24 ธ.ค. 2024 เวลา 19:42
สระบุรี

อนุบาลสระบุรี...เบ้าพิมพ์ดินเหนียว 2509-2514

ผมเปรียบตัวเองเป็นก้อนดินเหนียวที่มีสภาพอ่อนนิ่มเมื่อวัยแรกเข้าโรงเรียน
นอกจากครอบครัวที่เปรียบเสมือนแหล่งดินที่ให้กำเนิดแล้ว สิ่งที่จะกำหนดความเป็นตัวตนของผู้ใหญ่ในวันข้างหน้าก็คือเบ้าพิมพ์
เบ้าพิมพ์ที่สำคัญอันแรกก็คือโรงเรียน
เด็กๆ จะได้รับการสอนให้รู้จักการอ่าน การเขียน และกติกาของสังคมที่เราไม่อาจจะอาละวาดขัดขืนได้เหมือนอยู่ที่บ้าน เราจะได้รับการสอนให้รู้จักการรอ การเข้าแถว การบังคับใจตัวเอง ฯลฯ
สิ่งหนึ่งที่ติดแน่นมาจนถึงทุกวันนี้อันดับแรกสุดก็คือการที่เรียกตัวเองว่า “เรา” และเรียกเพื่อนว่า “เธอ”
เมื่อไม่กี่วันมานี้ผมคุยกับเพื่อนอนุบาลที่อายุหกสิบกว่าพอๆ กันก็ยังใช้ “เรา กับ เธอ” อย่างถนัดปาก
สิ่งที่สองคือ ความไม่ขัดเขินในการแสดงบนเวที
อีกสิ่งหนึ่งซึ่งถือว่าเป็น “ทรัพย์” นั่นก็คือความชอบในร้อยกรอง
ตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันสามารถเรียกได้ว่าผมเป็นคน introvert
เมื่อเข้าโรงเรียนอนุบาลฯ ผมได้เรียนการรำกับครูต๊อด-คุณครูไพบูลย์ ซึ่งผมจำไม่ได้ว่าเป็นรำอะไร มีแต่ภาพจำภาพเดียวว่าผมใช้ยาหม่องตราถ้วยทองทาขมับให้ครูต๊อด ที่ห้องเรียนตึกกลางอยู่หลายหน
นางผีเสื้อสมุทร-ตระเวนรำตามมหา'ลัย, ตะเวนร้องประสานเสียง-จินตลีลาที่โรงละครแห่งชาติ
น่าจะเป็นการเรียนรำตั้งแต่ตอนเด็กที่ได้นำไปสู่การ รำเป็ด, รำกวาง รำกลองยาว, เล่นละครหนูกับแมว แล้วก็ต่อมาถึงเป็นนางผีเสื้อตอนอยู่มัธยม, การเป็นเชียร์ลีดเดอร์, สารพัดรำที่ชมรมขับร้องประสานเสียง ม.ร. และจินตลีลาที่โรงละครแห่งชาติ แม้กระทั่งลีลาศที่สนใจจนยอมเสียเงินไปเรียนที่บุญเลิศลีลาศ
ชีวิต 6 ปีภายในรั้วอนุบาลของผมเป็นหกปีที่มีความสุข ไม่มีปัญหาทั้งเรื่องการเรียนและปัญหาทางบ้าน ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยซ้ำที่ตอนเช้าผมมาโรงเรียนด้วยรถสามล้อ ส่วน เชอรี่-โศรยา ภัทรานาวิก เธอมีคุณพ่อนายทหารสุดเท่ขับรถจี๊ปมาส่งทุกเช้า
ตั้งแต่อนุบาลจนถึงประถม 4 ผมไม่เคยรู้สึกด้อยค่าตัวเองหรืออิจฉาเพื่อนเลย เพราะตัวเองไม่รู้สึกว่าขาดอะไร และก็ชื่นชมที่เห็นเพื่อนใช้ของดี
คนที่ดูล้ำกว่าใครในตอนนั้นก็คือ ใหญ่-ธนวิชญ์ ชุลิกาวิทย์ เขามีกระเป๋าหนังแท้ กบเหลาดินสอดีบุก ในขณะที่เด็กทั่วๆ ไปจะใช้กระเป๋าพลาสติก กบพลาสติกหรือมีดเหลาดินสอ
Credit: Lazada.co.th / ศึกษาภัณฑ์
ผมไม่เคยนึกเปรียบเทียบพ่อของคนอื่นกับพ่อของผมที่เป็นพนักงานอนามัยชั้นผู้น้อย และแม่ที่ใส่เสื้อคอกระเช้านุ่งผ้าถุงเป็นแม่บ้านหรือเป็นผู้ช่วยขายก๋วยเตี๋ยวไก่ให้คนข้างบ้าน
การกินอิ่มนอนหลับ ไม่โดนตี มีของเล่นปีละชิ้นก็รู้สึกว่ามีความสุขพอแล้ว
****
แต่อยากจะเตือนหรือระบายให้คนที่กำลังเป็นผู้ปกครองเด็กเล็กให้รู้ถึงมุมมองของเด็กอย่างผมในตอนนั้นว่ามันมีปมอะไรเกิดขึ้น
1-2-1-1-1-1 * 1-1-1-1-2-1 * 1-1-2-1-1-1 * 1-2-1-1-1-1
ลองทายสิครับมันคือเลขอะไร ที่มันเป็นปมมาตั้งแต่ตอนนั้น
มันคือลำดับที่ที่ผมได้จากการสอบแต่ละปีครับ ตั้งแต่ประถม 1 ถึงประถม 4
ใน 1 ปีมีการสอบ 6 ครั้ง ผมจะได้ที่ 1 ห้าครั้ง ที่ 2 หนึ่งครั้ง ตลอดสี่ปี
สมุดพกตั้งแต่ประถม 1 ถึงประถม 4
ผมย้ายห้องหลายครั้ง จะมีคนเรียนเก่งที่ผมจำได้อยู่ 3 คน คือ กุ้ง-เมตตา จันทชาติ, อ้อ-ทิวาพร พลศิริ, น้อย-เกษมศรี ม่วงทอง สามคนนี้จะมีคนนึงได้ที่ 1 แทนผมในแต่ละปี
คณะผู้ท้าชิงที่ 1
ผมเคยได้ยินมากกว่าหนึ่งครั้งว่า ตอนที่พวกเธอสอบได้ที่ 1 ครอบครัวเธอก็จะดีใจมาก บางทีพวกเธอก็เอาของรางวัลที่เธอได้ที่ 1 มาอวดเพื่อนที่โรงเรียนด้วยซ้ำ
เท่าที่ผมจำได้ ผมไม่เคยได้รางวัลอะไรเลยจากการสอบได้ที่ 1 และแม้แต่ตอนที่ได้ที่ 2 ก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมคิดตั้งแต่ตอนนั้นว่า ถ้าผมจะแกล้งสอบให้ได้คะแนนไม่ดี แล้วก็กลับมาสอบให้ได้ที่ 1 สักปีละครั้งจะได้รางวัลหรือเปล่า ซึ่งก็ได้แต่คิด มันยากเกินสติปัญญาของผมที่จะแกล้งสอบให้ได้แบบนั้น
 
เด็ก 8-9 ขวบก็คิดแล้วนะครับ
แต่อีก 4 ปีต่อมาผมก็ทำมันได้ ผมสอบได้ที่ 40 จากนักเรียน 44 คน!
กว่าจะรู้เดียงสาก็ราวปี 2511 ที่ขึ้นประถม 1
ตอนอยู่ชั้นอนุบาล 2 ผมยังไม่รู้ถึงความแตกต่างระหว่างผู้หญิง-ผู้ชาย ยังเล่นบางอย่างด้วยกันได้ แต่พอขึ้นประถม 1 เม็ดฮอร์โมนคงเริ่มแตก มันถูกกระตุ้นจากเพื่อนผู้ชายในห้องที่เริ่มมีการแกล้งเปิดกระโปรงผู้หญิง ผมก็แกล้งกับเขาด้วย
เพื่อนผู้หญิงหลายคนจะใส่กางเกงขาสั้นไว้ข้างใน พวกนั้นก็จะถูกเปิดไม่กีทีแล้วก็จะไม่ได้รับความสนใจอีกต่อไป แต่ถ้าคนไหนใส่เป็นกางเกงในก็จะฮอตฮิตเป็นพิเศษ
เสียงกรี๊ดกร๊าดของผู้หญิงและคิกคักของฝ่ายชายนำมาซึ่งไม้เรียวที่ทำให้เหตุการณ์สงบลงได้
1
เหตุการณ์นี้น่าจะเกิดขึ้นครั้งเดียว แต่มันทำให้ผมรู้สึกถึงความแตกต่างของผู้หญิงและผู้ชาย ผมได้รับรู้ถึงความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นในบางสิ่งที่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันเมื่อปีที่แล้ว ความเป็นชายมันเริ่มทำงานแล้วแหละ
แต่ที่แสบกว่านี้ก็คือ “ไอ้ยุ่ง” เด็กหน้าตี๋ร่างท้วม พลังเหลือล้น ชอบต่อปากต่อคำ ชอบแกล้ง แกล้งแม้กระทั่งครู ไอ้หมอนี้ล้ำไปอีกขั้น คือมันเอากระจกเงาแผ่นเล็กๆ ไปสอดไว้ที่เชือกรองเท้าตัวเองแล้วยื่นปลายเท้าไปใต้กระโปรงผู้หญิงเพื่อดูเงาสะท้อน
วิธีนี้ไม่ค่อยได้ผล เพราะเป้าหมายมักจะไม่ยืนเฉยๆ และเขาก็ระแวงไอ้ยุ่งกันอยู่แล้ว เรื่องแบบนี้ผมไม่เอาด้วยหรอกเพราะกระจกมันหายาก
ช่วงที่ผมเรียนอยู่ 6 ปีนั้น ครูใหญ่คือ ครูดวงพร ฟุ่มฟู และ ครูหวาด อาจมุณี เป็นรองครุใหญ่
ครูที่สอนผมตอนอนุบาลที่จำได้มีครูต๊อดคนเดียว พอขึ้น ป.1 และ ป.2 สองปีก็มีครูประจำชั้นคือ ครูราตรี บุญรอด พอขึ้น ป.3 และ ป.4 ก็เปลี่ยนเป็น ครูสัมฤทธิ์ แสงมณี
คณะครูในช่วงนั้น
นอกจากนี้ก็มีครูที่ผมจำไม่ได้ว่าสอนชั้นไหนหรือสอนวิชาอะไร มีครูบุญสวย ครูนงลักษณ์ ทาระคำ ครูสุจิตรา
วิชาเรียนก็จำได้ไม่เท่าไหร่ จำได้ก็พวกอาขยาน “....แล้วให้ไปเก็บตรีชวา ทั้งยาชื่อสังกรณี....” แล้วก็ท่องสูตรคูณเท่านั้น
ปี พ.ศ. ไหนผมก็จำไม่ได้ อาจจะช่วงประถม 3 หรือ ประถม 4 มีการรับสมัครนักดนตรีเพื่อเล่นในวงดนตรีของโรงเรียน ผมก็ขอพ่อไปเข้าวงซึ่งมันต้องซื้อเครื่องเป่า Melodica ที่ราคาแพงมากสำหรับครอบครัวผม พ่อก็ให้ไปขอปู่ที่อยู่หินกอง
พอมีโอกาสไปขอ ปู่ก็ไม่ให้เพราะแกก็คงไม่มีเงินพอสำหรับเรื่องฟุ่มเฟือยแบบนี้ น่าจะเป็นครั้งแรกในชีวิตตอนเด็กที่เศร้ามาก
ผมจำได้ว่า กุ้ง-สัจจะ แสนท้าว ได้เข้าอยู่ในวงดนตรีนี้ด้วย และตู่-โยธิน อิ่มฤทัย เป็นดรัมเมเยอร์
น่าจะถ่ายตอนไปออกทีวี
การเล่นก็มีหลายอย่างในช่วงประถม 1 ถึงประถม 4 ตั้งแต่ร่อนหมวกกะโล่เล่น, เอาก้านดอกหางนกยูงมาใส่หนังสติ๊กยิงกัน, หาปมหญ้าแพรกมาตีไก่กัน, จับแมงปอ, จับตั๊กแตน, เป่ากบ ผู้หญิงก็จะเล่นกระโดดยาง, หมากเก็บตะเกียบ
Credit: SaowaneePlengmomKadee / ข่าวสด / pantip.com
ตอนหลังก็มาเล่นพวกที่ใช้ทักษะมากขึ้น เช่น โยนดินน้ำมันกินตัวกัน จะเล่นกันหลังตึกที่ครูใหญ่นั่งทำงานที่จะเป็นพื้นซีเมนต์ขัดมัน ซึ่งก็ยังลื่นไม่พอสำหรับการเล่น เราก็จะแอบไปเอาแป้งเด็กฮอลลีวู้ดของเด็กชั้นอนุบาลมาโรยบางๆ ที่แผ่นดินน้ำมันเพื่อให้เลื่อนไปกินตัวของเพื่อนได้ง่าย
การเล่นที่ใกล้เคียงกับคำว่ากีฬาของพวกเราก็คือ ฟุตบอล เราใช้ฟุตบอลหนังจริงซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของโรงเรียนหรือของใครสภาพเก่าๆ เล่นแบบไม่ค่อยสนใจกติกา เน้นแค่เตะให้ถูกบอล หรือบางทีก็จ้องจะอัดแต่หน้าแข้งเพื่อนก็สนุกแล้ว
ทีมฟุตบอลที่ไม่รู้ว่ารุมกันเตะยังไงบ้าง
แต่มี “เทพ” อยู่คนนึง คือ ดนุช โสวรรณะ เขามีฝีเท้าเหนือกว่าเด็กบ้านๆ ที่เล่นกันมั่วซั่วแบบพวกเรามาก เขามาเข้าตอน ป.3 หรือ ป.4 ไม่รู้ มาพร้อมกับน้องสาวคนสวยที่มาเรียนชั้นเดียวกัน คือ ด้วง-ดาสินี โสวรรณะ
จากเรื่องเล่นสนุกก็เป็นเรื่องการแสดง
ผมก็ไม่รู้ว่ามีทฤษฎีอะไรเกี่ยวกับเด็กนะที่ต้องให้เด็กทำการแสดง แต่ตอนนั้นผมชอบการแสดงมาก ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวกับว่าจะได้แสดงหรือเป็นแค่คนดู แต่ผมชอบบรรยากาศที่น่าตื่นเต้น ชอบเห็นความสุขที่ทุกคนในโรงเรียนได้แสดงออก ทั้งครู ทั้งผู้ปกครอง ทั้งนักแสดง นักดนตรี และคนดู
การแสดงที่มีรูปถ่ายของผมงานแรกคืองานเลี้ยงส่ง คุณจรัสศรี รังสิโยทัย ภรรยาผู้ว่าสระบุรี ไม่ทราบว่าท่านมีตำแหน่งอะไรจึงต้องมีการเลี้ยงส่ง งานจัดที่เวทีศูนย์เยาวชนจังหวัดสระบุรี ผมแสดงเป็นเป็ด
การแสดงนี้ไม่รู้จะเรียกว่า รำ หรือ ระบำ หรือ เต้น มันก็กะย็อกกะแย็กเอียงซ้ายเอียงขวาไปตามเพลง
แววศิลปินออก เต้นเกินเบอร์ ตามองกล้อง
เป็นการเต้นประกอบเพลงเพลินชมไพร มีเนื้อร้องว่า “รื่นรมย์ชมพันธุ์ไม้ในป่า เมื่อได้มาชมแล้วเพลินใจ นกร่าร้องก้องมาแต่ไกล เสียงกอไผ่เสียดกอดังคล้ายเสียงเพลง.....”
แล้วก็มีเพลงที่ดูเหมือนว่าจะแต่งสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ ผมจำได้แค่ว่า “.....สระบุรี นครสวรรค์....”
จากรูปที่ถ่ายจากการแสดงนี้ มีโคลงที่แปะอยู่ด้านหลังเวทีมีใจความว่า
ตัว ไปใจอยู่เนื่อง ผูกพัน เพื่อนเอย
ไป สู่นครสวรรค์ แว่นฟ้า
ใจ เราบ่ไกลกัน ไกลแต่ ตัวพ่อ
อยู่ สระบุรีทั่วหน้า ต่างน้อม นึกถึง
งานเลี้ัยงส่งคุณจรัสศรี รังสิโยทัย
จากนั้นก็มีการเล่นเป็นกวาง เรื่องเป็นยังไงจำไม่ได้เลย และก็มีการรำกลองยาวรับเสด็จที่สวนพฤกษศาสตร์ พุแค ตอนอยู่ประถม 1
ภาพถ่ายรำกลองยาวรับเสด็จที่พุแค ถ่ายโดยนักข่าวพิมพ์ไทย ราคารูปละ 2.50 บาท
การแสดงที่ประทับใจที่สุดก็คือละครหนูกับแมว ที่ผมแสดงเป็นพระเอกหนูผู้อาสาจะเอากระดิ่งไปผูกคอแมว
“ข้าพเจ้าเอง ขอรับอาสาทำการครั้งนี้” นั่นเป็นวรรคทองของเรื่องเลยแหละ
น่าจะเป็นพระเอกผู้ได้บทพูดยืนอยู่ตรงหลังไมค์ สังเกตจากหัวเข่าดำๆ
คนเล่นเป็นแมวคือ อัญชลี ปานเพชร ผมกับอัญชลีไม่เคยเรียนห้องเดียวกัน และไม่เคยเจอกันอีกเลยตั้งแต่ละครจบ
จำได้รางๆ ว่าชุดแมวจะทำด้วยกำมะหยี่สีน้ำเงิน มีหางยาวกระดกม้วน สวมหู เขียนหนวดเขียนจมูกแมวชัดเจน เด่นมากเมื่อเทียบกับพวกหนูทั้งหลายที่ยั้วเยี้ยเต็มเวที
จนไปเจอชื่อเขาบนเฟสบุ๊คเมื่อเดือนมีนาคม 2566 ผมก็รีบระล่ำระลักทักไปราว 500 ตัวอักษร พร้อมส่งรูปงานเลี้ยงศิษย์เก่า สบว.ให้ดู เธอก็ตอบมา 2 ประโยคว่า “ใช่ค่ะ” “ดีจังค่ะ” แล้วก็คงบล็อกไอ้หนูตัวนี้ไปแล้ว
ผองเพื่อนที่จำได้...
ผมย้ายไปเรียนประถม 6 ที่กรุงเทพฯ ตอนปี 2516 ทำให้ขาดการติดต่อเพื่อนๆ ที่อนุบาลไปเลย ตอนนั้นก็ยังเด็กเกินไปที่จะคิดจดบันทึกอะไรเอาไว้ ได้แต่อาศัยความทรงจำอันรางเลือนของห้าสิบกว่าปีที่แล้ว ทำให้อาจจะพลาดไปบ้าง หรือสำคัญผิดไปถึงขนาดเอาข้อมูลเพื่อนที่อื่นเข้ามารวมกับเพื่อนอนุบาลก็ต้องขออภัยเพื่อนด้วย
*กุ้ง-สัจจะ แสนท้าว รูปหล่อแต่เด็ก เขามีรูปตอนอยู่อนุบาลเยอะมาก ซึ่งผมก็ได้ใช้รูปของเขาประกอบบทความนี้พร้อมทั้งยังเป็นเครื่องฟื้นฟูความทรงจำที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย บ้านกุ้งอยู่หลังธนาคารกรุงเทพฯ เราเคยเดินกลับบ้านด้วยกันหลายครั้งเพราะบ้านกุ้งจะถึงก่อนบ้านผม เราเพิ่งเจอกันตัวเป็นๆ ตอนงานศิษย์เก่า สบว. ปี 2565 หลังจากคุยกันทางเฟสบุ๊คอยู่หลายปี
อำนาจ ฉัตรชนะกุล, สุริยัน นวลชื่น, เมตตา จันทชาติ, อาทิตย์ วงศ์สมบูรณ์, สัจจะ แสนท้าว และ ครูสัมฤทธิ์ แสงมณี
*กุ้ง-เมตตา จันทชาติ หัวหน้าห้อง ตัวใหญ่กว่าผม เรียนเก่งด้วย คนนี้เป็นคนนึงที่จะแย่งที่หนึ่งของผมปีละครั้ง จนวันนี้ 23-12-2567 ก็ยังไม่ได้เจอกัน
*ยัน-สุริยัน นวลชื่น จำติดตาภาพปานที่แขนของยันตั้งแต่เด็กเพราะเป็นของแปลก ยันเป็นลูกทหารที่เรียบร้อย
*ใหญ่-ธนวิชญ์ ชุลิกาวิทย์ ผอมสูงเหมือนคุณพ่อ มีน้องอีกสองคน คือ กิตตินุช และ สุดคนึง คุณแม่สวย คุณพ่อหล่อ เคยไปบ้านใหญ่ที่ รรม. สองสามครั้ง มีก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นให้กินอร่อยมาก ผมไปเจอใหญ่เมื่อราวสิบสองปีที่แล้วที่เชียงใหม่ ใหญ่กลายมาเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่กล้ามเป็นมัด ดูอ่อนกว่าวัย
ใหญ่-กุ้ง-???
นอกจากนั้นภาพจำของผมสำหรับครอบครัวของใหญ่ก็คือ คุณพ่อใหญ่ที่เป็นนายทหารรูปร่างสูงมาก และคุณแม่ทำงานศาลากลางแต่งตัวสวยเนี้ยบ ใส่กระโปรง ใส่เสื้อก็อย่างสวย และยังเคยใช้เครื่องปัมพ์อักษร (Label Maker) ซึ่งสุดล้ำในสมัยปี 2512 พิมพ์คำว่า “ATIT” ใส่แถบพลาสติกกาวสีเหลืองให้ผมไปติดที่กระเป๋านักเรียนอีกด้วย
*กุ้ง-ศิริลักษณ์ ทาระคำ จำได้แต่ว่าเธอเป็นลูกของครูนงลักษณ์ ได้เจอเธอเมื่อตอน 2565 พร้อมกุ้ง-สัจจะ
*ต้น-สุทธเดช เจนกลรบ-จารุจารีตร์ ลูกตำรวจ บ้านอยู่ริมแม่น้ำป่าสัก ไม่ไกลจากโรงเรียนนัก มีอยู่พักนึงที่ผมชอบไปนั่งที่ดงหญ้าริมน้ำคุยกันเรื่อยเปื่อย ไม่รู้ว่าคุยกันเรื่องอะไรบ้าง จำได้แต่เขาบอกว่าจริงๆ แล้วนามสกุลเขาต้องมีคำว่า “จารุจารีตร์” ต่อท้าย และดูเหมือนว่าปู่เขาอาจจะรู้จักกับตาผมที่เป็นตำรวจอยู่กรุงเทพฯ
*เชอรี่-โศรยา ภัทรนาวิก คุณพ่อทหารคุณแม่พยาบาล พ่อผมเขาบอกว่าเชอรี่น่ารัก เขาคงอยากมีลูกผู้หญิง หลังจากปี 2514 ก็ได้มาเจอเชอรีอีกที่ที่งานศิษย์เก่า สบว. ปี 2557
*ตู่-โยธิน อิ่มฤทัย ตอนเรียนอนุบาลน่าจะไม่เคยเรียนห้องเดียวกับตู่ แต่เห็นตู่เป็นดรัมเมเยอร์เท่มาก มาเจออีกที่ราวปี 2519 ได้เล่นเทนนิสด้วยกันเกือบสองปี
*แดง-บัญชา ประทับศักดิ์, ผมเคยเรียนอยู่ห้องเดียวกับแดง จำได้แค่หัวโตๆ บ้านอยู่หัวมุมตรงข้ามอนามัย คุณพ่อเป็นปลัด ที่บ้านเลี้ยงชะนี และก็ได้เล่นเทนนิสด้วยกันช่วงเดียวกับตู่คือปี 2519-2520
*หมึก-วิทวัส นุตกำแหง ไม่แน่ใจว่าเคยเรียนห้องเดียวกับหมึกหรือเปล่า แต่จำหมึกตอนอนุบาลได้ บ้านหมึกอยู่ไม่ไกลจากบ้านผม มาได้เจอกันบ่อยตอนหมึกมาเล่นเทนนิสช่วง 2520
*นี-ทัศนีย์ ปุวรัตน์ เคยเรียนห้องเดียวกับทัศนีย์ ได้เจอทัศนีย์ตอนปี 2519-20 แต่ไม่ค่อยได้เจอกัน ผมจะสนิทกับนารีรัตน์-ทัดดาว ซึ่งเป็นน้องสาวมากกว่าเพราะเล่นเทนนิสด้วยกัน ผมจะไปบ้านพวกเธอแทบทุกครั้งที่ไปสระบุรี
*จุ๋ม-วิชชุดา สวัสดิผล ผมน่าจะเคยเรียนห้องเดียวกับจุ๋ม เป็นลูกทหาร อยู่บ้านริมถนนเส้นเดียวกับบ้านแดง ผมต้องเดินผ่านบ้านเธอเพื่อไปโรงเรียนทุกเช้า
*โอ๊ต-ฉัตรทิพย์ ไอน้ำทิพย์ เคยเรียนห้องเดียวกับโอ๊ต เคยแสดงอะไรสักอย่างกับโอ๊ตด้วย จำได้แต่บทโอ๊ตที่พูดว่า “เลาเลยหมกหวังเลย” ตอนนั้นโอ๊ตยังพูดไม่ชัด
*น้อยหน่า-วาสนา คลังวิเชียร ผมเคยเรียนห้องเดียวกับหน่า เคยเปิดกระโปรงหน่าแล้วไม่สนุกเพราะเธอเป็นเซียนกระโดดยางที่จะใส่กางเกงขาสั้นไว้ด้านใน บ้านหน่าถูกไฟไหม้ในปี 2513
*อ้อ-ทิวาพร พลศิริ ลูกทหาร ตัวเล็กๆ เรียนเก่ง เธอเป็นหนึ่งในผู้ชิงที่ 1 จากผมในแต่ละปี
*น้อย-เกษมศรี ม่วงทอง ลูกทหารเหมือนกัน และเป็นผู้ท้าชิงอีกคนหนึ่งเหมือนกัน
*ด้วง-ดาสินี โสวรรณะ มาพร้อมพี่ชาย ดนุช โสวรรณะ บ้านอยู่หน้าพระลาน ผมได้ไลน์คุยกับด้วงมาร่วม 12 ปีแล้วพร้อมกับอ้อย-มยุรี
*ปรีดา ฤทธิ์เดช ตอนเด็กๆ ผมเห็นปรีดาแล้วมักจะนึกถึงหมีที่น่ารักๆ ได้เจอกันแล้วเมื่องานศิษย์เก่า สบว. 2565
*กาญจนา (น้ำปลาพริก) จำนามสกุลไม่ได้ เธอมีหนวดบางๆ โครงร่างใหญ่แต่ตัวไม่แน่นเท่ากุ้ง-เมตตา ผมประทับใจเธอที่เธอได้เปิดโลกใหม่ให้ผม ตอนนั้นที่บ้านผมไม่ได้ให้กินของเผ็ด อาหารที่บ้านก็เป็นอาหารไทยธรรมดาที่พ่อแม่กินน้ำพริกแต่ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นของผู้ใหญ่
วันนึงช่วงอาหารเที่ยง ผมได้นั่งใกล้กาญจนาแล้วก็ได้กลิ่นหอมประหลาด มันเป็นกลิ่นของพริกป่นที่ผสมอยู่ในน้ำปลา ผมยังไม่ทันได้ตัดสินใจอะไรเธอก็เอาช้อนตักน้ำปลาพริกที่เธอเอามาจากบ้านมาใส่ในถาดหลุมให้ผม แล้วผมก็เหมือนกับได้เปิดประตูก้าวข้ามความเป็นเด็กน้อยโดยผ่านการเสพติดน้ำปลาพริกป่นของกาญจนาต่อมาอีกหลายมื้อ
การได้กินเผ็ดครั้งแรกความรู้สึกมันเหมือนเด็กที่หัดสูบบุหรี่นะ
สงสัยว่าหนวดผมคงจะเริ่มงอกตั้งแต่ตอนนั้นแหละ ไม่ต้องแปลกใจที่ตอนนั้นกาญจนามีหนวดชัดกว่าผม
ยังมีเพื่อนจำนวนมากที่ผมจำหน้าและชื่อได้แต่จำเรื่องราวพวกเขาไม่ได้ แต่ก็อยากฝากชื่อเอาไว้เพื่อแสดงความระลึกถึง ได้แก่...
*เป้-วศิน วิริยะรัตน์, ธานินทร์ ชุ่มทะโชติ, อ้อ-วัชรพงษ์ เขียวสกุล, พลเดช ปัญญา, ปุ๊-สุภาสกร เพชรชาลี, ทรงศักดิ์ งับแสนสา, สุมนา สิริสวัสดิ์, บอย-ณัฐกร ชะเอมเทศ ,นงลักษณ์ พิทักษ์พานิชกุล, นรากร, รณกร เรียมศรี, กรกฎ,วีณา โกมลสุบิน,สุนทรี สารีคำ, วีรนุช นุชพุ่ม, อนันตชัย, ปุ๊-สุพิชา จันทร์ลอย, อำนาจ ฉัตรชนะกุล, สมบัติ อยู่ชยันตี,ผาณิตา ใจวงษ์, นิรุต, กัญญา, ผ่องพรรณ จิตตานนท์, สิทธิ สารีบุตตานนท์, วีระชัย อำไพจิตร, เปิ้ล....(จำชื่อจริงไม่ได้)
รวมเพื่อน
ยังมีเพื่อนอีกสองคนที่ทำให้ผมเกิดความโอนเอียงที่จะเชื่อในเรื่องระลึกชาติ...
ผมเคยอ่านหนังสือที่พูดถึงเรื่องการที่นักจิตวิทยาได้ใช้การสะกดจิตดึงเอาอดีตของคนไข้ที่อยู่ในระดับลึกมากออกมา เพื่อหาสาเหตุของอาการผิดปกติของคนไข้ซึ่งการรักษาทางแบบแผนทั่วไปหาสาเหตุไม่ได้ และหลายครั้งที่การสะกดจิตนั้นมันทำให้คนไข้ย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ในอดีตชาติอีกด้วย
*อ้อย-มยุรี บุณยาภรณ์ :
ราวปี พ.ศ.2555 ผมบังเอิญติดต่อกับเธอได้ จำไม่ได้ว่าหากันเจอได้ยังไง ก็เม้ามอยกันเรื่อยเปื่อยไปๆ มาๆ อยู่หลายเดือน
ผมกับเธอก็นัดเจอกันที่งานศิษย์เก่า สบว. 2557 เป็นครั้งแรก และผมได้เจออ้อยครั้งล่าสุดคือ งาน สบว. สัมพันธ์ 28 พ.ย. 65 หลังจากนั้นก็ได้แต่พิมพ์ผ่านไลน์คุยกัน
อ้อย-มยุรี อยู่ตรงกลางภาพ
วันนึง อ้อยได้รื้อฟื้นความหลังทำนองว่า เขาเคยแกล้งผม จนผมโกรธมาก จำได้มั้ย...
อัยยะ!!! เหมือนในหนังเลย
ผมเห็นตัวเองอยู่ในร่างของเด็กชายทรงผอมดำในห้องเรียนห้องหนึ่งที่แสงในห้องกระจ่างชัดเหมือนอยู่ใต้แสงนีออน เป็นภาพที่กำลังยืนระหว่างโต๊ะเรียนกับเก้าอี้นั่ง ตาจ้องไปที่กระดานดำเหมือนจะอ่านหรือจะเตรียมจดอะไรสักอย่าง แล้วก็นั่งลง...
ตุ้บ.. ปึ้ก... เฮ้ยยยย!!! มันเกิดขึ้นเร็วมากชั่วเสี้ยววินาที
ก้นผมกระแทกกับพื้นไม้ของห้องเรียนแล้วผงะหงายไปด้านหลังพาหัวไปสู่สันเก้าอี้ที่ตั้งรอไว้อย่างเหมาะเจาะถูกที่ถูกเวลา
โลกยังไม่โหดร้ายเกินไป ...
สันเก้าอี้มันมีลักษณะมนไม่เป็นเหลี่ยมคมที่จะสร้างรอยเลือดหรือรอยปูดที่สาหัสได้ แม้กระนั้นความเจ็บที่เกิดขึ้นก็ถึงกับน้ำตาซึม
ผมปล่อยเสียง “เฮ้ย” ออกไปสุดเสียงจากความตกใจบวกกับความโกรธในขณะที่หันขวับไปด้านหลังเจอหน้ากลมๆ กำลังทำท่าเหมือนจะหัวเราะ เสียงตวาดนั้นมันทำให้หน้านั้นสลดลง แล้วผมก็หันกลับมากลั้นน้ำตาเพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อตามประสาเด็ก ………ถ้าโตแล้วเธอโดนแน่!
เหตุการณ์นั้นมันคงจะทำให้เกิดรอยแผลขึ้นในใจอ้อยที่ทำให้เธอยังจำได้แม้ผ่านมาห้าสิบกว่าปี แต่ผมจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งคำพูดของเธอทางโทรศัพท์ได้ไปกู้คืนพื้นที่ความจำให้มันได้ออกมาแสดงอีกครั้ง
*ศศิธร สุทัศน์วานิช
เธอเป็นหมวยหน้ากลม ที่ผมจำชื่อและหน้าเธอได้แม่นจากกลอนที่ว่า “เกิดเป็นศศิธรขึ้นสามดวง โชตช่วงจำรัสรัสมี....”
ผู้หญิงแถวล่างสุดคนกลางคือเธอ
ตุลาคม 2565 ผมได้เข้าไปหาข้อมูลเกี่ยวกับคุณครูสัมฤทธิ์ แสงมณี บนเฟสบุ๊ค แต่ดันไปเจอชื่อศศิธรเข้า เพราะเธอเข้าไปโพสต์เกี่ยวกับครูสัมฤทธิ์
ผมดีใจมากที่จะได้ติดต่อกับเพื่อนรุ่นอนุบาลอีกครั้ง แล้วเราก็เริ่มแชทกันในเมสเซนเจอร์
การแชทของเราทำเอาผมอึ้งไปสองระลอก
อย่างแรก ศศิธรจำรายละเอียดได้ขนาดนั้นเลยเหรอ!
อึ้งที่สอง ข้อมูลที่ได้จากเธอทำให้ภาพเก่าๆ ที่ผมคิดว่ามันเปื่อยสลายไปแล้วนั้นมันกลับมาอีกครั้ง
มันไม่ได้รุนแรงเหมือนกรณีของอ้อย แต่มันเกิดช้าๆ และชัดเจน มันไม่ได้หายไปไหน ถ้าศศิธรไม่ได้ดึงขึ้นมาผมก็จำไม่ได้หรอกว่ามันมีเรื่องนี้เกิดขึ้น
ลองมาดูว่าผมคุยอะไรกับศศิธร...
ศศิธร:
เราชื่อศศิธร
สมัยเรียนอนุบาลสระบุรีเรียนห้องเดียวกับอาทิตย์
ดีใจที่ได้เจอนะ
เธอคือตำนาน คือคนที่ทำให้เราเริ่มต้นการอ่านหนังสือ
 
ผม:
โอ๊ย ขนาดนั้นเลย เราเรียนแย่มากตอนโต
(พิมพ์ตอบไม่ถนัดเพราะกำลังลอยอยู่ด้วยความภูมิใจ)
ศศิธร:
ตอนเด็กๆเราอ่านหนังสือไม่ออก แต่ประหลาดใจที่เธออ่านหนังสือออก และเธอบอกว่าเธออ่าน ฟ้าเมืองทอง
หน้าจอแชทที่ได้คุยกัน
ตอนนั้นเรียนกับครูสัมฤทธิ์ ครูให้แต่งกลอนบนกระดาน ซึ่งครูเริ่มเขียนไว้ก่อนแล้ว
ไม่มีนักเรียนคนไหนแต่งได้
ครูเขียนก่อนเกี่ยวกับก่อนปีใหม่
เธอต่อกลอนให้ครูว่า... พนมกรทั่วหล้า ขอพรจากฟ้า หลั่งมาสู่เธอ
 
ผม:
เฮ้ยยยย จำได้ขนาดนั้นเลย
(อึ้งไปเลยว่าเธอจำได้ขนาดนั้น)
ศศิธร:
เราตกใจมาก เพราะเราไม่เข้าใจคำว่า หล้า แปลว่าอะไร (ตอนนั้นเราอยู่ป .4 นะ )
หน้าจอแชทที่ได้คุยกัน
เราถามว่าเธอทำไมถึงเก่งขนาดนี้ เธอบอกว่าให้อ่านหนังสือสิ
เธอเล่าให้เราฟังว่า รู้ไหมตอนจบทศกัณฐ์ตายยังไง เราไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้เลย
เธอเป็นคนบอกว่าให้เราอ่านหนังสือ แล้วเธอก็หยิบหนังสือดอกเตอร์ดูลิตเติ้ลให้เราอ่าน บอกว่าอันนี้สนุก
เราก็อ่านนะ
หลังจากนั้นเราติดการอ่าน อ่านมาเรื่อย
/// แล้วเราก็คุยเรื่องเพื่อนๆ กันต่อ ////
ระหว่างที่คุยกับเธอ ผมมองเห็นภาพของตัวเองในชุดนักเรียนที่นั่งโต๊ะติดกับเธอ คุยกันเบาๆ
ในกระเป๋าผมตอนนั้นมีหนังสือด็อกเตอร์ดูลิตเติ้ลที่พ่อซื้อให้ และมันยังทำผมนึกถึงหนังสืออีกสองเล่มก็คือ นิทานนานาชาติสำหรับเด็ก เล่ม 1 และ 2 ซึ่งจำได้อยู่เรื่องเดียวในเล่มหนึ่งในนั้นว่ามีเรื่อง “ทำไมค้างคาวจึงนอนห้อยหัว” ซึ่งอีกสองเล่มพ่อก็ซื้อให้อ่านด้วย
Credit: ลูกอ๊อดหนังสือเก่า
เรื่องหนังสือผมพอจะจำได้ แต่บทสนทนาในอดีตทั้งหมดรวมทั้งกลอนที่ศศิธรพูดถึงนั้นเหมือนมันไม่เคยมีมาก่อนเลยจนกระทั่งเธอขุดมันขึ้นมา
ทั้งอ้อยและศศิธรทำให้ผมเกิดความคิดว่า มันน่าจะเป็นไปได้ว่าถ้าเรามีวิธีที่ดีพอ เราน่าจะสามารถแคะคุ้ยหาตะเข็บความจำในอดีตชาติขึ้นมาได้ มันอาจจะยังคงมีอยู่ แต่มันถูกกดทับเพราะความประสงค์บางอย่างของพระผู้สร้าง
สิ่งที่ได้จากเบ้าพิมพ์อนุบาลสระบุรี :
ลายมือ, การเคารพนบไหว้, การปฏิสัมพันธ์กับสังคม, การแสดงบนเวที, การร้องเพลง, และที่ผมถูกกดพิมพ์ออกมาชัดกว่าเรื่องอื่นก็คือ ความชอบในร้อยกรอง
เบ้าพิมพ์ในเรื่องร้อยกรองของผมก็คือ ครูสัมฤทธิ์ แสงมณี
ครูสัมฤทธิ์เป็นครูประจำชั้นผมในช่วงประถม 3 และ ประถม 4 คุณครูเป็นคนร่างสูงใหญ่ หล่อเฟี้ยว ผมหยักศก แต่งตัวเนี้ยบ
ผมไม่รู้ว่ามันมีวิชาแต่งกลอนหรือเปล่า เพราะผมคิดว่ามันยากเกินไปสำหรับเด็กที่แม้แต่บทเรียนธรรมดายังอ่านกันไม่คล่องเลย แต่ครูก็สอนพวกเราเขียนกลอน
ผมจำกลอนบทหนึ่งที่อาจจะเป็นบทแรกที่ครูเขียนบนกระดานได้อย่างกระท่อนกระแท่นว่า
“ฉันอยากกินอ้อยขวั้นจนมันเขี้ยว ใจนึกเสียวเหล็กไนใต้ก้นผึ้ง เคยถูกต่อย...ตระบึง.....”
ผมพอจะจำกลอนที่แต่งตอนอยู่โรงเรียนอนุบาลได้บ้าง โดยที่มันบันทึกอยู่แค่ในความทรงจำที่พอจะท่องออกมาหรือเขียนขึ้นมาใหม่
สำหรับกลอนในวัยอนุบาล ก็มีแต่เพียงกระดาษแผ่นเหลืองบางกรอบขาดวิ่นอยู่แผ่นเดียวเท่านั้นที่หลงเหลือให้จับต้องได้
กระดาษแผ่นนี้ราวปี 2514
แต่อยากเสนอกลอนในตำนานของผมที่ทำให้ผมได้รางวัลจากลุง 20 บาทซึ่งมากโขอยู่ในยุคที่ทองบาทละสี่ร้อยกว่า พร้อมกับคำแนะนำให้ไปวัดไอคิวซะด้วย มีความว่า …
“เพราะผมเป็นกามโรคจู๋จึงหด มันชอบถดถอยไปเข้าในอู่ ใครๆ เห็นร้องทักมักขอดู พออยู่ๆ จู๋โผล่โอโฮยาว”
ผมก็แค่ชอบอ่านกลอน แต่ก็เลิกอ่านไปหลังปี 2517 ส่วนเรื่องการแต่ง ปกติก็ไม่ชอบแต่ง ใครจะจ้างหรือจะขู่บังคับก็แต่งไม่ออก ถ้าจะให้มีผลงานออกมาได้ก็ต้องมีเงื่อนไขอยู่สามอย่าง
1-ถูกร้องขอสำหรับงานที่จำเป็น
2-เกิดอาการหมั่นไส้คน หรือหมั่นไส้สังคมขึ้นมาอย่างมาก
3-เกิดภาวะอยาก “อวดอัจฉริยะ”
อย่างไรก็ตาม ปกติผมจะไม่สามารถแต่งให้จบภายใน 1 วันได้ การเริ่มแต่งอาจจะไหลรื่น แต่เมื่อไหร่ที่รู้สึก “ตัน” แล้วก็ต้องพัก ต้องรอข้ามคืนเพื่อส่งให้ AI ของยานแม่ประมวลผลให้ ผมเคยลองนอนกลางวันแล้วแต่ก็ยังแต่งไม่ได้ ต้องรอพรุ่งนี้เช้าเท่านั้นชิ้นงานถึงจะออกมาได้
ผลงานที่ออกมามันก็พื้นๆ ซ้ำๆ จนเอียนตัวเอง เรียกว่าพอแต่งได้เท่านั้น ห่างไกลจากคำว่ากวีลิบลับ
ร้อยกรองชิ้นล่าสุดก็คือการแต่งสำหรับงานไหว้ครูมัคคุเทศก์ที่มี มรว.สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์ เป็นผู้ควบคุมโครงการ เมือปี 2557 จากเงื่อนไขข้อ 1 คือเพื่อนๆ ร้องขอ
สำหรับวันไหว้ครูมัคคุเทศก์ รุ่น 7 สวนดุสิต 2557
ผมก็แค่อยากอ้างอิงว่าเบ้าพิมพ์ของอนุบาลสระบุรีมันบีบอัดแก่นของผมให้เป็นรูปเป็นร่างจากก้อนดินขึ้นมาเป็นตุ๊กตาดินเหนียวตัวเล็กๆ ที่พอจะมีเค้าโครงตัวตนให้เห็น
ตุ๊กตาดินตัวนี้จะแก่แดดแก่ลมหรือถูกไฟเผาจนแข็งแกร่ง หรือยุ่ยสลายแตกหักมันก็เป็นเรื่องของช่วงต่อไป
พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดคือส่วนผสมของดิน
อาจจะเป็นดินเหนียว ดินทราย ขี้เถ้า ขี้วัว ขี้ควายก็ตาม
อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเด็กที่กำลังเรียนรู้ถูกบีบอัดด้วยเบ้าพิมพ์ที่บิดเบี้ยว เขาจะกลายเป็นผู้ใหญ่แบบไหน?
ผมโชคดีที่ได้ใช้เวลาในช่วงสร้างความเป็นตัวตนในโรงเรียนอนุบาลสระบุรี
เริ่มตั้งแต่อนุบาล 1 ซึ่งยังไม่เดียงสาในความแตกต่างของหญิงกับชาย จนกระทั่งถึงจุดที่เข้าสู่ภาวะที่มีจิตระทึกระทวยต่อสิ่งเร้าที่มาจากเพศตรงข้าม
มันเป็น 6 ปีที่สำคัญในการเรียนรู้หล่อหลอมและซึมซับความสุขจากทุกคนที่โอบล้อม
.........ขอขอบคุณคุณครูทุกคนของโรงเรียนอนุบาลสระบุรีด้วยครับ.......
โฆษณา