใช่คิดไปเองด้วยว่าสนิทกัน ห้ามยุ่งย่ามในเรื่องส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต เขาจะมีระดับการเข้าถึงเรื่องส่วนตัว แล้วแต่ว่าคนๆนั้นจัดอยู่ในลำดับไหนสำหรับเจ้าตัว คือ ถ้าไม่สนิทจริงๆแบบ vvip platinum จะไม่ยอมคุยเรื่องส่วนตัวลึกๆด้วยเลย
ข้อดีคือเขาจะเคารพความเป็นส่วนตัวของคนอื่นมากเช่นกัน แม้จะชอบอยู่คนเดียว ทำอะไรๆคนเดียว ไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ดูแล้วเหมือนไม่สนใจคนอื่น เป็นคนที่ดูแข็งๆไม่อบอุ่น friendly ชอบแยกตัวสันโดษ แต่จริงๆแล้วสังเกตความเป็นมาเป็นไปรอบๆตัวเสมอนะ แค่พวกเขามีความระมัดระวังในการทำสิ่งต่างๆ รวมถึงการอนุญาตให้ใครก็ตามเข้าถึงความลับและตัวตนของเขาในขอบเขตที่จำกัด เลยสนิทกับคนยาก แต่ถ้าให้ใจใครแล้วจะอยู่ทนอยู่นาน และกล้าเป็นตัวของตัวเองเต็มที่เวลาอยู่กับคนที่ไว้ใจ
ถ้าสนิทด้วย รู้จักกันจริงๆแล้วอาจจะเป็นคนอบอุ่นจนเร่าร้อนเลยก็ได้ ประมาณว่าไม่นึกว่ามันจะบ้าขนาดนี้ เห็นแข็งๆเงียบๆ แหมตอนแรกๆก็ถือเนื้อถือตัว แต่พอสนิทก็ถึงเนื้อถึงตัว หัวหางไม่สนใจ ฉะนั้นอยากคบคน introvert ต้องพิสูจน์ตัวเองหน่อย แต่มิตรภาพที่ได้มาคุ้มค่านะ
ปกติเวลาพูดคุยกับคนที่สนิทด้วยกลางๆ แบบคบเพื่อเข้าสังคม จะเป็นคนเหมือนไม่ค่อยพูด แต่ถ้าได้พูดจะเหมือนกระบี่ที่ชักออกจากฝัก มิดื่มเลือดมิกลับคืนฝัก คือมักคิดมากก่อนพูดจาอะไร แม้จะแค่คุยแบบทักทาย เวลาโกรธเลยเหมือนคนตีกลองสะบัดชัย กลองมีอันเดียวแต่ทั้งเข่า ทั้งศอก ขยอกหัว คือ พูดแล้วมีเจ็บเลือดตกยางออก
ก็อยู่ที่ว่าเจ้าตัวจะมีศิลปะในการพูดแค่ไหน ส่วนใหญ่ไม่เน้นหยาบ แต่เจ็บจุกๆ เพราะจี้เข้าจุดตายรัวๆ เถียงกลับไม่ออก อาศัยจากที่ปกติเป็นคนช่างสังเกตอยู่แล้ว เลยมีข้อมูลในหัวให้ใช้เยอะแยะ เวลาด่าจึงดึงความจริงมาพูดแบบตรงๆสับๆ โดยที่ปกติจะเก็บไว้ไม่พูด เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรพูด
นอกจากนี้คน introvert ยังไม่ชอบทำตัวเป็นจุดเด่น พวกเขาชอบทำตัวกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมปานประหนึ่งเป็นนินจา ไปมาไร้เงา มีความสุขกับการเป็นแค่ wallpaper มากกว่าจะไปยืนเด่นกลางเวที แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความทะเยอทะยานเลย ถ้าเจอในสิ่งที่รักแม้จะขัดกับธรรมชาติตรงนี้ ก็สามารถไปยืนแถวหน้าได้เช่นกัน
ยกตัวอย่างชัดๆ เห็นได้จากการมีดารา นักร้อง นักแสดงชื่อดังที่เป็น introvert มากไม่แพ้คน extrovert ทำให้เห็นว่าคน introvert เมื่อชอบอะไรซักอย่างหนึ่งอย่างจริงจังจะทุ่มเทได้มากพอๆกับคน extrovert หรืออาจจะเหนือกว่า ทั้งในด้านการงาน ความรัก ฯลฯ หากต้องต่อสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่รักที่ต้องการ introvert สามารถแสดงความโดดเด่นของตัวเองผิดวิสัยธรรมชาติของ introvert อย่างสุดตัว ออกตัวแรงได้แบบฝุ่นตลบเหมือนกัน
โดยปกติแล้วการต้องเอาตัวออกไปคลุกคลีอยู่ในแสงสว่างกับผู้คนมากมาย จะทำให้เขารู้สึกเหมือนติดพิษติดคำสาป ยิ่งผ่านเวลานานไป ก็ยิ่งทำให้ HP ของเขาลดฮวบฮาบ ถอนคำสาปไม่ได้ รักษาไม่หาย มีแต่ต้องตายแล้วกลับไปเริ่มใหม่ที่จุดเซฟเท่านั้น ฉะนั้นเวลาที่ทะเลาะกับคนที่บ้านเขาจะรู้สึกทุกข์ทรมานมาก เนื่องจากเหนื่อยจากการอยู่ข้างนอกมาแล้วไม่สามารถกลับบ้านไปชาร์จแบตได้
ถ้าหากเห็นว่าไม่อาจหาข้อตกลงคืนดีกันได้ มีแนวโน้มว่า introvert จะแยกออกมาอยู่เลยก็ได้ เพราะบ้านไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่เป็นหลุมหลบภัย ความสุขทุกอย่างอยู่ที่บ้าน ความสุขของพวกเขาเรียบง่ายแค่ได้ทำสิ่งที่ชอบ ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ เล่นกับสัตว์เลี้ยง ฯลฯ ก็ทำให้ไม่เหงา ไม่เบื่อ อยู่ได้เป็นวันๆไม่ต้องออกจากบ้านเลยก็ได้ introvert จึงค่อนข้างติดบ้านเพราะรู้สึกปลอดภัย สะดวกสบายกายใจ เนื่องจากให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนตัวมาก คนที่อยู่ด้วยต้องอยู่แล้วสบายใจ ไม่งั้นอยู่คนเดียวดีกว่า
ถ้าคน introvert เลือกที่จะเลี้ยงสัตว์ก็เพราะสัตว์ไม่มีมารยา ใสซื่อ จริงใจ ตรงไปตรงมา ไม่ต้องเดาเยอะ introvert จึงชอบ มากกว่าจะเลี้ยงเพื่อแก้เหงา บางคนอาจจะถึงขั้นชอบอยู่กับสัตว์มากกว่าคน เพราะฉะนั้นมีความเป็นไปได้ว่าคน introvert จะชอบเด็กๆด้วยเหตุผลเดียวกัน ทำให้มี introvert บางคนที่ชอบทั้งเด็กและสัตว์ แต่บางคนอาจจะชอบเพียงแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง
แม้จะเป็นพ่อแม่ แต่ถ้าเด็กๆ introvert ไม่รู้สึกสนิท ไว้ใจ เชื่อใจ ก็อาจจะไม่ระบายความทุกข์ใจที่เขามีกับพ่อแม่ได้ทั้งหมด อาจจะไม่ร้องไห้ให้เห็น และไม่รู้สึกติดพ่อแม่ แต่ถ้าสนิทกันแล้วล่ะก็ จะบอกทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็จะเป็นความสนิทสนมที่ลึกซึ้งมากด้วย จะเป็นคนช่างเอาใจใส่ เรื่องเล็กๆน้อยๆจำได้หมด และมักจะมีอะไรพิเศษมาทำให้ดีใจได้เสมอ อาจไม่จี๋จ๋าช่างพูดคุยเกาะแกะ แต่ใส่ใจเข้าอกเข้าใจอยู่เคียงข้างเวลาคุณต้องการเสมอ คนเป็นพ่อแม่ต้องช่างสังเกตลูกเป็นพิเศษ
หากคุณมีลูกเป็นคน introvert เพราะเขาชอบความใส่ใจแต่ก็ชอบความเป็นส่วนตัวด้วย เด็ก introvert จะพึ่งพาตัวเองได้เร็วกว่า และเริ่มมีความเป็นส่วนตัวสูงในช่วงวัยรุ่น มักมีความลับกับพ่อแม่หากไม่ได้สนิทกันมากพอ ในการท่องเว็บหรือใช้บัญชี social ต่างๆ มีแนวโน้มจะใส่รูปโปรไฟล์เป็นรูปตัวการ์ตูน ตุ๊กตา avatar ภาพที่เห็นหน้าได้ไม่ชัด หรือภาพที่ใส่ฟิลเตอร์ที่มีส่วนปิดบังใบหน้าบางส่วนหรือทั้งหมด คือไม่ค่อยให้เห็นหน้าชัดๆเต็มๆว่างั้นเถอะ
เรื่องการมีคู่ ถ้าหากคน introvert เจอความสัมพันธ์ที่ toxic ถ้าเลือกได้จะยอมทิ้งมากกว่ายอมทน เพราะอยู่ด้วยตัวคนเดียวได้ ไม่ใช่ไม่เหงาเลย แต่มีความสามารถอดทนกับความเหงาได้มากกว่าคน extrovert เพราะให้ความสำคัญกับคนที่จะเข้ามามาก เลยมีแนวโน้มโสดมาก..กกก บางคนไม่มีคู่เลยเป็นเวลานาน ก็ขนาดคบเพื่อนยังยากอย่าว่าแต่จะมีแฟน ยิ่งพวกเลือกมากแล้วด้วยนี่จบนะ
แต่ถ้าคน introvert จะมีคนสำคัญที่เรียกว่าแฟนสักคน ก็อาจจะเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงออกทางด้านความรักเท่าไหร่ต่อหน้าสาธารณะ แต่จะแสดงออกในระดับที่เป็นส่วนตัวมากกว่า และจะเป็นอะไรที่ลึกซึ้งประทับใจมากกว่าจะโฉ่งฉ่างฉาบฉวย เพราะเวลามอบหัวใจให้ใครแล้วต้องแน่ใจจริงๆไม่ใช่แค่คบแก้เหงา เวลาที่มีปัญหาก็จะระบายกับคนที่เขาเชื่อใจได้มากที่สุดโดยเฉพาะกับแฟน
เพราะฉะนั้นจะสำคัญมากถ้าคนสำคัญของเขายอมรับในตัวตนของเขาจริงๆ เพราะได้ศึกษาเรียนรู้กันอย่างลึกซึ้งในด้านจิตใจกันมาอย่างดีมากพอแล้วระดับหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลา คือถ้าคลิกก็สามารถแต่งไวได้เหมือนกัน
อีกอย่างหนึ่งคือ การเป็นคน introvert ไม่ได้หมายความว่าไม่เจ้าชู้ เพียงแต่อาจจะเป็นไปได้ยาก เพราะสนิทกับคนได้ยาก แต่ถ้ามีคนถูกใจหลายคนก็อาจจะเป็นคนหลายใจได้เช่นกัน
คน introvert มีแนวโน้มจะเป็นโรคซึมเศร้าได้ง่าย เพราะช่างคิดและอาจจะจมอยู่กับความคิดของตัวเองได้ง่าย อีกทั้งยังไม่ถนัดในการที่จะปรึกษาหรือระบายความทุกข์กับคนที่ไม่ได้สนิท หากไม่มีคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจคอยเป็นที่รับฟัง ก็อาจจะจมกับความคิดลบของตัวเองและเป็นซึมเศร้าได้
และหากไม่รู้ว่าตัวเองเป็น introvert บางครั้งอาจจะเข้าใจผิดว่าตัวเองมีปัญหาด้านจิตวิทยา แต่จริงๆแล้วเป็นปกติแบบคน introvert คือรู้สึกแปลกแยก ผิดกับคนอื่น เพราะถ้าเป็นคน extrovert ปกติจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอเป็นคน introvert จะรู้สึกตรงข้ามในบางอย่าง ด้วยอาการอย่างนี้เลยคิดว่าตนผิดปกติ
ยกตัวอย่างเช่น มีผลสำรวจว่าคนเราถ้าอยู่คนเดียวนานๆจะรู้สึกเหงาจนเป็นโรคซึมเศร้า หรือรู้สึกทุกข์มากหรือเครียดจากการที่ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นนานๆ และอาจลามมาทำให้ป่วยทางกาย มีปัญหาสุขภาพได้ แต่สิ่งเหล่านี้ใช้ไม่ได้กับคน introvert ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยของประชากรโดยสัดส่วนเพียง 1 ต่อ 3 เท่านั้น
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง การย้ายไปสถานที่ใหม่ๆไม่ว่าจะที่ทำงานหรือโรงเรียนใหม่ ฯลฯ ต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อมและต้องเริ่มไปทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ แต่กลายเป็นว่าคน introvert ไม่มีเพื่อนใหม่เลยเป็นเวลาหลายเดือน เพราะไม่รู้สึกสนิทกับใครชนิดที่อยากเป็นเพื่อนไปไหนมาไหนด้วย เนื่องจากปกติเป็นคนสนิทกับคนยาก และเพื่อนน้อยอยู่แล้ว การจะไป hang out กับคนไม่สนิทนั้นจะรู้สึกลำบากใจ เลยเลือกจะอยู่คนเดียว ถ้าไม่มีเพื่อนที่สนิทใจพอจะไปกันได้ในที่ใหม่
หรือไม่ก็จะใช้เวลาไปติดต่อกับเพื่อนเก่ามากกว่า ไม่ได้หมายความว่าปฏิเสธผู้คนหรือสังคม แค่ยังหาคนถูกใจไม่ได้ และถ้าให้เวลามากขึ้นก็อาจจะหาได้ เพราะใช้เวลาทำความรู้จักกับคนนาน พฤติกรรมแบบนี้จึงถูกเข้าใจผิด ถูกมองว่าเป็นพวกต่อต้านสังคมได้ง่ายๆเหมือนกัน
หากจะว่ากันด้วยเรื่องความเหงา ตามมาตรฐานของคน extrovert จะมีความเครียดสูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าต้องอยู่คนเดียวนานๆ แต่สำหรับคน introvert จะรู้สึกธรรมดา เพราะ introvert ต้องมีช่วงเวลาที่ต้องชาร์จพลัง คือต้องการอยู่คนเดียวอยู่แล้ว มาตรฐานของ introvert และ extrovert จึงไม่เหมือนกัน แต่เพราะเป็นคนส่วนน้อยอาจจะรู้สึกแปลกแยกทางสังคมได้ เนื่องจากไม่ตรงกับผลลัพธ์มาตรฐาน
มีข้อพึงระวังเช่นกันสำหรับคน introvert คือ เรื่องการยึดติดกับความคิด เพราะสิ่งที่คุณคิดอย่างละเอียดรอบคอบดีแล้วอาจไม่ได้ดีกับคนอื่นด้วย และแม้ alone time สำคัญเหมือนอากาศหายใจ แต่ควรจัดสรรให้พอดี ไม่ควรมากเกินไป จะกลายเป็นเข้าสังคมยาก เพราะติดนิสัยเคยชินที่จะอยู่คนเดียว
introvert ที่สนใจธรรมะ ก็จะศึกษาอย่างลึกซึ้ง ถึงแก่นธรรม จะชอบปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ปลีกวิเวก ปิดวาจา เพราะมีความสุขกับการได้ใช้ความคิด อยู่กับตัวเอง และได้มีเวลาพิจารณาเพื่อให้เข้าถึงธรรมะอย่างลึกซึ้ง
extrovert ในด้านบวก จะมองโลกในแง่ดี อบอุ่น friendly เป็น miss congeniality ที่เป็นมิตรกับคนทั่วไป เข้ากับคนง่าย สนิทกับคนง่าย เชื่อคนง่าย บางครั้งง่ายเกินไปถูกหลอกเอาง่ายๆด้วย เพราะชอบทำตัวโดดเด่น ชอบเป็นจุดสนใจ แคร์สายตาคนอื่น เลยทำให้เสีย self ง่ายถ้ารู้สึกว่าถูกเมิน ชอบพูดคุยเจ๊าะแจ๊ะกับผู้คน อยากให้ทุกคนรู้ว่าเขาแคร์คนอื่น
เวลาจับกลุ่มเข้าสังคมในสถานการณ์ต่างๆ มักมีแนวโน้มในการเล่นพักเล่นพวกสูง ทำให้บางทีต้องจำยอมอยู่ระดับล่างสุดในกลุ่ม เพราะรู้สึกว่าดีกว่าถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ต้องระวังการถูกชักจูงไปในทางไม่ดี เลือกคบคนด้วยนะ
extrovert มีข้อดีที่เป็นคนง่ายๆไม่ค่อยคิดอะไรมากในเรื่องเล็กน้อย แต่ก็เป็นข้อเสียคือบางครั้งพูดอะไรไม่ทันคิดปากเสีย ปากไวทำให้ดูตื้นเขิน เป็นน้ำระดับอกหมาชิวาวา ขาดความละเอียด รอบคอบ ลึกซึ้ง ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่คิดถึงความรู้สึกของคนอื่นได้ง่าย เพราะรู้สึกว่ามีอะไรก็พูดกันตรงๆไปเลยจะอ้อมค้อมไปทำไม ให้ระมัดระวังคำพูด โดยเฉพาะกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ เพราะอย่าลืมว่าเรื่องเล็กน้อยนี่แหละที่อาจเป็นฉนวนทำให้ทะเลาะเบาะแว้ง เลิกคบกัน
หรือสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นไปได้มากที่จะเป็นคนใกล้ชิดที่ต้องทนกับนิสัยนี้ของคุณมากๆ เป็นประจำ หรือถ้าแรงกว่านั้นอาจถึงขั้นทำร้ายร่างกาย หรือฆ่ากัน ด้วยเรื่องเล็กน้อย แต่สั่งสมจนทนไม่ไหวนี่แหละ เพราะคน extrovert ชอบคิดว่าสนิทแล้วจะพูดอะไรก็ได้ไม่เป็นไร
ด้านลบมากอีกอันคือ เป็นคนช่างพูดช่างคุย เลยติดจะเป็นพวกชอบนินทาด้วยความคะนองปาก ดังนั้นเลยอาจแทงข้างหลังชาวบ้าน รวมทั้งอาจจะถูกแทงกลับได้ง่ายเช่นกัน
เวลาที่คน extrovert โกรธ จะเหมือนคนตีกลองไม่เป็นไปตีกลองชุด คือตีมันดะ ไม่เลือก นึกอยากจะตีอันไหนก็ตีมั่วซั่วไปหมด ลักษณะจึงออกจะเสียงดังโฉ่งฉาง เอะอะโวยวาย นึกอะไรออกก็ใส่เลย ถ้ามีวาทะศิลป์ในการพูด ก็จะด่าแบบประชดประชัน เจ็บแสบเผ็ดร้อน ชนิดที่ไหม้ทั้งคนอื่นและตัวเอง แบบที่อาจจะเกิดการลงไม้ลงมือตามมาได้ง่าย
คน extrovert จะมี “ความเหงา” เป็นความทุกข์บีบคั้นที่ drive ให้หาคู่ หาเพื่อนฝูง หรือคนคุยด้วย เพราะความเหงาเป็นสิ่งที่แทบจะทนไม่ได้สำหรับ extrovert ยิ่งมีเปอร์เซ็นต์สูง ก็จะยิ่งเหงาได้ง่ายและรู้สึกทรมานกับความเหงาได้มาก คำว่า “เฉาตาย” เป็นไปได้จริงอย่างยิ่งสำหรับ extrovert
และด้วยมุมมองเช่นนี้ จึงรู้สึกว่าถ้าตัวเองหรือคนที่รู้จักต้องอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียวคงเหงามาก รู้สึกว่าตัวเองน่าสงสาร น่าสมเพศ ไม่มีใครเอา ไม่มีใครอยากอยู่ด้วย ความเหงาเป็นพิษ อาจจะเพราะแบบนี้กระมัง เวลาที่เจอใครอวดหวานกับแฟน แล้วมีคน extrovert บางส่วนที่โสดรู้สึกอิจฉา เหม็นกลิ่นความรักขึ้นมา
ส่งผลให้บางคนมีแนวโน้มยอมจำทนกับความสัมพันธ์ที่ toxic ไม่อยากถูกเท กลัวเหงา ไม่ว่าจะเป็นกับเพื่อน แฟน ญาติ ฯลฯ ไม่ยอมทิ้งออกมา หรือกระทั่งการยอมคบกันเป็นแฟนกับคนที่ไม่ได้รักหรือสนใจจริงๆ เพียงเพื่อแก้เหงา แต่ถ้ามีคู่แล้วรู้สึกว่าถูกละเลยบ่อยๆ ไม่ค่อยได้รับความเอาใจใส่จากคู่จนทนไม่ไหว อาจจะมีแนวโน้มนอกใจหรือ one night stand ได้ง่ายด้วยเช่นกัน เพราะกลัวเหงาจึงต้องมีสำรองเอาไว้
extrovert บางคนที่ชอบคบแบบเป็นคนๆไป ก็อาจจะเป็นไปได้ที่จะไม่มีช่วงเว้นว่างอยู่เป็นโสดได้นาน นอกจากนี้เวลาที่ extrovert ทะเลาะกับคนที่บ้าน พวกเขาจะชอบเลือกที่ออกไปหาทางแก้กับคนข้างนอกมากกว่า รู้สึกว่าการได้พบปะพูดคุยกับคนช่วยเยียวยาและทำให้ใจเย็นลง แล้วค่อยกลับบ้าน การจะแยกตัวออกมาอยู่ถ้าไม่อึดอัดจริงๆจะไม่ทำ หรือถ้าแยกก็มีแนวโน้มว่าจะหาคนมาอยู่ที่ใหม่ด้วยมากกว่าอยู่คนเดียว
ในบางเวลาที่จำเป็นต้องอยู่คนเดียว ไม่มีใครสามารถที่จะอยู่ด้วยได้ รวมถึงไม่มีสัตว์เลี้ยง extrovert จะเปิดทีวีหรือวิทยุคลอไปด้วยเป็นเพื่อน เพราะรู้สึกว่าถ้าเงียบ=ความเหงาจะมาเยือน อยู่กับตัวเองได้ยาก
เพราะฉะนั้นการนั่งทำงานในคาเฟ่ที่มีคนพลุกพล่าน จะเป็นเรื่องที่สบายมากสำหรับคน extrovert เพราะรู้สึกว่ามีสมาธิในการทำงานมากกว่าที่จะอยู่ในห้องเงียบๆ extrovert ต้องระวังในเรื่องการจัดการกับความเหงาของตัวเองให้มาก เพราะจะนำพาไปสู่ปัญหาใหญ่ในชีวิตได้ นอกจากนี้หากเหงานานๆอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายได้อีกด้วย
เด็กๆ extrovert จะน่ารักอบอุ่นช่างเจรจา แม้เป็นเด็กผู้ชาย ชอบออดอ้อนอยู่ตลอดเวลา อยากอยู่ใกล้ๆพ่อแม่ ถ้าเทียบกันแล้วจะเป็นเด็กติดพ่อแม่มากกว่าเด็ก introvert บางทีอบอุ่นจนร้อน จะติดคนง่ายแม้ไม่ใช่คนเลี้ยง ต้องระวังเรื่องคนแปลกหน้าด้วยจะตามไปง่ายกว่าเด็ก introvert
ถ้าอยู่ในช่วงวัยรุ่น extrovert จะติดเพื่อนมาก ให้พ่อแม่มีเวลาใส่ใจถามไถ่ใกล้ชิดกับลูกบ้าง ไม่งั้นอาจต่อไม่ติด เกิดความขัดแย้งไม่เข้าใจกันได้ เขาต้องการความใส่ใจเสมอ ถึงโตแล้วอยากมีอิสระแต่ก็ไม่ใช่ทอดทิ้งไม่สนใจเลย เมื่อถึงเวลาที่ต้องอ่านหนังสือสอบหรือทำรายงานแล้วเปิดอะไรเสียงดังคลอไปด้วยแก้เหงา
อาจถูกผู้ใหญ่เข้าใจผิดว่าไม่ตั้งใจอ่านหนังสือ แต่ผู้ใหญ่อาจไม่เข้าใจว่าความเงียบ=ความเหงา ทำให้ไม่มีสมาธิในการอ่านยิ่งกว่า แนะนำให้เด็กๆเปิดเพลงที่ช่วยเพิ่มสมาธิในการทำงานหรืออ่านหนังสือ ซึ่งหาใช้ได้ฟรีใน YouTube หรือ app ฟรีที่มีหลากหลายในปัจจุบัน จะดีกว่าเปิดอย่างอื่น เพราะช่วยให้มีสมาธิในการอ่านหนังสือมากขึ้นและไม่เหงาด้วย
extrovert ที่เป็นคนใจบุญสุนทาน จะชอบเข้าวัด ทำบุญตักบาตร บริจาคทาน ฟังเทศน์ฟังธรรม งานบุญกฐินผ้าป่าไม่มีขาด เนื่องจากเป็นคนที่ใจใหญ่ในการทำทานบริจาคทรัพย์ เพราะมีนิสัยไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่ควรศึกษาเรื่องการทำทานในทางพุทธศาสนาให้ถูกต้อง ตั้งอยู่ในสัมมาทิฏฐิ ไม่งั้นนอกจากทำแล้วไม่ได้บุญ อาจจะได้บาปใหญ่มาแทน เป็นพวกไม่ค่อยชอบปฏิบัติธรรมเท่าไหร่ ยิ่งพวกปลีกวิเวก ปิดวาจา นอนป่าช้านี่ไม่เอาเลย เพราะชอบเข้าสังคมเม้าท์มอยในวัดมากกว่า ได้ปฏิสัมพันธ์กับผู้คน
เพื่อเสริมความเข้าใจสมมุติว่าคน introvert และ extrovert ติดคุก extrovert จะกลัวมากถ้าถูกจับขังเดี่ยว แต่คน introvert อาจจะมีความสุขกับการถูกจับไปขังเดี่ยว เพราะรู้สึกว่าประชากรในคุกมีเยอะมากเหลือเกิน และไม่มีที่ว่างให้เขาอยู่คนเดียวเลย การถูกจับขังเดี่ยวจึงเป็นความเครียดสำหรับคน extrovert แต่อาจจะเป็นความสุขสำหรับคน introvert เพราะคน extrovert กลัวความเหงา แต่คน introvert ชอบ alone time แต่ถ้าอยู่นานๆแบบไม่มีสิ่งที่ชอบไว้ทำ ก็อาจจจะย่ำแย่พอๆกับ extrovert
ลองมาฟังบทสนทนาของคน extrovert และคน introvert ที่เป็นเพื่อนกันดู อาจจะทำให้พอเข้าใจอะไรได้มากขึ้น ถึงความเป็นตัวตนของแต่ละคน
extrovert : เออ เมื่อวานวันหยุด แกทำไรอ่ะ รึว่าอยู่บ้านอีก
introvert : เฮ้ยป่าว! ชั้นไปดูหนังมา
extrovert : เรื่องไร? แล้วทำไมไม่ชวนช้านนนน
introvert : ก็จำได้ว่าแกไม่อยากดูเรื่องนี้นี่
extrovert : แล้วไปดูกับใคร?
introvert : คนเดียว
extrovert : แก๊..ร น่าสงสาร! ทำไมไม่บอก ชั้นจะได้ไปเป็นเพื่อน
introvert : ก็แกไม่ว่าง นัดกะแฟนไม่ใช่เหรอ
extrovert : เออ..ใช่ แต่ลากมาดูด้วยก็ได้ ทีหลังไม่มีใครดูด้วยต้องบอก จะได้ไม่หัวเดียวโด่เด่แบบนี้ ไม่เหงาแย่เหรอ?
introvert : ไม่ต้องหรอก (เกรงใจ) ชั้นดูคนเดียวได้
เวลาที่ extrovert เห็นคน introvert ทำอะไรคนเดียว จะรู้สึกสงสารคน introvert เพราะเขาคิดในมุมที่ว่าถ้าตัวเองต้องทำอะไรคนเดียว จะรู้สึกว่าตัวเองน่าสงสาร ไม่มีใครเอา แต่สำหรับ introvert แล้ว เขาจะเห็นว่าการได้ทำอะไรที่ชอบคนเดียวเป็นเรื่องปกติมาก และมีความสุขมากที่ได้ใช้เวลา alone time กับสิ่งที่ชอบ เช่นการดูหนังที่อยากดู ไม่ใช่ไม่อยากชวนเพื่อน แต่เพราะคิดถึง เอาใจใส่ จดจำ ช่างสังเกต จำได้ว่าเพื่อนชอบหรือไม่ชอบอะไร (ไม่อยากให้ต้องมาทนดูอะไรที่ไม่ได้อยากดู)
มีนัดกับใครไว้ก่อนแล้ว (กลัวรบกวนเวลาสวีท) เลยเลือกที่จะมาคนเดียวแทนที่จะกวนคนอื่น เพราะเห็นแก่ความเป็นส่วนตัวของเพื่อน แม้จะรู้ว่าเพื่อนไม่ว่าอะไร ส่วนคน extrovert นั้นด้วยความมีมนุษย์สัมพันธ์สูง และไม่เห็นว่าการชวนแฟนมาด้วยโดยไม่ได้บอกล่วงหน้าจะเป็นอะไร เพื่อนก็สำคัญแฟนก็สำคัญ (ถึงบางคนอาจจะเถียงว่า เพื่อนฉันมันเลือกแฟนก่อนเพื่อนประจำ) อีกอย่างคนยิ่งเยอะยิ่งสนุก
แต่ทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่กับ introvert เองด้วยว่ารู้สึกแบบไหน อาจจะไม่ค่อยสะดวกใจหากความสัมพันธ์จัดอยู่ในหมวด รู้จักในฐานะแฟนเพื่อนแต่ไม่สนิทกับแฟนของ extrovert มากพอ ประมาณเป็นคนวงนอกที่ติดกับคนวงใน เลยไม่สะดวกใจจะให้มาด้วยโดยไม่บอกกล่าว
โดยรวมแล้วจะเห็นว่าต่างคนต่างใจคิดเห็นในมุมของตัวเองทั้งคู่ แต่อย่างน้อยยังอยู่บนพื้นฐานที่รักและปรารถนาดีต่อกันอย่างจริงใจ มีน้ำใสใจจริงในการคบหากัน อยากจะบอกว่าถ้าเราเปิดใจเรียนรู้และพยายามเข้าใจในความแตกต่างของกันและกัน เราจะอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุขมากขึ้น เบียดเบียนกันน้อยลง หลีกเลี่ยงการยัดเยียดให้อีกฝ่ายเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้มาเหมือนกับเรา
เพราะถึงแม้เราต่างกันมากแต่ก็ไม่ได้ต่างจนเข้าใจกันไม่ได้ หากเปิดใจยอมรับ ฝ่าอคติและความคิดเองเออเองของแต่ละฝั่งมาพบกันตรงกลาง ให้รู้ว่าเราล้วนต่างเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อนฝูง ญาติมิตร ฯลฯ ที่ต้องอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างหนีกันไม่พ้น
จะไม่ดีกว่าหรือถ้าเลิกตัดสินกันแบบเหมารวม แล้วเข้าไปศึกษาจริงๆว่าแต่ละคนเนื้อแท้เป็นอย่างไร เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นคน extrovert หรือ introvert ก็มีดีมีชั่วด้วยกันทั้งนั้น อย่าให้สิ่งนี้มาปิดกั้นโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเลย
Ambivert / Social introvert (A) มองจากภายนอกคนจะเข้าใจว่าเป็น introvert แต่บางครั้ง บางคนก็จะเข้าใจว่าเป็น extrovert บางคราก็ดูเปิดเผย อบอุ่น เข้าถึงง่าย แต่บางทีก็ดูเก็บตัว เย็นชา ห่างเหิน แต่จริงๆแล้วเป็นนางวันทองสองใจ มีความทุกข์แบบคนที่มีโลก 2 ใบแต่เลือกไม่ได้
ถ้าใครเคยอ่านเกี่ยวกับ ambivert อาจจะเข้าใจผิด คิดว่าดีจังเลยมีแต่ด้านดีๆของทั้ง introvert และ extrovert เป็น the best of both worlds แต่หารู้ไม่ว่าด้านเสียก็เอามาทั้งคู่เหมือนกัน เช่น ในเวลาที่โกรธข้อเสียของคน extrovert คือเป็นคนปากไว แต่ถ้าเป็นคน introvert จะพูดจาตรงๆทิ่มแทงเชือดเฉือนความรู้สึก ฉะนั้นคน ambivert จะทั้งปากไวและพูดจาทิ่มแทงความรู้สึกเวลาโกรธมากๆ
ambivert ที่ไม่ balance ในตัวเองจะมีความสับสนอย่างมากเวลาที่ต้องตัดสินใจเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดีรักพี่เสียดายน้อง บางคนอาการหนักถึงขั้นว่า เลือกอย่างหนึ่งและทำไปแล้วได้ประมาณหนึ่ง แต่ไม่ค่อยได้ผลเป็นที่น่าพอใจก็เลยลังเลใจ สงสัยว่าเอ๊ะ หรือจะกลับไปเลือกอีกทางหนึ่งดี? แล้วก็กลับไปเลือกอีกทางหนึ่งจริงๆ แต่กลายเป็นว่าชวดทั้งสองทาง เพราะทำทางใดทางหนึ่งให้สุดไม่ได้สักอัน
บางคนมีความเป็น introvert สูงตรงนี้ด้วย ทำให้คิดคร่ำครวญวนเวียนว่า รู้งี้ไม่เปลี่ยนดีกว่า หรือถ้าไม่เปลี่ยนทางก็ รู้งี้น่าจะเลือกอีกอันดีกว่า แต่จริงๆก็คือ ถ้าไม่ทำให้สุดสักทางก็ไม่รู้หรอกว่าผลออกมาดีหรือร้าย ผลที่ได้อาจจะไม่ถูกใจทั้งสองทางเลยก็ได้ เพราะความไม่ balance นั่นเองที่ทำให้ตัดสินใจไม่ได้ ถ้าคุณปล่อยได้ง่ายไม่ยากจนเกินไปก็แสดงว่าคุณมีเปอร์เซ็นต์เป็น extrovert มากกว่าตรงส่วนนี้
ambivert ที่สามารถ balance ตัวเองได้ จึงจะได้ข้อดีของทั้ง introvert และ extrovert มา เพราะจะรู้จักอยู่กับปัจจุบัน คือตัวเองรู้สึกอย่างไรก็ทำอย่างนั้น โดยที่ไม่ตะขิดตะขวงใจ หากตัวเองทำแล้วมีความสุขก็จะทำ แต่ก็ไม่ลืมชั่งน้ำหนักส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบคอบเหมาะสม การค้นหาตัวเองว่าชอบหรือรักสิ่งใดอย่างแท้จริง จึงมีความสำคัญมากเป็นพิเศษสำหรับ ambivert เพราะไม่งั้นจะหาความ balance ในการตัดสินใจไม่ได้เลย
และอาจจะถูกสภาพแวดล้อมกดดันหรือมีอิทธิพลเหนือกว่าความรู้สึกภายใน ทำให้เข้าใจผิดว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรได้ง่ายๆ โดยที่ไม่ตรงกับความรู้สึกที่แท้จริงเลยก็ได้ ตรงนี้ถ้ามีเปอร์เซ็นต์เป็น extrovert สูงกว่า บอกได้เลยว่าจะตามเทรนด์ ตามคนรอบข้างแล้วหลงไปได้ง่ายๆ เพราะแคร์สังคมสูงต้องการการยอมรับและการเข้าพวก มากกว่าที่จะเป็นตัวของตัวเองอย่างกรณีที่มีเปอร์เซ็นต์เป็น introvert สูงกว่า
ambivert เป็น fire & ice ค่ะ ต้อง handle with care ถ้าไม่ระวังจะเสีย balance ได้ง่ายๆ ถ้าไม่คิดว่าอะไรๆก็ดีไปหมด ก็คิดว่าอะไรๆก็แย่ไปซะหมด เลือกไม่ถูก แล้วแต่ว่าคุณจะเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายหรือแง่ดีเป็นหลัก จึงต้องสำรวจตัวเองบ่อยๆ และต้องทำให้เป็นนิสัยไปชั่วชีวิตด้วย
เพราะแม้แต่ตัว ambivert เองก็ยังมีความชอบที่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยที่เข้ามาในชีวิตเหมือนกันกับคน type อื่นๆ คน ambivert จึงต้องทำงานหนักเป็น 2 เท่าของ type อื่นๆ เพื่อที่จะมีความสุข แต่ก็อาจจะมีความสุขเป็น 2 เท่าของ type อื่นด้วย อยู่ที่ว่าจะปรับตัวได้ง่ายแค่ไหน รู้จักอยู่กับปัจจุบันขณะและปล่อยวางได้เก่งหรือเปล่า
MBTI วิธีรับข้อมูล
วิธีรับรู้ข้อมูล
Sensing กับ iNtuition S/N
อยากให้คุณลองสมมุติว่ามีภาพ 1 ภาพ เป็นภาพพื้นหลังสีดำล้วน บนนั้นมีจุดขาว 1 จุด (ส่วนขนาดและตำแหน่งของจุดสีขาวนั้น ผู้อ่านลองจินตนาการเอาเองแล้วกันนะคะ) ให้ชาว sensing และ intuition มองภาพนี้เหมือนกัน จากนั้นให้บรรยายออกมาว่าพวกเขาแต่ละคนเห็นอะไรบ้าง sensing มองแล้วจะบอกว่ามันเป็นภาพจุดขาวบนพื้นสีดำ
แต่ intuition มองแล้วจะบอกว่ามันเป็นภาพแห่งความหวัง จากนั้น sensing ก็จะงงว่ามันเป็นภาพ “ความหวัง” ไปได้ไง? จู่ๆก็มีคนนึงเดินผ่านมาพอดี จ้องมองภาพนั้นสักระยะหนึ่ง จากนั้นก็ผงกหัวหงึกๆบอกว่าใช่ มันเป็นภาพแห่งความหวัง ทำให้คน sensing เริ่มนอย คิดว่านี่ฉันมองอะไรผิดไปเหรอ? หรือฉันมองไม่ทั่ว หรือว่ามันมี hidden message ให้ต้องถอดรหัสดาวินชีที่ฉันมองข้ามไป จึงลองเอาแว่นขยายไปส่องดูสิว่ามันซ่อนอยู่ตรงไหนของภาพ
ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ได้มี hidden message อะไรหรอกค่ะ ที่คน sensing เห็นนั้นถูกแล้ว ไม่ได้ผิดอะไร มองเห็นตามความเป็นจริงล้วนๆ แต่ว่าคน intuition เขาจะมองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นนามธรรมไปทั้งหมดโดยอัตโนมัติตั้งแต่แรกเห็น แม้แต่คน intuition ด้วยกันเอง ยังมองสิ่งเดียวกันไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และการเรียนรู้ของแต่ละคน เขาจะไม่มองนาฬิกาเป็นนาฬิกา ต้นไม้เป็นต้นไม้เหมือนคน sensing
ยกตัวอย่างเช่น intuition คนที่ 1 มองดูนาฬิกาแล้วก็บอกว่ามันคือ ข้อจำกัด เพราะทุกๆอย่างถูกจำกัดด้วยเวลา ส่วน intuition คนที่ 2 บอกว่าไม่ใช่ มัน คือ ความลื่นไหล เพราะเวลาเมื่อผ่านไปแล้วเหมือนสายน้ำที่ไม่ไหลย้อนกลับ !!??!! กลับมาที่คนแรกสุด ยังสงสัยอยู่หรือเปล่าคะว่า intuition ที่มองภาพๆนั้น เขามองว่าเป็นความหวังไปได้ยังไง
ขอให้คำอธิบายว่า สีดำในภาพนั้นหมายถึงความมืดมิด และจุดสีขาวเพียงจุดเดียวหมายถึงแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ มันจึงเป็นตัวแทนของความหวังที่จะพาเราออกไปจากความมืดมิด ดังนั้น intuition คนนั้นจึงมองเห็นเป็นแบบที่เจ้าตัวบอก
ปล. บางคนอาจจะยังสงสัยว่าไอ้คนที่อยู่ๆก็โผล่มา แล้วมานั่งดูซ้ายดูขวาสักพักหนึ่งก็เห็นด้วยกับ intuition ว่ามันเป็นภาพแห่งความหวังนั้นเป็นใคร เขาอาจจะเป็น sensing เหมือนกัน แต่เผอิญว่าเป็นคน IS (Introvert Sensing) ประมาณว่ามองเห็นเป็นภาพเหมือนกัน แต่คิดไปคิดมาหลายตลบข้างในเลยได้ข้อสรุปเดียวกันกับ intuition และเนื่องจากได้ยินที่ intuition พูดถึงคำตอบมาก่อน เป็นคำใบ้ให้พอจะนึกคำตอบออก
จริงๆแล้วคน intuition นั้นสังเกตไม่ยากค่ะ จะเป็นพวกติ๊สๆทั้งหลายที่มองภาพวาดประเภทที่มีแต่ลายเส้น ฝีแปรงหรือว่ามีเส้นขีดๆ จุดหลายๆจุด หรือภาพแนว abstract แล้วแปลความหมายออกมาเป็นนามธรรม เช่น ความรัก ความเกลียด ความแข็งแกร่ง ความโลภ ฯลฯ ประมาณว่าคน sensing มองแบบหกคะเมนตีลังกาดูแล้ว ก็ยังมองไม่ออกว่าภาพแบบนี้มันแปลความหมายอย่างชื่อภาพได้ยังไง
คน intuition จะมีจุดเด่นที่มีจินตนาการสูงมาก คาดเดาไม่ได้และคาดไม่ถึง แต่มีจุดอ่อนในการที่จะถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในหัวให้ใครเข้าใจ หรือทำมันออกมาให้เป็นจริงได้ยาก ถ้าพวกเขาสามารถนำจินตนาการของเขามาใช้ได้จริง โลกนี้อาจจะได้พบกับสิ่งประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยมและไม่มีใครเคยคิดได้มาก่อนเลยก็ได้
ส่วนคน sensing นั้นจุดเด่นคือ ถ้ามีความคิดสร้างสรรค์ที่ดี เขาจะนำมาทำให้เป็นจริงได้มากกว่าคน intuition แต่ข้อเสียคืออาจจะติดกรอบได้ง่าย เพราะมีการมองเห็นโลกแบบตามความเป็นจริง โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่จับต้องได้แบบประสาทสัมผัสทั้ง 5 เป็นหลัก
พวก intuition ต่างจาก sensing ตรงที่มีจินตนาการสูงและจะรู้สึกอึดอัดถ้าไม่ได้ปล่อยของ เพราะฉะนั้นการทำอะไรที่เกี่ยวกับศิลปะเป็นงานอดิเรกหรือแม้กระทั่งเป็นงานหลักจะดีมาก เพราะส่งเสริมจินตนาการที่อัดแน่นอยู่ภายใน หรืออีกอย่างที่จะทำได้ คือ ศึกษาด้านปรัชญา นิกายเซ็น ฯลฯ รวมถึงอะไรก็ตามที่ส่งเสริมความคิดแนวสร้างสรรค์ในตัว
ส่วน sensing ก็ไม่ใช่ว่าจะเรียนศิลปะไม่ได้เลยนะ แต่ภาพวาดของเขาจะเป็นแนวสมจริงมากกว่า ยิ่งพวกที่ฝึกทักษะฝีมือไปได้ถึงขั้นสูงจริงๆ รูปจะออกมาประมาณว่านี่มันภาพวาดหรือภาพถ่ายกันแน่ อีกทั้งถ้าชอบพวกวิชาคำนวณร่วมด้วย ก็เหมาะกับการเรียนพวกสถาปัตย์ ออกแบบตกแต่ง ฯลฯ เป็นอย่างมาก
พวก intuition แล้วเป็น introvert ด้วย จะมีจุดอ่อนเรื่องการสื่อสารความรู้สึกมาก เพราะรู้สึกอะไรไม่ค่อยบอกชาวบ้านเขา รวมทั้งอธิบายสิ่งที่ตัวเองรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้ลำบาก ก็เลยอยากให้คน IN (Introvert Intuition) มีความกล้าที่จะบอกความรู้สึกของตัวเองกับคนอื่นบ้าง เพราะไม่มีใครจะรู้ความคิดความรู้สึกของคนอื่นได้หรอกค่ะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวก sensing ที่อยู่รอบๆตัวคุณ เขาจะไม่ get คุณอย่างแรง เพราะความคิดของคุณเหมือนไฟล์ที่เข้ารหัสเฉพาะตัวที่ต้องมี key access เฉพาะของแต่ละคนที่จะใช้ไข พวกคนทั่วๆไปไม่ใช่ professor X ในขบวนการ X-Men ที่จะสามารถอ่านจิตใจและความคิดความรู้สึกของคุณได้
เพราะฉะนั้นถ้าคุณแคร์ใคร ก็ควรจะบอกความรู้สึกของคุณให้เขาได้รู้ด้วย มันจะช่วยตัวคุณเองในการสื่อสารกับคนอื่นให้เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ทำให้ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างดีขึ้น เรารู้ค่ะว่าการที่ต้องอธิบายความรู้สึกของตัวเองมันยากและเหนื่อยขนาดไหน แต่ว่าเราไม่ได้บอกให้คุณอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างกับทุกๆคน
เฉพาะเรื่องที่สำคัญและกับคนที่สำคัญที่คุณรู้สึกว่าอยากจะสื่อสารให้เขารู้ว่าคุณรู้สึกยังไง มีความคิดความเห็นยังไงบ้าง มันก็คุ้มค่าที่จะเหนื่อยไม่ใช่เหรอคะ ถ้ามันทำให้เราเข้าใจกันได้ดีขึ้น ตัวคุณเองก็จะทุกข์น้อยลง แล้วก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวในโลกมากนัก
MBTI วิธีที่ใช้ในการตัดสินใจ
วิธีที่ใช้ในการตัดสินใจ
Thinking กับ Feeling T/F
พวก thinking จะเป็นพวก Objective/ Goal Oriented คือ ใช้เหตุผลเป็นใหญ่ในการตัดสิน ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เห็นการทำให้สำเร็จ get the job done สำคัญกว่าความรู้สึก ไม่ค่อยแคร์ใคร ถ้าเป็นเรื่องงานจะพุ่งเข้าชนไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเพื่อให้งานสำเร็จ
มักมีปัญหาด้านการจัดการกับความรู้สึกทั้งของตัวเองและการแสดงออกต่อความรู้สึกของผู้อื่น มีแนวโน้มเก็บกดความรู้สึกของตัวเองและแสดงออกไม่เป็น อาจได้ยินคนรอบข้างบ่นให้ฟังอยู่บ่อยๆว่า เป็นคนที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของคนอื่น จนบางทีถูกมองว่าเป็นคนแข็งๆ เย็นชา หรืออาจจะติดซื่อบื้อในเรื่องความรู้สึกเลยก็ได้
ค่อนข้างจะเป็นคนที่ independent สูง ยิ่งเป็น introvert ด้วยจะยิ่งสูง ซึ่งเป็นเหตุให้การกระทำบางอย่างของคุณอาจจะไปทำร้ายความรู้สึกของผู้อื่นได้ ทำให้ผิดใจกับคนอื่นได้ง่ายในการทำงานร่วมกัน ถ้าในทางดีก็พูดได้ว่าเป็นคนเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว กล้าตัดสินใจ มีความเป็นผู้นำ ทำงานใหญ่ได้ พร้อมลุย
ถ้าร้ายก็เย็นชา แข็งกระด้าง พวก thinking ต้องระวังเรื่องทำร้ายจิตใจผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ตัวคุณเองต้องหัดสังเกตและรับฟังความรู้สึกและความคิดเห็นของคนอื่น เพราะมาตรฐานของคนเราไม่เหมือนกัน เรื่องใจก็สำคัญหากไม่มีใจก็ยากจะทำอะไรสำเร็จ
ยิ่งถ้าต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม การรวมใจเป็นหนึ่งมีความสามัคคี ให้กำลังใจกันและกัน สำคัญในการจะทำให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ
คนที่มีเปอร์เซ็นต์ความเป็น thinking สูงมากๆ แม้จะรู้ว่าคนอื่นรู้สึกยังไงก็ โนสน โนแคร์ ทำร้ายความรู้สึกได้อย่างหน้าตาเฉย อาจจะเหมาะกับการทำงานคนเดียว หรือเป็นผู้นำมากกว่าผู้ตามในการทำงานกับกลุ่มย่อยๆ มากกว่าทำงานร่วมกับคนหมู่มาก
ส่วนพวก feeling จะตรงกันข้าม เป็นคนขี้สงสารแคร์ความรู้สึกของคนอื่น Caring by Nature ใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจเรื่องต่างๆในชีวิต เป็นคนอบอุ่น อ่อนโยน ค่อนข้างจะยอมคน ประนีประนอม หยวนๆ ขี้เกรงใจ ไม่ชอบขัดแย้งกับใคร แม้บางครั้งโดนเพื่อนแกล้งแรงๆก็จะไม่ตอบโต้ ไม่ชอบการทะเลาะเบาะแว้ง หลีกเลี่ยงการปะทะให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
จนบ้างครั้งเสียการงาน เพราะมัวแต่กลัวจะผิดใจกับคนอื่นจนไม่กล้าพูดและทำในสิ่งที่ควร อาจจะยากในการที่คุณจะเป็นผู้นำทีม เพราะมีจุดอ่อนด้านการตัดสินใจชี้ขาด แต่ถ้าอยู่ในตำแหน่งที่เป็นผู้ support ทีมจะเหมาะมาก และดีลกับผู้คนได้ดี งานด้านบริการน่าจะเหมาะกับพวก feeling เช่นกัน ถ้าเป็นพวก extrovert ด้วยเหมาะมากเป็นพิเศษที่จะเป็น care giver
ถ้าหาก feeling เป็นผู้ชายจะถูกมองว่าอ่อนแอได้ แต่บางคนก็ชอบผู้ชาย sensitive นะ ดูอบอุ่นอ่อนโยนดี พวก feeling ต้องระวังเรื่องใช้ความรู้สึกมากเกินไปจนปล่อยให้ตัวเองถูกเอารัดเอาเปรียบ โดนข่มเหงรังแก หากต้องอดทนมากๆอาจเกิดผลร้ายได้ ถ้ารู้สึกเจ็บปวดจากการกระทำของผู้อื่น ต้องบอกคนรอบข้างบ้าง ไม่ใช่เก็บกดไว้ในใจ เจ็บอยู่คนเดียว เพราะไม่อยากรบกวนคนอื่น กลัวว่าผู้อื่นจะต้องมาทุกข์ใจเพราะคุณ คิดถึงความรู้สึกของผู้อื่นมากจนเกินไป
การที่คุณคิดว่าคนอื่นจะเข้าอกเข้าใจและเห็นใจคุณเหมือนกับที่คุณรู้สึกกับเขา อาจจะเป็นการคิดของคุณเองฝ่ายเดียวก็ได้ คนเราไม่เหมือนกัน ถ้าคุณไม่บอก เขาก็ไม่รู้ และคุณอาจจะต้องทนจนเป็นฟางเส้นสุดท้าย ทำให้ทำอะไรที่ต้องเสียใจภายหลังได้
MBTI แนวทางในการใช้ชีวิต
แนวทางในการใช้ชีวิต
Judging กับ Perceiving J/P
พวก judging มีนิสัยซื่อสัตย์ รักความเป็นระเบียบ ชอบกฎเกณฑ์ รักษากฎระเบียบ จนไปถึงกฎหมาย และจะไม่ชอบมากถ้าใครแหกกฎ จึงอาจจะรักความยุติธรรมมาก หากบ้าสุขภาพ จะชอบออกกำลังกาย
ถ้ารักความสะอาด อาจจะออกมาในรูปกลัวเชื้อโรคขึ้นสมอง บางรายอาจจะแสดงออกในรูปของการวางแผนชีวิตที่มีความชัดเจน เช่น อายุแค่ไหนจะต้องทำอะไรสำเร็จแล้วบ้าง ถ้าฉันอายุเท่านี้จะต้องมีเงินเก็บตามที่ตั้งเป้าไว้ อายุเท่านี้ต้องมีบ้าน มีรถเป็นของตัวเอง หากจะสร้างครอบครัวต้องอายุเท่านี้ บางคนวางแผนไว้แม้กระทั่งจะมีลูกกี่คน และได้ตั้งชื่อลูกรอไว้แล้วด้วย
นอกจากนี้ยังเป็นพวก very productive เวลาว่างถ้าไม่ใช่สายสุขภาพ ชอบออกกำลังกาย จะมีงานอดิเรกเป็นชิ้นเป็นอัน เช่น ต่อจิ๊กซอว์ ถักโครเชต์ ทำงานไม้ ฯลฯ หากจริงจังอาจพัฒนาฝีมือจนเป็นอาชีพเสริม หรือหลักได้เลย มีเวลาว่างก็เหมือนไม่ว่าง แนวเด็กกิจกรรม เพราะจะมีโปรเจคตลอด เป็นสายขยัน มดงาน อาจถึงขั้นเสพติด อยู่ว่างไม่ได้ รู้สึกว่าต้องทำอะไรให้เป็นประโยชน์
ระวังหมดแรงเพราะยุ่งเกินไป ไม่มีเรื่องของตัวเอง ก็อาจชอบยุ่งเรื่องคนอื่น ถ้าเป็น extrovert ด้วย ตรงนี้จะยิ่งแรง สายกินเผือกเอามัน ยุ่งเรื่องชาวบ้านเป็นนิจ ด้านดีคือ ชอบช่วยเหลือโดยที่ไม่ต้องออกปากร้องขอ ชอบกิจกรรมที่ทำกับคนหมู่มาก หากไปเป็นจิตอาสาจะดี productive มากกว่า destructive
หากคุณเป็นพวก judging เรื่องที่จะทำอะไรไม่เป็นระบบระเบียบมีแบบแผนนั้นไม่มี ชีวิตจะเป็นพวกติดกรอบ ไม่ค่อยชอบออกนอกลู่นอกทาง ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีแพลนไว้ก่อนล่วงหน้า เป็นจอมวางแผนอย่างแท้จริง คือบางครั้งมีแผนก่อนที่จะวางแผนอีกที ชอบเขียน planning จะเป็นพวกชอบจดแผนการ บางครั้งอาจจะลงรายละเอียดถึงขั้นเป็นนาทีเลย
ถ้าได้มอบหมายงานอะไรมาจะต้องทำเสร็จก่อนล่วงหน้า ไม่มีการไปรอจนถึงใกล้ๆวันแล้วทำส่งเด็ดขาด พวก judging จะเกิดความเครียดมากได้ง่ายๆ ถ้าต้องรับมือกับอะไรที่เป็นสถานการณ์ล่วงหน้าไม่ได้คาดคิดมาก่อน และอาจจะบอกได้ว่าคน judging เป็นพวก perfectionist ก็ได้
เรื่องภายในบ้านนั้น judging จะจัดข้าวของที่บ้านอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีการจัดหมวดหมู่เป็นอย่างดี color coding มีป้าย label สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ใช้ทุกระบบของการจัดระเบียบ หากเอาไม้บรรทัดวัดได้พวกเขาก็จะวัดให้มีระยะห่างเท่าๆกัน และถึงแม้จะไม่ใช่บ้านของตัวเอง แต่ถ้าเห็นข้าวของรกไม่เรียบร้อย สกปรกก็จะไปจัดไปทำให้เขา เพราะเห็นแล้วอดไม่ได้ เหมือนคนโรคจิต
หากอยากจะทรมานพวก judging ไม่ยากเลย แค่คุณจับเขามัดไว้ติดกับเก้าอี้ เสร็จแล้วก็ทำห้องให้มันรกๆ judging จะอยู่ไม่ได้ค่ะ ทนไม่ได้ ข้อดีของ judging ก็คือการมีแผนนั่นแหละค่ะ มันทำให้เกิดผลสำเร็จในงาน เห็นความเป็นไปได้ชัดเจนขึ้น
แต่จุดอ่อนอย่างหนึ่ง คือ พวกเขารับมือกับเรื่องไม่คาดฝันได้ไม่ดี แม้จะมีการคาดการณ์ถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นแบบกระทันหัน และหาวางทางวางแผนรับมือล่วงหน้า คือ มี plan b,c,d,e,f… เท่าที่เวลาจะเอื้ออำนวยให้ได้แล้วก็ตาม ก็ยังเครียดอยู่ดี
ต้องจำไว้ว่าแผนอะไรก็สู้ธรรมชาติไม่ได้ และเราไม่อาจคาดการณ์รับมือไปได้ทุกสิ่งทุกอย่าง โลกนี้อะไรๆมันก็ไม่เที่ยงค่ะ อีกอย่างพวกนี้มีแนวโน้มจะเกลียดการ surprise มาก ข้อสำคัญที่ควรระวังของ judging คือความเครียด เพราะอาจจะนำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพในระยะยาวได้ อาจมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวกับความเครียด เช่น กระเพาะ ไมเกรน ฯลฯ
ฉะนั้นควรให้ความสำคัญกับการจัดการรับมือกับความเครียดของตนเองอย่างได้ผลให้มากๆ อีกอย่างที่ควรระวังคือ การเข้าไปจัดระเบียบชีวิตคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ขอ จะทำให้ไม่ลงรอย เกาเหลากับคนอื่นได้
ในมุมมองของคนทั่วไปนั้น perceiving มักจะถูกเข้าใจผิดว่า เป็นพวกไม่เอาไหน ขี้เกียจ หยิบโหย่ง ไม่กระตือรือร้น ไม่ทะเยอทะยาน เป็นคนยืดหยุ่นจนบางครั้งถึงขั้นหย่อนยาน ไม่มีแบบแผนอะไรเลย ห้องเช่าข้าวของก็จะรก หาอะไรไม่ค่อยจะเจอ มีงานมอบหมายให้ทำก็จะรอจนใกล้ๆวันก่อนให้ไฟลนก้น
ไม่ได้หมายความว่าพวก perceiving เป็นพวกไม่มีความรับผิดชอบ ไม่สนใจตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมาย ตรงกันข้ามเวลาทำงาน ไม่ว่าจะขี้เกียจไม่ชอบขนาดไหน แต่งานออกมาต้องดีและสำเร็จ ทำเต็มที่เต็มความสามารถเสมอ จะว่าไปก็ออกเหมือนแนวผักชีโรยหน้าอยู่เหมือนกัน เหตุเพราะว่าถ้าไม่ได้ชอบงานนั้นจริงๆ จะมีปัญหาในเรื่องขาดความกระตือรือร้นและหลุดโฟกัสได้ง่าย
จึงมักติดโรคเลื่อนว่าเอาไว้ทำตอนใกล้ๆวัน นอกจากนี้ยังเป็นพวกชอบอะไรสบายๆ take it easy ถ้าจะมีกีฬาอย่างหนึ่งที่พวกเขาเป็นคนอาสาขอลงแข่งละก็ คงจะเป็นการนอนมาราธอน เวลาว่างชอบจะพักผ่อนสบายๆมากกว่า จะไม่ทำอะไรที่ต้องลงมือลงแรง ใช้เวลามากๆ ถ้าไม่ได้ชอบหรือจำเป็นต้องทำจริงๆ ทำให้มีปัญหาตามมา นั่นคือ ความขี้เกียจ อาจจะก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย หมดไฟในการทำงานได้ง่ายๆ หรือหากตั้งใจว่าอยากริเริ่มลงมือทำสิ่งใหม่ๆ ก็จะเป็นโรคเดี๋ยวไว้ก่อนละกัน
จึงจำเป็นอย่างมากสำหรับพวกเขาที่จะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน แล้วความตั้งใจและไฟในการทำงานจะมาเองโดยที่ไม่ต้องบังคับหรือ built ให้ลำบาก แรงบันดาลใจอาจจะมาจากความอยากที่จะทำให้คนสำคัญในชีวิตมีความสุขสบายมากขึ้น หรืออาจจะเป็นเป้าหมายส่วนตัวที่อยากจะทำให้สำเร็จ
เมื่อไหร่ที่สิ่งนี้ชัดเจน จะมุ่งมั่นตั้งใจทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยได้เหมือนกัน ถ้าจะให้แนะนำ การเข้าคอร์สหรือการพาตัวเองเข้าไปอยู่ในระบบระเบียบ กฎเกณฑ์บางอย่าง จะมีส่วนช่วยอย่างมากในเบื้องต้น หากอยากจะฝึกนิสัยที่ขัดกับความรู้สึกตรงนี้ แล้วให้ตั้งใจนำกลับมาปฏิบัติต่อเนื่องจนเป็นนิสัยใหม่ การทำเช่นนี้จะมีส่วนช่วยอย่างมากที่จะประสบความสำเร็จในการทำให้ถึงจุดหมายที่ตั้งใจไว้
เหนือไปกว่านั้น perceiving เป็นพวกรักอิสระ บางรายอาจจะถึงขั้นเกลียดการถูกบังคับ กดดัน กะเกณฑ์ให้ทำอะไรที่ไม่ชอบ ถ้าเป็นพวก introvert มีความเป็นไปได้สูงที่จะดื้อเงียบ เพราะฉะนั้นความชอบอาจจะมาเหนือรายได้ เป็นพวกที่ดูแล้วเหมือนจะติส แต่ก็ไม่ถึงขั้นไม่อยากก้าวหน้า เพราะอย่างน้อยเวลาทำอะไรก็ตั้งใจทำจริงๆ หากเห็นว่าสิ่งนั้นมีประโยชน์กับตัวเอง แม้บางครั้งจะถูกบังคับก็ตาม
ไม่ใช่ว่าจะไม่ใส่ใจ ไม่รับผิดชอบ ไม่สนใจทำอะไรเลย และเอาตัวเองเป็นใหญ่ แต่เพราะมีอิสระสูง บางครั้งจึงไม่สนใจกฎเกณฑ์ต่างๆ รวมถึงความเห็นของคนอื่นในเรื่องที่ตัวเองชอบและตัดสินใจได้อยู่แล้ว แนวว่าถ้ามันเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ฉันก็มีกฎของตัวเอง แม้มันจะไม่ตรงกับกฎของคนโดยส่วนมากก็ตาม จึงมีแนวโน้มที่จะแหกกฎเล็กๆน้อยๆ ในแบบที่ไม่ได้ผิดอะไรมากมาย
พวก perceiving ที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงในสิ่งที่ตัวเองเห็นและเชื่อว่าดี บางรายอาจจะถึงขั้นดูเหมือนเป็นพวก anti-social ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเป็นพวก thinking ด้วยแล้ว ความช่างมันฉันไม่แคร์จะสูงมาก ไม่สนจริงๆว่าใครจะคิดยังไงก็สะดวกแบบนี้ โดยส่วนตัวแล้ว คิดว่า INTP จะเป็นพวกที่คาดเดาความคิด และจิตใจได้ยากมากที่สุดพวกหนึ่ง ทั้งโลกส่วนตัวสูง จินตนาการสูง มีความเป็นอิสระสูง และไม่สนใครจะคิดยังไงด้วย
perceiving มีข้อดีในข้อเสียก็คือความยืดหยุ่นนั่นแหละค่ะ การที่เขายืดหยุ่นก็ทำให้เขาพร้อมรับมือกับสถานการณ์และความเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ปรับตัวเก่งและรวดเร็ว มีความเครียดน้อย รวมทั้งการที่ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ก็คือ การไม่ติดกรอบ จะมีวิธีคิดที่บางครั้ง เป็นทางลัด หรือหาทางเลี่ยง
ถ้าจะพูดให้ดูดีก็คือ มีจินตนาการแปลกๆใหม่ๆ ชอบลองอะไรแปลกๆใหม่ๆ เพราะมีทฤษฎีเป็นของตัวเอง เลยดูเหมือนหยิบโหย่งจับอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ข้อดีที่ใช้ได้จริง ก็มาจากการลองเยอะๆเพื่อเก็บข้อมูล แล้วนำไปประยุกต์ ประดิษฐ์คิดค้นอะไรต่อมิอะไรของเขาเองนั่นแหละ ถ้าต้องตัดสินใจรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าแบบไม่ได้ตั้งตัว การไม่ยึดติดและยืดหย่นสูงนี่เองที่อาจจะทำให้มีสติและจินตนาการมากกว่าพวก judging ในการมองเห็นปัญหาและหาทางแก้ไขได้เร็วกว่า
เห็นบางสิ่งบางอย่างที่ยอดเยี่ยมชนิดที่ไม่มีใครคาดถึงว่าจะค้นพบมาก่อนได้ การได้หลงออกนอกลู่นอกทางบ้าง มันก็เป็นการดี ในด้านการเพิ่มประสบการณ์และมุมมองใหม่ๆในการใช้แก้ปัญหา มากกว่าการที่เราทำดี ถูกต้อง ตรงอย่างที่คิดและตั้งใจไว้ไปทุกๆอย่าง ดังนั้นสำหรับ perceiving แล้ว คติประจำใจ คือ the best plan is no plan
พวกเราทุกคนที่เติบโตผ่านประสบการณ์มามากพอจะรู้ดีว่า ตอนเราทำผิดนั้นเป็นที่จดจำมากกว่าตอนเราทำถูก และครูที่ดีที่สุดที่สอนบทเรียนชีวิตให้กับเรา คือการได้ลองผิดลองถูก ได้ทำมันจริงๆ แล้วรู้อย่างแท้จริงว่าสิ่งไหน work กับเรา ไม่ใช่การตั้งเป้าเอาไว้ แล้วคิดและจินตนาการเอาว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้น่าจะเหมาะกับเรา ใช่ว่าการมีจินตนาการไม่ดี แต่จินตนาการนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริง จึงจะนำมาใช้ประโยชน์ได้ ทั้งสองอย่างนี้จึงควรมีควบคู่กัน เพื่อที่ว่าเมื่อเราคาดหวังแล้วสิ่งที่ได้ไม่ตรงกับความจริง
เพราะมีข้อจำกัดต่างๆนอกเหนือการควบคุม เรายังอาจปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมได้ สิ่งเหล่านี้จะประสบผลหรือไม่อยู่ที่การสั่งสมประสบการณ์ ผ่านการลงมือทำ แล้วได้แก้ปัญหามามากพอแล้วเท่านั้น อาจจะพูดได้ว่าหากพวกเขาได้ลงมือทำจริงมามากพอ perceiving จะเป็นพวกพึ่งพาได้ดีมากในเวลาคับขัน
ขอแนะนำว่าเน้นให้ learning by doing จะ work มากกับ perceiving ถ้าเป็นสิ่งที่ชอบหรืออยากลองทำด้วยตัวเองได้ยิ่งดี เพราะจะมีความกระตือรือร้นในการหัด การเรียนรู้ ไม่ขี้เกียจ แม้จะยากถ้าสนุก ชอบ จะไปได้ดี อาจเป็นเพราะธรรมชาติเป็นพวกรักอิสระมาก บางทีจะต่อต้านหากรู้สึกว่าถูกยัดเยียดให้ทำอะไรที่เจ้าตัวรู้สึกไม่โอเค ควรใช้วิธีจูงใจ หรือการกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นจะดีกว่า
ขอตั้งข้อสังเกตุส่วนตัวอย่างหนึ่งว่า ดูแล้วคนไทยแสดงถึงออกแนวทางการใช้ชีวิต แบบ perceiving เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่ว่า เป็นคนรักอิสระ สบายๆ (อาจจะเคยโดนคนต่างชาติมองว่าขี้เกียจ ไม่กระตือรือร้น ไม่ทะเยอทะยาน) หรือที่ว่า ทำอะไรตามใจคือไทยแท้ (อยู่เหนือกฎเกณฑ์ ชอบแหกกฎ) รวมถึงมีความคิดสร้างสรรค์ เช่น ชอบเล่นคำ แต่งกลอน ฯลฯ มีปรากฎชัดเจนในภาษาและวัฒนธรรมไทย หลายๆอย่างอยู่บนพื้นฐานนี้
พูดโดยสรุปได้ว่า ปกติแล้วคนเราทุกคนก็มีส่วนผสมของทั้งสองอย่างนั่นแหละค่ะ ไม่มีใครสุดโต่งแบบที่ใช้ในชีวิตจริงไม่ได้ เพราะชีวิตคนเราบางครั้งมันก็ต้องเจอกับข้อจำกัด และอาจจะต้องปรับตัวเองจาก judging เป็น perceiving และ perceiving เป็น judging สลับกันไปมาแบบนี้ตามแต่สถานการณ์จะพาไป แต่ถ้าให้เลือกตามความชอบและความคุ้นเคยส่วนตัว judging ก็ยังคงจะเป็นตัวเอง
เหมือนที่ perceiving ก็ยังคงชอบทำตัวแบบง่ายๆสบายๆมากกว่า ไม่ค่อยมีใครอยากจะเปลี่ยนหรอกค่ะ มันเป็นความยึดติดทางความคิด รวมถึงความเคยชิน ซึ่งมันเป็นอะไรที่เลิกได้ยากและมักจะเป็นอัตโนมัติชนิดที่ไม่ทันคิด
สิ่งเหล่านี้อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอย่างเช่น ประสบการณ์ และการให้เวลาในการปรับตัว แล้วยังขึ้นอยู่กับทัศนคติ เช่น คุณปล่อยวางเป็นหรือเปล่า? มีความยึดมั่นถือมั่นมากแค่ไหน? หากสามารถปรับสมดุลของทั้งการเป็น judging และ perceiving ให้เข้ากับจังหวะชีวิตของตัวเองได้ คุณก็จะพบสิ่งดีๆของทั้ง 2 อย่าง แล้วชีวิตคุณก็จะมีความสุขมากขึ้น ทั้งประสบความสำเร็จในชีวิต บริหารจัดการเวลาของตัวเองได้ดีขึ้น รวมทั้งรู้จักปล่อยวาง ปรับตัว พักผ่อนมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีทั้งทางร่างกายและจิตใจ
สรุป
รวมที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นแค่ความแตกต่างของลักษณะนิสัยและบุคลิกภาพของมนุษย์ ย้ำว่าไม่มีอันไหนดีกว่าอันไหน มันอยู่ที่การปรับสมดุลมากกว่า ถ้าจะให้ดีควรจะพิจารณาให้เป็นปัจจุบันขณะด้วย ว่าเมื่อไหร่เราควรจะเป็นอะไร และตอบสนองกับสิ่งต่างๆยังไง คุณจะทำได้ก็ต่อเมื่อคุณมีสติ ระลึกรู้สึกตัว ไม่อย่างนั้นคุณก็จะตกเป็นทาสของสิ่งที่คุณเป็น กระทำตามกิเลสและความอยาก ความเคยชิน
หากอยากเปลี่ยนแปลงก็ต้องฝืนฝึกนิสัยใหม่ แม้มันจะยาก แต่อย่างน้อยอาจจะมีส่วนช่วยให้คุณไม่ไหลไปในทางที่ไม่ดี หากคุณมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวเองแล้ว คือเข้าใจตัวเองมากขึ้น ความรู้นี้ยังจะช่วยให้คุณได้รู้จักคนรอบข้าง รวมถึงคนที่จะมีความเกี่ยวข้องด้วยไม่ว่าจะด้านงานหรือส่วนตัวดียิ่งขึ้น เมื่อมีความเข้าใจอันดีพร้อมกับลดอคติ และทัศนะคติที่ไม่ดีที่มีต่อกันลง ความสัมพันธ์ที่มีกับคนรอบข้างก็จะดีขึ้นด้วย
หากรู้จักปรับใช้ เราทุกคนจะรู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเองและผู้อื่น ทำให้มีใจเมตตาไม่คิดเบียดเบียนซึ่งกันและกัน เพียงเพราะว่าเขาแตกต่างจากเรา เมื่อนั้นเราก็จะอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข
โฆษณา