25 ธ.ค. เวลา 12:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ลงทุนอย่างรู้เท่าทัน : จะเป้าหมายเล็กหรือใหญ่ ก็จัดพอร์ตให้บรรลุได้ด้วยกองทุนรวม

โดย นางสาวสาริกา อภิวรรธกกุล
ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาและส่งเสริมความรู้ตลาดทุน ก.ล.ต.
เราทุกคนล้วนมีเป้าหมายทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว เช่น เก็บเงินไปเที่ยวต่างประเทศ หรือเก็บเงินเพื่อดาวน์รถ ดาวน์บ้าน หรือเป้าหมายระยะยาว เช่น เก็บเงินเพื่อเกษียณ นอกจากการเก็บออมที่เราคุ้นเคยกันแล้ว การลงทุนถือเป็นอีกทางเลือกหรือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายการเงินได้ แต่การลงทุนที่ดีต้องรู้จักการจัดสรรสินทรัพย์ หรือที่เรียกว่า asset allocation
ลงทุนแบบไหนที่เรียกว่า ‘กระจายความเสี่ยง’
การลงทุนแบบการจัดสรรสินทรัพย์ หรือ asset allocation คือ การกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์หลายประเภท เช่น เงินฝาก ตราสารหนี้ หุ้น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่แตกต่างกันไป เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนที่กระจุกตัวในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวด้วย
นอกจากนี้ ในสินทรัพย์ประเภทเดียวกันก็มีระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่แตกต่างกันได้ ก็สามารถกระจายการลงทุนได้อีก เช่น ลงทุนในตราสารหนี้อาจลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล (ตราสารหนี้ภาครัฐ) และหุ้นกู้ (ตราสารหนี้ภาคเอกชน) ส่วนการลงทุนในหุ้น ก็สามารถกระจายการลงทุนไปในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มธนาคาร กลุ่มพลังงาน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หรืออาจแบ่งกลุ่มเป็นการลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี หุ้นเติบโตสูงหุ้นขนาดกลาง-ขนาดเล็ก หรือกระจายประเทศ เช่น หุ้นไทย หุ้นจีน หุ้นสหรัฐ เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า การกระจายความเสี่ยง ทำได้ทั้งในระดับของการกระจายสัดส่วนลงทุนในสินทรัพย์ที่แตกต่างกันและกระจายภายในสินทรัพย์ประเภทเดียวกันได้ด้วย เนื่องจากผลตอบแทนของสินทรัพย์แต่ละตัวไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่สูงหรือต่ำในทุกช่วงเวลา หรือเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้ตลอดไป
มาดูตัวอย่างกันหน่อย กรณีที่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา หุ้นแต่ละกลุ่มได้รับผลกระทบแตกต่างกัน โดยหากช่วงนั้นเรามีการลงทุนในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เช่น หุ้นสายการบินและโรงแรมจะได้รับผลกระทบรุนแรง เพราะเกือบทั่วโลกมีการล็อกดาวน์จึงแทบจะไม่มีการเดินทางและท่องเที่ยว
แต่หากเราลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีกลับได้รับประโยชน์จากพฤติกรรมของคนที่ต้องอยู่บ้าน ทำงานที่บ้านเป็นหลักต้องประชุมผ่านโปรแกรม เช่น Zoom หรือ Microsoft Teams ทำให้หุ้นกลุ่มนี้ได้รับประโยชน์จะเห็นว่าการกระจายการลงทุนไปในธุรกิจหลากหลายกลุ่มจึงมีประโยชน์ในการช่วยลดความเสี่ยง
การลงทุนเป็นพอร์ตด้วยกองทุนรวม
การลงทุนในกองทุนรวมมีข้อดีที่สำคัญประการหนึ่ง คือ กองทุนรวมจะมีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ได้หลายประเภท หรือมีการลงทุนเป็นพอร์ต เช่น กองทุนหุ้น นอกจากจะมีสัดส่วนหุ้นเป็นหลักมาแล้ว ยังสามารถมีการลงทุนในตราสารหนี้ และเงินฝากได้ด้วย หรือกองทุนที่สามารถลงทุนในหุ้นทั่วโลก ก็สามารถกระจาย
การลงทุนในหลายประเทศ เช่น อเมริกา จีน และยังกระจายไปในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เช่น หุ้นกลุ่ม IT กลุ่มสินค้าเบรนด์เนมหรือสินค้าหรูหรา และกลุ่มสื่อสาร เป็นต้น (ตัวอย่างตามภาพ)
นอกจากนี้ ยังมีกองทุนรวมประเภท Thematic Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนตามกระแสเมกะเทรนด์เน้นธีมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจหรือสังคม เช่น สังคมผู้สูงอายุ เทคโนโลยีหรือธีม Health care ก็จะกระจายลงทุนในหลายธุรกิจ เช่น ธุรกิจผู้ผลิตยา ธุรกิจที่ให้บริการด้านสาธารสุข เช่น โรงพยาบาล
หรือธุรกิจผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ แต่โดยที่กองทุนประเภทนี้มีการลงทุนเป็นธีม ก็อาจทำให้มีการกระจายความเสี่ยงจะน้อยกว่ากองทุนรวมทั่วไป
มาดูตัวอย่างจัดพอร์ตตามเป้าหมายการเงินด้วยกองทุนรวมกัน
เป้าหมายระยะสั้น : เก็บเงินเที่ยวญี่ปุ่น 50,000 บาท ภายใน 1 ปี
ต้องเก็บเงินเดือนละ 4,166 บาท เป็นเวลา 12 เดือน ถ้ารับผลขาดทุนได้น้อยหรือแทบไม่ได้เลย ควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงและระดับความเสี่ยงต่ำ เพื่อไม่ให้เงินต้นหรือเงินออมมีความผันผวนหรือมีความเสี่ยงต่อผลขาดทุนเมื่อต้องการใช้เงิน สามารถใช้เงินได้ตามจำนวนที่ต้องการเมื่อครบกำหนดเวลาตามแผน
กรณีเป้าหมายนี้ อาจเลือกลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงินที่มีความเสี่ยงระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ ซึ่งจะลงทุนเงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงหรืออาจสูงกว่าเงินฝากเล็กน้อย เช่น 2% ต่อปีเหมาะกับเป้าหมายการเงินระยะสั้น ที่ไม่ต้องการรับความผันผวน
เป้าหมายระยะยาว : เก็บเงินเพื่อใช้ยามเกษียณ 10 ล้านบาท ภายใน 30 ปี
เป็นเป้าหมายสำคัญ แต่มีระยะเวลาการลงทุนที่ยาวถึง 30 ปี หรือ 360 เดือน สามารถเลือกลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เพื่อสร้างโอกาสในการได้รับผลตอบแทนสูงได้ โดยหากเราเป็นผู้ยอมรับความเสี่ยงสูงได้ ก็สามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้นได้ซึ่งพอร์ตของกองทุนหุ้นจะลงทุนในหุ้นเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะเลือก
หุ้นธีมไหน กลุ่มไหน เช่น สนใจกลุ่มเทค อยากลงทุนแนวยั่งยืน หรือเป็นสายหุ้นต่างประเทศ สนใจแบบไหนก็ลองศึกษานโยบายการลงทุนกองทุนรวมที่ตนเองสนใจ
หรือจะลงทุนใน RMF SSF หรือ Thai ESG ก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะเป็นกองทุนรวมที่มีเป้าหมายส่งเสริมการออมระยะยาวเพื่อเกษียณ และได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างไรก็ดี ผู้ที่ลงทุนในกองทุนที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี อย่าลืม! ศึกษาเงื่อนไขการลงทุนด้วย
การลงทุนยาว ๆ จะมีข้อดีคือได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยทบต้น ตัวอย่างเช่น ตามเป้าหมายนี้ หากเราลงทุนในกองทุนหุ้นที่ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี เป็นเวลา 30 ปี เราจะออมเงินเพียงเดือนละ 6,710 บาท ก็จะมีเงิน 10 ล้านบาท เมื่อครบ 30 ปี เปรียบเทียบกับหากเราฝากเงินได้ดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี เราต้องเก็บเงินเดือนละ 22,012 บาท ตามตัวอย่างจะเห็นได้ว่าหากเป็นการลงทุนระยะยาว เราอาจเลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เพื่อช่วยลดภาระการออมต่อเดือน หรือช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นได้
นอกจากนี้ กองทุนรวมยังมีข้อดีอื่น ๆ อีก เช่น บริหารจัดการโดยผู้มีประสบการณ์และความรู้กองทุนรวมมีผู้จัดการกองทุน (Fund Manager) ที่จะคอยดูแลและจัดการพอร์ตการลงทุนให้กับผู้ลงทุน โดยใช้ความรู้และประสบการณ์ในการเลือกสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการเติบโต สะดวกและง่ายต่อการลงทุน ผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องเลือกสินทรัพย์ต่างๆ ด้วยตัวเอง
หรือมีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับตลาดการเงิน เพียงแค่เลือกกองทุนที่ตรงกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ใช้เงินไม่มากในการเริ่มลงทุน ปัจจุบัน มีเงิน 100 บาท ก็ลงทุนในกองทุนรวมได้แล้ว ผู้ลงทุนสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายได้ซึ่งเหมาะสมกับผู้ลงทุนที่เริ่มต้นและมีเงินทุนไม่มาก สำหรับคนที่ลงทุนในหลายกองทุน อย่าลืม! เช็กอีกครั้งว่า แต่ละกองทุนนั้น ลงทุนในสินทรัพย์ หรือในบริษัทเดียวกันหรือไม่ เพื่อป้องกันการกระจุกตัวของพอร์ตการลงทุน
หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว การลงทุนของเราควรพิจารณาเรื่องการลงทุนแบบจัดสรรสินทรัพย์ หรือ asset allocation ด้วยเสมอ โดยหากเราไม่มีความเชี่ยวชาญในการจัดพอร์ตลงทุนให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่รับได้ และเป้าหมายการลงทุน เราอาจเลือกลงทุนในกองทุนรวม เนื่องจากการลงทุนในกองทุนรวมเป็นเครื่องมือที่ดีในการลงทุนเป็นพอร์ต
และมีการกระจายความเสี่ยงในตัวเอง ซึ่งการเลือกนโยบายการลงทุนของกองทุนรวมหรือสัดส่วนพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม จะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาด และสร้างผลตอบแทนเพื่อบรรลุเป้าหมายการเงินภายใต้ความเสี่ยงที่รับได้
โฆษณา