19 ธ.ค. เวลา 03:56 • สุขภาพ

ปัญหาไฟฟ้าตกและไฟฟ้าไม่เพียงพอในโรงพยาบาลของประเทศไทย🇹🇭: ความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไข

ปัญหาไฟฟ้าตกและไฟฟ้าไม่เพียงพอในโรงพยาบาลของประเทศไทยส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการให้บริการทางการแพทย์ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและโรงพยาบาลที่มีทรัพยากรจำกัด ไฟฟ้าที่ไม่เสถียรไม่เพียงแต่เพิ่มความเสี่ยงต่อชีวิตของผู้ป่วย แต่ยังทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น บทความนี้จะอธิบายถึงสาเหตุเชิงลึกของปัญหาไฟตก ผลกระทบที่เกิดขึ้น และแนวทางแก้ไขเพื่อให้โรงพยาบาลในประเทศไทยสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง
🔥สาเหตุของการเกิดไฟตกในโรงพยาบาล🔥
1. โครงสร้างระบบไฟฟ้าที่ล้าสมัย
โครงสร้างพื้นฐานระบบไฟฟ้าที่ล้าสมัยในประเทศไทยยังคงเป็นปัญหาสำคัญ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและโรงพยาบาลที่ไม่ได้รับการปรับปรุงระบบอย่างเหมาะสม รายละเอียดและตัวอย่างของปัญหามีดังนี้:
• หม้อแปลงไฟฟ้าขนาดเล็ก: หม้อแปลงที่ใช้ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในชนบท มักมีขนาดเล็กเกินไปและรองรับพลังงานไฟฟ้าได้ไม่เพียงพอสำหรับการใช้งานในโรงพยาบาล เช่น หม้อแปลงขนาด 50 kVA ที่รองรับการใช้งานในชุมชนขนาดเล็ก ไม่สามารถรองรับการใช้งานของเครื่องมือแพทย์ขนาดใหญ่ เช่น CT Scanner หรือ MRI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• สายส่งไฟฟ้าที่เก่า: สายส่งไฟฟ้าที่มีอายุการใช้งานนานกว่า 30 ปี มักมีปัญหาการสูญเสียแรงดันไฟฟ้าระหว่างทาง (Voltage Drop) โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล เช่น โรงพยาบาลในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ตั้งอยู่ห่างจากสถานีไฟฟ้าย่อยกว่า 20 กิโลเมตร
• ระบบจ่ายไฟฟ้าหนึ่งเฟส: ในบางพื้นที่ชนบท โรงพยาบาลยังคงใช้ระบบจ่ายไฟแบบหนึ่งเฟส (Single-phase) ซึ่งไม่เหมาะสมสำหรับอุปกรณ์การแพทย์ที่ต้องการแรงดันไฟฟ้าสูง เช่น ระบบทำความเย็นสำหรับเก็บวัคซีนและเลือด หรือระบบปรับอากาศในห้อง ICU
ตัวอย่าง:
• โรงพยาบาลระดับอำเภอในจังหวัดน่าน พบว่า แรงดันไฟฟ้าลดลงเหลือเพียง 180 โวลต์ในช่วงกลางวัน เมื่อความต้องการพลังงานเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เครื่องเอกซเรย์ดิจิทัลไม่สามารถทำงานได้ และต้องยกเลิกการตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยในวันนั้น
• ในจังหวัดสุรินทร์ โรงพยาบาลชนบทแห่งหนึ่งใช้หม้อแปลงขนาดเล็กที่ไม่ได้ปรับปรุงมานานกว่า 15 ปี เมื่อมีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศเพิ่มเติมในอาคารใหม่ ระบบไฟฟ้าล้มเหลวทันทีเมื่อใช้งานพร้อมกัน
2. การใช้พลังงานไฟฟ้าสูงภายในโรงพยาบาล
โรงพยาบาลเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าสูงที่สุด เนื่องจากต้องรองรับอุปกรณ์การแพทย์ที่ซับซ้อน ระบบสนับสนุนภายใน และความต้องการพลังงานสำหรับการดำเนินงานทั่วไป รายละเอียดของการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงในโรงพยาบาลมีดังนี้:
• อุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้พลังงานสูง:
• เครื่อง CT Scanner และ MRI เป็นอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานมากที่สุด โดย CT Scanner ใช้พลังงาน 120-150 kVA ต่อเครื่อง และ MRI ใช้พลังงานเฉลี่ย 50-100 kVA ต่อการสแกน
• เครื่องเอกซเรย์ดิจิทัลและเครื่องวิเคราะห์เลือดแบบอัตโนมัติ ก็ต้องการพลังงานสูง โดยเฉพาะเมื่อใช้งานพร้อมกันในห้องแล็บที่มีการทำงานตลอด 24 ชั่วโมง
• ตัวอย่าง: ในโรงพยาบาลระดับอำเภอในจังหวัดสระบุรี เมื่อเปิดใช้งาน CT Scanner พร้อมกับเครื่องเอกซเรย์ ระบบไฟฟ้าภายในเกิดแรงดันไฟฟ้าตก ทำให้เครื่องมือทั้งสองหยุดทำงานพร้อมกัน
• ระบบทำความเย็นและปรับอากาศ:
• โรงพยาบาลทุกแห่งต้องใช้เครื่องปรับอากาศและระบบทำความเย็นสำหรับพื้นที่ที่ต้องการอุณหภูมิควบคุม เช่น ห้องผ่าตัด ห้อง ICU และห้องเก็บวัคซีน
• การใช้งานเครื่องปรับอากาศในโรงพยาบาลขนาดกลางอาจใช้พลังงานสูงถึง 30-50 kVA ในช่วงกลางวัน โดยเฉพาะในฤดูร้อนที่ความต้องการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างมาก
• ตัวอย่าง: โรงพยาบาลในภาคตะวันออกเฉียงเหนือรายงานว่าระบบทำความเย็นในห้องผ่าตัดหยุดทำงานชั่วขณะในช่วงบ่าย เนื่องจากไฟตกจากการใช้งานระบบปรับอากาศพร้อมกันในทุกอาคาร
• อุปกรณ์สนับสนุนทั่วไปในโรงพยาบาล:
• นอกเหนือจากอุปกรณ์การแพทย์แล้ว โรงพยาบาลยังใช้ไฟฟ้าสำหรับระบบไฟส่องสว่างในอาคาร ระบบลิฟต์สำหรับขนย้ายผู้ป่วย และระบบน้ำร้อนสำหรับการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ
• ระบบไฟฟ้าสำหรับห้องแล็บ เช่น ตู้แช่แข็งเก็บตัวอย่างเลือดหรือยา สามารถใช้พลังงานสูงถึง 10 kVA ต่อเครื่อง หากมีการใช้งานพร้อมกันหลายเครื่อง อาจทำให้แรงดันไฟฟ้าภายในลดลง
• ช่วงเวลาที่พลังงานถูกใช้สูงสุด (Peak Load):
• ช่วงเช้าและกลางวันมักเป็นเวลาที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามากที่สุด เนื่องจากมีการเปิดใช้งานอุปกรณ์การแพทย์พร้อมกัน การทำงานในห้องแล็บ และระบบสนับสนุน เช่น ลิฟต์และระบบทำความเย็น
• ตัวอย่าง: ในโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่งในภาคใต้ ช่วงเวลาประมาณ 10:00-14:00 น. เป็นช่วงที่แรงดันไฟฟ้าภายในลดลงเหลือเพียง 180-200 โวลต์ ส่งผลให้ต้องเลื่อนการใช้งานเครื่องมือบางประเภทไปในช่วงบ่ายแทน
3. ภัยธรรมชาติและความเสี่ยงภายนอก
• พายุฝนฟ้าคะนองทำให้สายส่งไฟฟ้าหรือหม้อแปลงชำรุด ส่งผลให้เกิดไฟตกหรือไฟดับชั่วคราว
• น้ำท่วมในพื้นที่เสี่ยง เช่น ภาคใต้ ส่งผลให้ระบบไฟฟ้าได้รับความเสียหาย และโรงพยาบาลต้องพึ่งพาเครื่องปั่นไฟที่อาจไม่เพียงพอ
4. ความล้มเหลวของระบบไฟฟ้าสำรอง
• เครื่องปั่นไฟสำรองในโรงพยาบาลบางแห่งมีอายุการใช้งานเกิน 10 ปี และไม่ได้รับการบำรุงรักษา ทำให้ระบบสำรองไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าได้อย่างเสถียร
• น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องปั่นไฟมักเพียงพอสำหรับการใช้งานระยะสั้น หากไฟฟ้าดับเป็นเวลานาน อุปกรณ์จะหยุดทำงาน
🚨ผลกระทบของไฟตกในโรงพยาบาล🚨
1. ไฟตกส่งผลต่อ UPS และ Inverter
• UPS (Uninterruptible Power Supply): ไฟตกบ่อยครั้งทำให้แบตเตอรี่ของ UPS ถูกใช้งานอย่างต่อเนื่อง แม้ในสถานการณ์ที่ไม่จำเป็น ส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้นและมีอายุการใช้งานลดลง
• หากไฟตกบ่อยในระยะเวลาสั้น UPS อาจไม่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เต็มประสิทธิภาพทันเวลา ทำให้ในกรณีฉุกเฉิน UPS อาจไม่สามารถจ่ายพลังงานสำรองได้เพียงพอ
• Inverter: ระบบ Inverter ที่ช่วยเปลี่ยนไฟ DC เป็นไฟ AC อาจได้รับผลกระทบจากแรงดันไฟฟ้าที่ผันผวน ซึ่งอาจทำให้วงจรภายในเสียหาย หรือระบบเกิดความล่าช้าในการจ่ายพลังงานสำรอง
2. อุปกรณ์การแพทย์ที่ขัดข้อง
การไฟตกส่งผลให้อุปกรณ์สำคัญ เช่น เครื่องช่วยหายใจและเครื่องฟอกไต หยุดทำงานชั่วขณะ หรือได้รับความเสียหาย ในบางกรณีต้องใช้วิธีช่วยชีวิตด้วยมืออย่างเร่งด่วน ซึ่งเพิ่มภาระงานให้กับเจ้าหน้าที่
3. การบริการในห้องฉุกเฉินและ ICU
ไฟตกในห้อง ICU ส่งผลให้เครื่องเฝ้าติดตามการทำงานของหัวใจและเครื่องช่วยชีวิตหยุดชะงัก การสลับไปใช้ระบบสำรองที่ล่าช้าอาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่อชีวิตของผู้ป่วย
4. การสูญเสียวัคซีนและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์
วัคซีนและเลือดที่ต้องเก็บในอุณหภูมิควบคุม อาจเสื่อมคุณภาพหากเกิดไฟตกบ่อยครั้ง จากการศึกษาในปี 2564 พบว่า กว่า 20% ของวัคซีนในโรงพยาบาลชนบทได้รับความเสียหาย เนื่องจากไฟฟ้าขัดข้อง
5. ต้นทุนทางการเงินและความเสียหายระยะยาว
ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมอุปกรณ์ที่เสียหายจากไฟตกเฉลี่ยปีละ 500,000-2,000,000 บาทต่อโรงพยาบาล ซึ่งเพิ่มภาระให้กับงบประมาณในระบบสาธารณสุข
♻️แนวทางแก้ไขปัญหาไฟตกและไฟฟ้าไม่เพียงพอในโรงพยาบาล♻️
1. การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้า
• ติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่:
โรงพยาบาลควรประเมินความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงสุด (Peak Load) และติดตั้งหม้อแปลงที่รองรับพลังงานได้อย่างเพียงพอ เช่น หม้อแปลงขนาด 500-2,500 kVA สำหรับโรงพยาบาลระดับอำเภอและโรงพยาบาลศูนย์
• ปรับปรุงสายส่งไฟฟ้า:
ในพื้นที่ชนบทที่สายส่งไฟฟ้ามีอายุการใช้งานนาน ควรมีการเปลี่ยนสายไฟใหม่ที่ลดการสูญเสียแรงดันไฟฟ้า (Voltage Drop) และเพิ่มความทนทานต่อภัยธรรมชาติ เช่น สายไฟฟ้าใต้ดินที่ทนต่อลมแรงและน้ำท่วม
• อัปเกรดระบบจ่ายไฟจากหนึ่งเฟสเป็นสามเฟส:
เพื่อรองรับการใช้งานอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานสูง เช่น เครื่อง MRI และระบบปรับอากาศในห้อง ICU
2. การจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
• ติดตั้งระบบควบคุมพลังงานแบบอัจฉริยะ (Energy Management System):
ระบบนี้ช่วยตรวจสอบการใช้พลังงานในเวลาจริง (Real-time Monitoring) และจัดลำดับการใช้งานอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูง เช่น การกำหนดให้ CT Scanner และเครื่องเอกซเรย์ทำงานคนละช่วงเวลา เพื่อลดความต้องการพลังงานสูงสุด
• วางแผนการใช้งานพลังงาน:
โรงพยาบาลสามารถปรับเวลาการใช้งานอุปกรณ์ที่ไม่เร่งด่วน เช่น การตรวจวิเคราะห์ในห้องแล็บ ให้เป็นช่วงเวลาที่ความต้องการไฟฟ้าลดลง (Off-peak Hours)
• เพิ่มประสิทธิภาพอุปกรณ์ไฟฟ้า:
เปลี่ยนอุปกรณ์เก่าที่กินไฟ เช่น เครื่องปรับอากาศและระบบแสงสว่าง ให้เป็นอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน เช่น เครื่องปรับอากาศแบบ Inverter และหลอดไฟ LED
3. การลงทุนในระบบไฟฟ้าสำรอง
• เพิ่มจำนวนเครื่องปั่นไฟสำรอง:
โรงพยาบาลควรติดตั้งเครื่องปั่นไฟที่สามารถรองรับการใช้งานต่อเนื่องได้อย่างน้อย 24 ชั่วโมงในกรณีไฟฟ้าดับ โดยเครื่องปั่นไฟควรมีขนาดที่เหมาะสมกับขนาดโรงพยาบาล เช่น เครื่องปั่นไฟขนาด 1,000-2,500 kVA สำหรับโรงพยาบาลศูนย์
• บำรุงรักษาเครื่องปั่นไฟ:
กำหนดตารางการตรวจสอบและบำรุงรักษาเครื่องปั่นไฟเป็นประจำทุก 6 เดือน เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องสามารถทำงานได้ในกรณีฉุกเฉิน
• อัปเกรดแบตเตอรี่ของ UPS:
เลือกใช้แบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น เช่น แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Lithium-ion Battery) ที่สามารถจ่ายพลังงานได้อย่างต่อเนื่องและเสถียร
4. การส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน
• ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์และระบบกักเก็บพลังงาน:
โรงพยาบาลสามารถใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากโครงข่ายหลัก โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลในภาคเหนือที่ใช้โซลาร์เซลล์สามารถลดปัญหาไฟตกได้ถึง 80%
• พัฒนา Microgrid สำหรับโรงพยาบาล:
Microgrid คือระบบผลิตและจ่ายไฟฟ้าขนาดเล็กที่สามารถทำงานได้อย่างอิสระจากโครงข่ายไฟฟ้าหลัก เช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับเครื่องปั่นไฟและแบตเตอรี่สำรอง
5. การจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ
• ปรับปรุงโครงสร้างสายส่งไฟฟ้า:
ในพื้นที่เสี่ยงต่อน้ำท่วม ควรเปลี่ยนสายส่งไฟฟ้าเหนือดินให้เป็นสายใต้ดินเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
• ติดตั้งระบบป้องกันไฟกระชาก:
เช่น Surge Protector เพื่อป้องกันความเสียหายต่ออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เกิดจากไฟฟ้าผันผวนระหว่างพายุฝนฟ้าคะนอง
• จัดทำแผนฉุกเฉิน:
โรงพยาบาลควรกำหนดขั้นตอนการรับมือไฟฟ้าดับ เช่น การจัดเตรียมเครื่องปั่นไฟสำรองและการฝึกซ้อมสถานการณ์จำลอง (Drill) อย่างสม่ำเสมอ
6. การสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน
• สนับสนุนงบประมาณ:
รัฐบาลควรจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการพัฒนาระบบไฟฟ้าในโรงพยาบาล เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์หรือการเปลี่ยนหม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่
• ความร่วมมือกับเอกชน:
ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลและบริษัทเอกชนในการจัดหาอุปกรณ์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง หรือการออกแบบระบบพลังงานที่เหมาะสม
• อบรมเจ้าหน้าที่:
จัดการอบรมบุคลากรเกี่ยวกับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการบำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น การตรวจสอบระบบ UPS และเครื่องปั่นไฟ
⚡️ตัวอย่างการคำนวณพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ตามมาตรฐาน พร้อม Safety Factors⚡️
โรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีทุกแผนกทางการแพทย์และเครื่องมือครบครัน เช่น ICU, ห้องผ่าตัด, ห้องแล็บ, MRI, CT Scanner และระบบสนับสนุนอื่น ๆ ต้องมีการคำนวณพลังงานไฟฟ้าให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น NFPA 70 (National Electrical Code - NEC), IEC 60364 หรือ ASHRAE 90.1 รวมถึงการเผื่อ Safety Factors เพื่อความปลอดภัยในกรณีที่มีความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นหรือเกิดเหตุฉุกเฉิน
1. ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในแผนกต่าง ๆ
1.1 แผนกฉุกเฉิน (Emergency Department)
• อุปกรณ์:
• เครื่องช่วยหายใจ (Ventilator): 10 เครื่อง × 1.5 kVA = 15 kVA
• ระบบไฟฟ้าสำหรับห้องฉุกเฉิน: 5 kVA
• รวม: 20 kVA
1.2 แผนก ICU (Intensive Care Unit)
• อุปกรณ์:
• เครื่องช่วยหายใจ: 30 เครื่อง × 1.5 kVA = 45 kVA
• เครื่องเฝ้าติดตามผู้ป่วย (Patient Monitor): 30 เครื่อง × 0.5 kVA = 15 kVA
• ระบบปรับอากาศเฉพาะ ICU: 20 kVA
• รวม: 80 kVA
1.3 ห้องผ่าตัด (Operating Room)
• อุปกรณ์:
• หลอดไฟในห้องผ่าตัด: 10 ห้อง × 2 kVA = 20 kVA
• เครื่องดมยาสลบ: 10 เครื่อง × 2 kVA = 20 kVA
• ระบบปรับอากาศเฉพาะห้องผ่าตัด: 10 ห้อง × 5 kVA = 50 kVA
• รวม: 90 kVA
1.4 แผนกภาพวินิจฉัย (Radiology Department)
• อุปกรณ์:
• CT Scanner: 2 เครื่อง × 150 kVA = 300 kVA
• MRI: 2 เครื่อง × 100 kVA = 200 kVA
• เครื่องเอกซเรย์ดิจิทัล: 3 เครื่อง × 30 kVA = 90 kVA
• รวม: 590 kVA
1.5 ห้องแล็บ (Laboratory)
• อุปกรณ์:
• เครื่องวิเคราะห์เลือด: 5 เครื่อง × 10 kVA = 50 kVA
• ตู้แช่แข็งเก็บวัคซีน: 10 เครื่อง × 5 kVA = 50 kVA
• ระบบไฟฟ้าสำหรับแล็บและอุปกรณ์เสริม: 20 kVA
• รวม: 120 kVA
1.6 ระบบสนับสนุนทั่วไป (General Support System)
• อุปกรณ์:
• ระบบลิฟต์: 6 ลิฟต์ × 10 kVA = 60 kVA
• ระบบปรับอากาศทั้งอาคาร: 600 kVA
• ระบบไฟส่องสว่าง: 300 kVA
• ระบบน้ำร้อนและฆ่าเชื้อ: 100 kVA
• รวม: 1,060 kVA
2. สรุปพลังงานไฟฟ้าที่ต้องใช้
3. เพิ่ม Safety Factors
มาตรฐาน NFPA 70 และ IEC 60364 แนะนำให้เผื่อ Safety Factor ไว้ที่ 25% ของความต้องการพลังงานสูงสุด:
• ความต้องการพลังงานสูงสุด: 1,960 kVA
• เผื่อ Safety Factor: 1,960 × 0.25 = 490 kVA
• พลังงานรวมที่ต้องการ: 1,960 + 490 = 2,450 kVA
4. ขนาดหม้อแปลงไฟฟ้าที่แนะนำ
เพื่อให้รองรับความต้องการไฟฟ้าพร้อม Safety Factor ควรเลือกหม้อแปลงไฟฟ้าขนาด 2,500 kVA เป็นอย่างต่ำ
5. ขนาดเครื่องปั่นไฟสำรองที่แนะนำ
เครื่องปั่นไฟสำรองควรมีขนาดใกล้เคียงกับความต้องการพลังงานสูงสุดที่รวม Safety Factor:
• ขนาดเครื่องปั่นไฟ: 2,450 kVA × 1.1 (เผื่อการใช้งานต่อเนื่อง) = 2,695 kVA
• แนะนำ: ใช้เครื่องปั่นไฟขนาด 2,700 kVA
6. การกระจายโหลดไฟฟ้าในโรงพยาบาล
การกระจายโหลดไฟฟ้า (Load Balancing) ในโรงพยาบาลมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากโรงพยาบาลมีภาระโหลด (Load) ที่หลากหลาย ทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ ระบบสนับสนุน และความต้องการไฟฟ้าสำหรับพื้นที่ต่าง ๆ หากการกระจายโหลดไม่เหมาะสม อาจทำให้ระบบไฟฟ้าทำงานหนักเกินไป เกิดไฟตก หรือเกิดปัญหาไฟฟ้าดับในบางส่วนของโรงพยาบาล
หลักการกระจายโหลดไฟฟ้าในโรงพยาบาล
1. แยกโหลดตามความสำคัญ (Priority Load Segmentation):
โหลดไฟฟ้าควรแบ่งตามระดับความสำคัญ เช่น
• โหลดสำคัญสูง (Critical Load): เช่น ICU, ห้องผ่าตัด, ห้องฉุกเฉิน ซึ่งต้องการไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ไม่สามารถขัดจังหวะได้
• โหลดสำคัญรอง (Semi-Critical Load): เช่น ห้องแล็บ, แผนกรังสีวินิจฉัย
• โหลดทั่วไป (Non-Critical Load): เช่น ระบบไฟส่องสว่างทั่วไป, ระบบปรับอากาศในสำนักงาน
2. จัดกลุ่มโหลดตามลักษณะการใช้งาน (Functional Grouping):
โหลดไฟฟ้าที่มีลักษณะการใช้งานใกล้เคียงกันควรจัดไว้ในวงจรเดียวกัน เช่น
• โหลดระบบปรับอากาศ (HVAC System)
• โหลดอุปกรณ์การแพทย์
• โหลดระบบสนับสนุน เช่น ลิฟต์และน้ำร้อน
3. ใช้ตู้ควบคุมแยกโหลด (Electrical Panels):
การใช้ตู้ควบคุมแยกสำหรับแต่ละแผนกหรือระบบ เช่น
• ตู้ควบคุมไฟฟ้าสำหรับ ICU
• ตู้ควบคุมไฟฟ้าสำหรับระบบลิฟต์
• ตู้ควบคุมไฟฟ้าสำหรับแผนกภาพวินิจฉัย
4. กระจายโหลดให้สมดุลในแต่ละเฟส (Phase Balancing):
• ในระบบไฟฟ้าสามเฟส (Three-Phase System) โหลดควรกระจายให้สมดุลในแต่ละเฟส เพื่อลดความเสี่ยงต่อแรงดันไฟฟ้าที่ไม่สมดุล (Unbalanced Voltage)
5. แยกโหลดที่มีความผันผวนสูง (Dynamic Load Isolation):
โหลดที่มีการเปลี่ยนแปลงกระแสไฟฟ้าบ่อย เช่น เครื่อง MRI หรือ CT Scanner ควรมีวงจรแยกเฉพาะเพื่อป้องกันผลกระทบต่ออุปกรณ์อื่น
6. จัดสำรองโหลดสำคัญ (Backup for Critical Load):
• โหลดสำคัญควรเชื่อมต่อกับ UPS หรือระบบสำรองไฟฟ้าทันที (Emergency Power Supply) เช่น เครื่องปั่นไฟ
• ห้อง ICU และห้องผ่าตัดควรมี UPS สำรองที่สามารถจ่ายไฟได้อย่างน้อย 30 นาที จนกว่าเครื่องปั่นไฟจะเริ่มทำงาน
ตัวอย่างการกระจายโหลดไฟฟ้าในโรงพยาบาล
ตัวอย่างโครงสร้างการกระจายโหลด
1. ระบบไฟฟ้าหลัก (Main Power Supply)
• แยกหม้อแปลงไฟฟ้าสำหรับโหลดสำคัญสูงและโหลดทั่วไป
• ใช้ตู้ควบคุม (Distribution Boards) สำหรับแต่ละแผนก
2. ระบบสำรองไฟ (Backup Power Supply)
• เครื่องปั่นไฟสำรองจ่ายพลังงานให้โหลดสำคัญสูงและสำคัญรอง
• UPS จ่ายพลังงานระหว่างที่เครื่องปั่นไฟเริ่มทำงาน
3. ตัวอย่างการกระจายโหลดในระบบสามเฟส
ข้อดีของการกระจายโหลดที่เหมาะสม
1. ลดความเสี่ยงต่อไฟตก: การแยกโหลดสำคัญช่วยให้ระบบไฟฟ้าหลักไม่ทำงานหนักเกินไป
2. เพิ่มเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า: โหลดที่สมดุลในแต่ละเฟสช่วยลดแรงดันไฟฟ้าที่ไม่สมดุล
3. ลดค่าใช้จ่าย: การจัดการโหลดช่วยลดการสูญเสียพลังงานไฟฟ้าในระบบ
4. เพิ่มความปลอดภัย: ระบบสำรองสำหรับโหลดสำคัญช่วยให้การทำงานในโรงพยาบาลไม่สะดุดในกรณีฉุกเฉิน
บทสรุป
โรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีทุกแผนกทางการแพทย์และเครื่องมือครบครันต้องใช้พลังงานไฟฟ้าประมาณ 2,450 kVA พร้อม Safety Factor เพื่อความปลอดภัยและความเสถียรในระบบ ควรติดตั้งหม้อแปลงขนาด 2,500 kVA และเครื่องปั่นไฟสำรองขนาด 2,700 kVA รวมถึงมีการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพและระบบไฟสำรองที่เหมาะสมเพื่อรองรับความต้องการในกรณีฉุกเฉิน
บทสรุป
โรงพยาบาลในประเทศไทย โดยเฉพาะโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่รองรับผู้ป่วยจำนวนมากและมีทุกแผนกทางการแพทย์ ต้องพึ่งพาไฟฟ้าที่เสถียรและต่อเนื่องเพื่อการดำเนินงานที่ไม่สะดุด อย่างไรก็ตาม ปัญหาไฟฟ้าตกและไฟฟ้าไม่เพียงพอยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ ส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์การแพทย์ ระบบสนับสนุน และความปลอดภัยของผู้ป่วย สาเหตุหลักของปัญหามาจากโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้าที่ล้าสมัย การใช้พลังงานไฟฟ้าสูงในบางแผนก และภัยธรรมชาติ เช่น พายุหรือน้ำท่วม
นอกจากนี้ การสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน เช่น การจัดสรรงบประมาณ การพัฒนาระบบไฟฟ้า และการอบรมบุคลากรด้านการจัดการพลังงานไฟฟ้า จะช่วยให้โรงพยาบาลสามารถปรับตัวและเพิ่มเสถียรภาพด้านพลังงานในระยะยาว
การแก้ไขปัญหาไฟฟ้าตกและไฟฟ้าไม่เพียงพอในโรงพยาบาลเป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบ การลงทุนในเทคโนโลยีที่ทันสมัย และการบริหารจัดการพลังงานอย่างเป็นระบบ การดำเนินการเหล่านี้จะช่วยให้โรงพยาบาลสามารถรองรับความต้องการพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ลดความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย และยกระดับคุณภาพการให้บริการในระบบสาธารณสุขของประเทศไทยอย่างยั่งยืน
โฆษณา