19 ธ.ค. เวลา 06:36 • ธุรกิจ

ปูทางสู่ความยั่งยืน เจาะลึกระบบหลังบ้านธุรกิจครอบครัว ให้เติบโตแบบบริษัทมหาชน

ธุรกิจครอบครัว (Family Business) มักเผชิญความท้าทายที่ซับซ้อนในการจัดการระบบหลังบ้าน โดยเริ่มจากวัฒนธรรมองค์กรแบบดั้งเดิมที่ยังยึดติดกับวิธีการทำงานแบบเก่า ซึ่งส่งผลให้ขาดความยืดหยุ่นในการปรับปรุงและพัฒนาระบบการจัดการแบบใหม่ ควบคู่ไปกับปัญหาการถ่ายทอดความรู้ที่ใช้รูปแบบของการบอกกล่าว ผ่านการพึ่งพาประสบการณ์ของรุ่นเก่า และมักไม่มีการบันทึกองค์ความรู้เหล่านั้นอย่างเป็นทางการ
อีกทั้งข้อจำกัดด้านทรัพยากร ก็เป็นอุปสรรคสำคัญ เนื่องจากงบประมาณในการลงทุนระบบใหม่มีน้อย บุคลากรขาดความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และการตัดสินใจส่วนใหญ่ยังคงขึ้นอยู่กับสมาชิกในครอบครัวเป็นหลัก ความท้าทายด้านเทคโนโลยี จึงยังเป็นอีกประเด็นที่น่าสังเกต เห็นได้ชัดว่าการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้ค่อนข้างล่าช้า ขาดการอบรมพัฒนาทักษะดิจิทัล และมีความกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ส่วนตัวยังเข้ามามีบทบาทในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างสมาชิกครอบครัว การแทรกแซงทางอารมณ์ในการตัดสินใจ และขาดความชัดเจนในบทบาทหน้าที่ ดังนั้น แนวทางแก้ไขที่สำคัญคือ การสร้างระบบการจัดการที่มีความชัดเจน เปิดใจรับเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างจริงจัง พัฒนาทักษะบุคลากรอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือการวางแผนการสืบทอดธุรกิจอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวสามารถก้าวข้ามอุปสรรคและพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว
โดยการเตรียมระบบหลังบ้านให้แข็งแกร่ง เพื่อให้ธุรกิจครอบครัว เติบโตอย่างมั่นคง มีองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการ ดังนี้
1. การถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์
ระบบการถ่ายทอดความรู้ที่มีประสิทธิภาพ เป็นหัวใจสำคัญของการสืบทอดธุรกิจ ดังเช่นกรณีศึกษาของตระกูลจิราธิวัฒน์ ถือเป็นตัวอย่างที่ดี จากการสร้างระบบการเรียนรู้ที่ให้ทายาทเข้าใจธุรกิจตั้งแต่เยาว์วัย ผ่านการสังเกต การมีส่วนร่วม และการฝึกปฏิบัติจริง ไม่ใช่เพียงแค่รอรับช่วงต่อ แต่เป็นการเตรียมความพร้อมอย่างเป็นระบบ
2. การพัฒนาศักยภาพทายาท
การลงทุนในการศึกษา การฝึกอบรม และการสร้างประสบการณ์ เป็นกลยุทธ์สำคัญ ทายาทจะต้องได้รับโอกาสในการเรียนรู้ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน และควรเข้าใจทั้งธุรกิจครอบครัว ไปจนถึงแนวโน้มการบริหารธุรกิจระดับโลก
3. โครงสร้างการบริหารที่ชัดเจน
การกำหนดบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบอย่างโปร่งใส เป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันความขัดแย้ง ระบบธรรมาภิบาลที่ดีช่วยให้ทุกฝ่ายเข้าใจขอบเขตการทำงานและการตัดสินใจ
4. การสร้างวัฒนธรรมองค์กรร่วมสมัย
การผสมผสานระหว่างคุณค่าดั้งเดิมของครอบครัวกับแนวคิดสมัยใหม่ เป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ ต้องสร้างวัฒนธรรมที่เปิดกว้าง ยอมรับความคิดใหม่ และสนับสนุนนวัตกรรม
5. ระบบการสื่อสารและความไว้วางใจ
การสร้างช่องทางการสื่อสารที่เปิดกว้าง ตรงไปตรงมา และบนพื้นฐานของความเคารพต่อผู้อาวุโสกว่า จะช่วยลดช่องว่างระหว่างรุ่น (Generation Gap) และสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างสมาชิกในครอบครัว
บทความนี้ เราขอยกตัวอย่าง 2 กรณีศึกษา ธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ที่ถือเป็นแบบอย่างการบริหารธุรกิจครอบครัว อย่างตระกูลจิราธิวัฒน์ ที่มีบริษัทมหาชนในเครือ เช่น บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (CPN) หนึ่งในบริษัทชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เช่น ศูนย์การค้า เซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัลพลาซา และ บริษัท จี.พี. โมบิลิตี้ จำกัด (มหาชน)
ธุรกิจครอบครัวที่เริ่มต้นจากความเชี่ยวชาญด้านการจัดจำหน่ายอะไหล่รถยนต์ พัฒนาเป็นบริษัทมหาชน ด้วยวิสัยทัศน์ในการสร้างโซลูชันครบวงจรเพื่อยกระดับการดูแลรักษารถยนต์ในประเทศไทย ว่าทั้ง 2 ธุรกิจนี้ มีเครื่องมือเฉพาะที่จะช่วยเสริมสร้างระบบหลังบ้านของธุรกิจครอบครัวให้แข็งแกร่ง พร้อมเผชิญการแข่งขันในโลกธุรกิจในทุกสถานการณ์ ได้อย่างไร
Proud to be “จิราธิวัฒน์”
ประเด็นนี้ รศ.ทองทิพภา วิริยะพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ให้ความรู้ว่า ภาพของการถ่ายทอดโมเดลธุรกิจ ของตระกูล ‘จิราธิวัฒน์’ ซึ่งเป็นเจ้าของกลุ่มเซ็นทรัล และมีสมาชิกในครอบครัวใหญ่กว่า 200 คน สิ่งที่ผู้บริหารกลุ่มเซ็นทรัล ใช้เป็นกฎในครอบครัว คือ สมาชิก หรือ ทายาท
จะต้อง Proud to be ‘จิราธิวัฒน์’ นั่นคือ เมื่อเริ่มโตในวัยที่เดินได้แล้ว จะต้องไปกับพ่อ-แม่ ในหน่วยงาน หรือ ส่วนการบริหารที่พ่อ-แม่ รับผิดชอบอยู่ เพื่อซึมซับ และ เรียนรู้ และคุ้นชินกับการทำงาน รวมถึงปลูกฝังให้ลูกหลานใช้ชีวิตตามปกติทั่วไป หรือ ติดดิน
เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป เทรนด์และไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ เจนเนอเรชัน Y-Z มักจะมีอิสระทางความคิดเพิ่มขึ้น ครอบครัว ‘จิราธิวัฒน์’ จึงเริ่มให้ทายาทออกไปเรียนรู้และเลือกวิถีชีวิตของตัวเอง เช่นเปิดโอกาสให้ทายาท ลงทุน ทำธุรกิจ การซื้อแฟรนไชส์ จากต่างประเทศ เป็นศิลปิน ตามความต้องการ และในขณะเดียวกัน การทำหน้าที่อื่น ๆ ของทายาทกับทำในสิ่งที่ชอบ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สร้างการเติบโตให้กับธุรกิจของครอบครัว เช่น การสร้างคอนเนคชันใหม่ ๆ เป็นต้น
ตระกูลจิราธิวัฒน์ เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการบริหารธุรกิจครอบครัวอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ความสำคัญกับการวางแผนสืบทอดอย่างเป็นระบบ ด้วยการเตรียมพร้อมทายาทรุ่นต่อไปอย่างมีกลยุทธ์ ส่งเสริมให้ทายาทได้เรียนรู้ทั้งในและต่างประเทศ และสร้างความเข้าใจในธุรกิจตั้งแต่วัยเยาว์
กลยุทธ์สำคัญอีกประการ คือการกระจายอำนาจและโอกาสให้ทายาทในแต่ละรุ่น โดยเปิดโอกาสให้พวกเขาทดลอง สร้างสรรค์นวัตกรรม และไม่ยึดติดกับรูปแบบเดิม ซึ่งสะท้อนผ่านการขยายธุรกิจของ Central Group สู่หลากหลายอุตสาหกรรม และความสามารถในการปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของตลาด
การให้ความสำคัญกับการศึกษาและพัฒนาทักษะเป็นอีกหนึ่งจุดแข็ง ด้วยการสนับสนุนให้ทายาทศึกษาในระดับสูง เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง และสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ ควบคู่ไปกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบครอบครัวที่ใช้ความไว้วางใจเป็นหลัก สื่อสารอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา และให้เกียรติเคารพซึ่งกันและกัน
แนวทางเหล่านี้ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ตระกูลจิราธิวัฒน์สามารถบริหารธุรกิจครอบครัวได้อย่างประสบความสำเร็จและยั่งยืนมายาวนาน
“บริษัท จี.พี. โมบิลิตี้” ระบบหลังบ้านที่แข็งแกร่ง คือรากฐานสร้างความยั่งยืนและการเติบโตในอนาคต
คุณกวีศิลป์ ศิริมณีธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท จี.พี. โมบิลิตี้ จำกัด (มหาชน) ทายาทรุ่นสองของธุรกิจครอบครัว ได้สะท้อนวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ในการสร้างระบบหลังบ้านที่แข็งแกร่งและทันสมัย เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ และเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต
โดยมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีและโซลูชันใหม่ๆ เข้ามาช่วยบริหารจัดการด้านบัญชี ระบบซัพพลายเชน และการจัดการสต็อก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความซับซ้อนของการดำเนินงาน นอกจากนี้ ยังส่งเสริมบทบาทของทีมงานในการพัฒนาความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการบริหารองค์กรอย่างมืออาชีพ
นอกจากนี้ การพัฒนาระบบดิจิทัลที่รองรับการทำงาน เช่น การเชื่อมโยงข้อมูลด้วย AI และการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ พร้อมทั้งรองรับเทรนด์ใหม่ ๆ ในอนาคต เช่น ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) การมีระบบหลังบ้านที่แข็งแกร่งช่วยสร้างรากฐานให้ธุรกิจครอบครัวสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงาน รวมถึงลดความซับซ้อนในการบริหารจัดการ
วิสัยทัศน์คุณกวีศิลป์ สอดคล้องกับแนวโน้มของตลาดในอนาคต โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมสำหรับเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ด้วยการสร้างโซลูชันและแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ตอบโจทย์ตลาดไว้ล่วงหน้า รวมถึงการยกระดับการบริหารงานให้อยู่ในระดับสากล แสดงถึงความมุ่งมั่นในการพาธุรกิจครอบครัวไปสู่การเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
และนี่คือแบบอย่างของธุรกิจครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับการจัดการระบบหลังบ้านที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการเติบโตและสืบทอดกิจการได้อย่างยั่งยืน ซึ่งทั้งสององค์กร มุ่งเน้นการวางระบบการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและรองรับแนวโน้มตลาดในอนาคต สร้าง Ecosystem ที่เอื้อต่อธุรกิจ ดังนั้น การมีระบบหลังบ้านที่ดี จึงไม่เพียงช่วยลดความซับซ้อนของการดำเนินงาน แต่ยังสร้างความโปร่งใสในองค์กรและช่วยบริหารความสัมพันธ์ในครอบครัวให้ราบรื่น
การวางโครงสร้างองค์กรที่ชัดเจน เพิ่มพูนทักษะที่จำเป็น และสนับสนุนแนวคิดการบริหารแบบมืออาชีพ ปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงของตลาดและการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในระบบหลังบ้าน ล้วนเป็นรากฐานที่ช่วยให้ธุรกิจครอบครัวสามารถเติบโตอย่างมั่นคง และส่งต่อความสำเร็จจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างยั่งยืน
โฆษณา