Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Show my love
•
ติดตาม
24 ธ.ค. เวลา 04:47 • กีฬา
ลิเวอร์พูลกับภาพแมนฯ ยูไนเต็ดในยุคเฟอร์กี้, เทียบซาลาห์กับอองรี?
พยายามจั่วหัวให้สั้น และเห็นภาพที่สุด แต่ก็กลัวจะดราม่าเล็กๆ เพราะจริงๆ ไม่เคยอยากดัง หรือให้มีดราม่า รวมๆ ตั้งแต่มีเพจกับเว็บฯ ก็ดราม่าน้อยมาก ออกๆ ไปทางขำๆ หยิกๆ แกมหยอกมากกว่า
ยิ่งส่วนตัวหลายๆ คนคงไม่อยากเอาทีมชุดนี้ไปเทียบกับแมนฯ ยูไนเต็ดในอดีต แต่ถ้าจะย้อนไปยุครุ่งเรืองของลิเวอร์พูลทศวรรษ 80-90 ผมก็ยังเด็กมากๆ เทียบไปคนอ่านอาจจะไม่เห็นภาพ
ลิเวอร์พูลในเกมกับสเปอร์สที่ผ่านมา ผมเห็นภาพแมนฯ ยูไนเต็ดยุคเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เวลานำทีมดวลกับสเปอร์ส อะไรแบบนั้นจริงๆ
ไก่เดือยทองยุคนั้นคือทีมที่เล่นยังไงก็แพ้แมนฯ ยูไนเต็ด เอาความทรงจำล้วนๆ แทบจำเกมที่สเปอร์สชนะแมนฯ ยูฯ ในหัวไม่ได้เลย แต่จำเกมที่แมนฯ ยูไนเต็ดตาม 3 ลูก และกลับมาชนะ 5-3 ได้ลางๆ(ถ้าผิดก็ขออภัย)
ทีนี้ในยุคหลังๆ สเปอร์สก็แพ้ลิเวอร์พูลต่อเนื่อง หรือไม่ชนะนานมากๆ เพิ่งเห็นจากสถิติก่อนเกมนั่นแหล่ะว่าประมาณ 17 เกมหลัง สเปอร์สชนะลิเวอร์พูลได้น่าจะ 2 เกม ผมขออนุญาตไม่ค้น(คอมเมนต์แก้ได้) แต่คิดว่าช่วงใดช่วงหนึ่งสเปอร์สคงมีสถิติคล้ายๆ กันกับแมนฯ ยูไนเต็ด
ใช่ ระยะหลังพวกเขาไม่ได้ผูกปีแพ้แมนฯ ยูไนเต็ดละ เอาล่าสุดในลีก คัพ ก็ชนะได้ 4-3 หรือในฤดูกาลนี้ที่โอลด์แทร็ฟฟฟอร์ด ไก่ก็บุกไปถล่มแมนฯ ยูไนเต็ด 3-0 เอาซะแบบสกอร์ที่ลิเวอร์พูลบุกชนะแมนฯ ยูไนเต็ดเป็นเรื่องธรรมดาไปเลย
เหมือนกับที่เราดีใจมากที่เอาชนะแมนฯ ซิตี้ในแอนฟิลด์ได้ แต่ผ่านมาหลายสัปดาห์หลังจากนั้น เป๊บ กวาร์ดิโอล่า แสดงให้เห็นว่าชัยชนะนัดนั้นไมได้ยิ่งใหญ่อะไร เพราะใครๆ ก็ชนะพวกเขาได้!
แต่ที่เอาสเปอร์สมาเป็นตัวชี้วัด เพราะในยุคสมัยใดก็ตาม ส่วนใหญ่แฟนบอลสเปอร์สจะพอใจให้ทีมเล่นเกมรุก แม้ว่าจะไม่ได้แชมป์(คือจริงๆ พวกเขาก็อยากได้แชมป์นั่นแหล่ะ) แต่ถ้าไหนๆ มันก็ไม่เคยได้ ก็ขอให้ทีมทำบอลเกมรุกก็แล้วกัน
ทีมสไตล์นี้ก็จะมีพวกนิวคาสเซิล มิดเดิลสโบรห์ ที่ขอให้ยุคไหนๆ ก็เล่นเกมรุก แต่ถ้าเป็นกลุ่มทีมใหญ่ก็จะเป็นแมนฯ ยูไนเต็ด ลิเวอร์พูล สเปอร์สที่เน้นเกมรุก แฟนปืนยุคหลังอาจจะไม่ทัน แต่ความจริงอาร์เซนอลไม่ได้มีปรัชญาแบบนี้
พวกเขาเคยมี “Boring Arsenal” ในยุคสมัยของจอร์จ เกรแฮม หรือบรูค ริออซ ที่ประสบความสำเร็จก่อนที่จะถูกเปลี่ยนโฉมโดยอาร์แซน เวนเกอร์
ลิเวอร์พูลเองแม้ยังคงปรัชญาเกมรุก แต่หลังจากไม่ประสบความสำเร็จนานๆ ก็มียุคที่สไตล์น่าเบื่อของเชราร์ อุลลิเยร์ แม้จะลดความดุดัน แต่รวมๆ ก็ยังเล่นเกมรุกมากกว่า(อย่างน้อยก็ตอนเจอทีมเล็กๆ!) ตัดรอย ฮ็อดจ์สันไป จริงๆ ราฟา เคนนี่ ร็อดเจอร์ส หรือคล็อปป์ก็เน้นรุกเป็นหลัก
สเปอร์สก็มักจะเลือกผู้จัดการทีมสไตล์แบบนั้น จนมาถึงอันเค่ ที่ถ้าแฟนเดนตายก็คงพอใจกับสไตล์ แม้จะไม่พอใจกับผลการแข่งขัน แต่เห็นแบบนี้พวกเขามักจะเป็นตัวแปรแบบไม่ตั้งใจในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก
เช่นกันพวกเขามักจะเป็นทีมที่เหมาะในการใช้วัดมาตรฐานว่าทีมไหนอยู่กลุ่มบน หรือระดับที่จะเป็นแชมป์ เอาให้เข้าใจง่ายๆ ถ้าทีมไหนอัดสเปอร์สได้เป็นประจำก็มักจะเป็นทีมกลุ่มบน
มันมาแปลกตอนที่แมนฯ ซิตี้ของเป๊บที่มักจะสะดุดกับสเปอร์สบ่อยๆ และในฐานะคู่แข่งในการลุ้นแชมป์ ผมเชื่อว่าทั้งอาร์เซนอล และลิเวอร์พูล ระยะหลังก็รอเกมนี้ที่แมนฯ ซิตี้เจอสเปอร์ส เพราะมักจะทำให้ทีมของเป๊บสะดุดได้
แต่ความรู้สึกเกม 3-6 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โอเคว่าฤดูกาลที่แล้วสเปอร์สชนะ 2-1 แต่เป็นหนึ่งในเกมที่ตอนนี้ทุกคนเห็นชัด และมีหลักฐานรองรับชัดเจนว่าทำไมนี่คือหนึ่งในเกมที่มีการตัดสินที่อัปยศที่สุดในยุคของพรีเมียร์ลีก
ภาพรวมตั้งแต่ยุคคล็อปป์หรืออาจจะนับรวมก่อนหน้านั้นเล็กน้อยได้ สเปอร์สเรียกว่าแพ้ทางลิเวอร์พูลจริงๆ
ด้วยความเคารพต่อแฟนสเปอร์ส ผมรู้ว่าพวกเขามีปัญหาการบาดเจ็บ โดยเฉพาะเซนเตอร์ฮาล์ฟ แต่เกมวันอาทิตย์มันทำให้ความรู้สึกในการดูของผม เป็นแบบสมัยดูแมนฯ ยูไนเต็ดเจอกับสเปอร์สในอดีต
เล่ากันว่าเฟอร์กูสันใช้จิตวิทยาในการคุมทีมเวลาเจอกับสเปอร์ส แค่บอกว่าลงไปเล่นแบบเดิม ไม่ต้องวางแผนใหม่ เพราะวิธีการเดิมๆ ในความหมายก็คือยังไงก็ชนะได้
ตลอด 90 นาทีบวกทดเวลา วันนั้นไม่ได้เขียนจุดนี้ใน RECAP เพราะเกมช่วงนี้เป็นอะไร ดึกตลอด ทั้งง่วงทั้งหนาว! ผมรู้สึกราวกับว่าลิเวอร์พูลจะยิงเมื่อไหร่ก็ได้ จะผ่อนเมื่อไหร่ก็ได้ คือเป็นเกมที่ชนะแน่นอน ทั้งที่หากพิจารณาด้วยเหตุผล
มีช่วงที่สเปอร์สไล่มา 1-2 หากเข้าห้องแต่งตัวแบบนี้สถานการณ์อาจจะแตกต่างออกไป หรือตอน 3-5 ที่ถ้าสเปอร์สยิงคืนมาอีกสักลูก แฟนหงส์คงนั่งไม่ติด เสียวรูทวารอะไรแบบนั้น
แต่เอาจริงๆ สุดท้ายเรารู้อยู่แก่ใจว่าลิเวอร์พูลจะเป็นผู้ชนะ หรือใครที่ดูระหว่างเกมไม่คิดแบบนั้นเลย?
มันไม่ใช่การอวดตัวว่าเก่ง มันไม่ใช่ว่าง่าย นักเตะไม่พยายามวิ่งก็ชนะได้ แต่ในความหมายคือเรื่องของความรู้สึกล้วนๆ ถ้าตัดความเป็นเด็กหงส์ หรือความกลัวความไม่แน่นอนบนโลกใบนี้ เกมวันอาทิตย์เป็นอีกเกมที่ต้องบอกว่า ‘Outclass’
ถ้าหยาบหน่อย ฟังดูแรงอาจจะบอกคนละตีน คนละชั้น แต่ถ้าให้ซอฟท์หน่อยอาจจะบอกว่าคนละเกรด คนละระดับ หรือสู้กันไม่ได้ เขียนตรงนี้อย่างที่บอกว่าไม่อยากให้ดราม่า มันอาจจะเป็นแค่ความรู้สึกในเกมนัดเดียว สเปอร์สอาจจะมีปัญหา และไม่พร้อมมากจริงๆ
แต่มันทำให้เห็นการซ้อนทับของภาพแมนฯ ยูไนเต็ดในอดีตกับลิเวอร์พูลตอนนี้ คือถ้าแฟนผีหลงมาอ่าน ก็อยากจะบอกว่าลิเวอร์พูลชุดนี้ยังเทียบแมนฯ ยูไนเต็ดยุครุ่งเรืองไม่ได้ในแง่ความสำเร็จ ถ้วยรางวัลต่อเนื่อง อะไรก็ตาม
ไม่ได้บอกเช่นกันสำหรับเด็กหงส์ว่าเราด้อยกว่า ถ้าเทียบชุดต่อชุด แข่งกันแบบยุคสมัยมันต่างกัน ฟุตบอลสไตล์ปัจจุบันถ้าเอาทีมยุคนี้ไปแข่งกับยุคก่อน มันควรจะชนะ งงไหม? เพราะไม่อย่างนั้นแปลว่าแท็กติกที่พัฒนาในยุคหลังด้อยกว่ายุคก่อน งั้นบอลสไตล์โบราณคงเป็นแชมป์ไปแล้ว
เอาแค่เพรสซิ่งถ้าทีมยุคนี้ไปเล่นกับอุรุกวัยยุคแชมป์โลกสองสมัย อุรุกวัยคงไปไม่เป็น (แต่ทีมยุคนี้อาจจะขาหัก!) แต่ความยิ่งใหญ่ในยุคสมัยเดียวกัน ลิเวอร์พูลอยู่ในร่มเงาของแมนฯ ซิตี้ ซึ่งจะยิ่งใหญ่มากด้วยเหตุผลทางการเงิน หรือโกงไหม จะถูกริบแชมป์ไหม รอดูผลตัดสิน 115 คดีหรือมาก 150 คดีออกมาก่อน
แต่ ณ เวลานี้ ลิเวอร์พูลยังไปไม่ถึงจุดนั้น แต่ความรู้สึกที่แวบออกมาตอนชนะสเปอร์ส ผมว่าไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ
มันจะเกิดขึ้นแบบแมนฯ ยูไนเต็ด ต่อเมื่อเราเห็นทีมที่ดีมากๆ เท่านั้น เราอาจจะเห็นว่าบางฤดูกาลเล่นไปสัก 10 นัด ลึกๆ ในฐานะแฟนลิเวอร์พูลตอนนั้นไม่อยากจะยอมรับ แต่ความเป็นจริงเรารู้สึกได้ว่าแมนฯ ยูไนเต็ดคงได้แชมป์อีกตามเคย
ตอนนั้นพวกเขาแข่งกับอาร์เซนอล จนเริ่มมามีคู่แข่งมากขึ้นช่วงเชลซี และแมนฯ ซิตี้ ตอนนั้นพวกเขาก็ดี แต่ความรู้สึกว่าจะได้แชมป์แน่ๆ เริ่มจากลางๆ ออกไป
อาจจะผนวกกับการที่ปีนี้ ซิตี้ดร็อปไปมาก เกมแพ้วิลล่า เท่ากับวีกนี้ 9 แต้มจากจ่าฝูง บวกกับ 2 เกมในมือ มันยากมากๆ หลายคนตัดพวกเขาออกไปได้เลย ถ้าคิดแบบเข้าข้างตัวเองก็จะเท่ากับ 15 แต้ม แต่ถ้าคิดแบบแฟร์ๆ ที่สุด คือลิเวอร์พูลต้องพลาด 5 นัด
5 นัดนั้นคือต้องแพ้หมดด้วย หรือถ้าคิดว่าเสมอปนมาด้วยคือ 6-8 นัดเลย และเหนือสิ่งอื่นใด สิ่งทีเกิดขึ้นพร้อมกันคือซิตี้ต้องชนะรวดด้วย อย่างหลังนี่ยากกว่าเยอะเลยกับฟอร์มที่เห็นแบบนี้
เราเห็นซิตี้ run ชนะต่อเนื่องได้ เห็นมานักต่อนัก ใช่ แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาแพ้ 9 จาก 12 นัดแบบนี้แน่ๆ
มันจึงเป็นความรู้สึกว่าลิเวอร์พูลเทียบกับแมนฯ ยูไนเต็ดในยุคเฟอร์กี้ที่แวบออกมา เพราะลิเวอร์พูลกำลังแข่งกับอาร์เซนอล และเชลซีในตอนนี้เหมือนกัน
อย่างไรก็ตามมันเพิ่ง 16 นัด ยังไม่ครึ่งฤดูกาลด้วยซ้ำ และแต้มนำเชลซีก็แค่ 4 แต้ม ถึงจะมีเกมในมือ 1 นัด และนำอาร์เซนอล 6 แต้ม มันอยู่ในระยะที่ตามทันได้แน่ๆ เอาแค่เกมที่เจอกันก็สมมติว่าตัดแต้มห่างเหลือเท่านี้ได้แล้ว อะไรก็ยังไม่แน่นอน
แค่บอกว่าในความรู้สึก อาจจะเพราะมาตรฐานตลอดหลายปีของลิเวอร์พูลระยะหลัง มันทำให้หงส์แดงเหมือนมีทุน มีพื้นฐานอยู่ในใจ ในทีมชุดนี้(แต่จริงๆ กองกลางเพิ่งเล่นร่วมกัน 2 ปี ตัวจริงเพิ่งยึดกันมาได้ปีนี้ด้วยซ้ำ!)
ความรู้สึกอาจจะวัดอะไรไม่ได้แต่อย่างน้อย มันก็เป็นสัญญาณที่ดี เอาจริงๆ แมนฯ ยูไนเต็ดในยุคนั้นก็ดูดีกว่าสเปอร์สทุกปีแหล่ะ แต่พวกเขาก็ไม่ได้แชมป์ทุกปี ดังนั้นก็เผื่อใจไว้บ้างได้นิดหน่อย
คือถึงตอนนี้อย่าเข้าใจว่าผมเอาทีมชุดนี้ไปเทียบกับแมนฯ ยูไนเต็ดยุคเฟอร์กูสัน แต่บอกว่าความรู้สึกในเกมชนะสเปอร์ส เราเห็นว่าลิเวอร์พูลกำลังอยู่ในยุคที่มาตรฐานเป็นแบบนั้น จะมีบางทีมที่เรามักจะเก็บแต้มได้ง่ายๆ เป็นประจำ และชัดเจนว่าอย่างน้อยลิเวอร์พูลผ่านเกณฑ์ “ลุ้นแชมป์”ปีนี้แน่ๆ
ต้นฤดูกาลหลายคนตั้งเป้าแค่แชมเปียนส์ลีก มันก็เหมือนที่เชลซีพยายามท่องคาถานี้ทุกสัปดาห์ก่อนหน้านี้เพื่อลดความกดดัน แต่พวกเขาเจอโจทย์ที่กูดิสัน พาร์ก คือต้องชนะเพื่อขึ้นจ่าฝูงอย่างน้อย 2 ชม.
และพวกเขาผ่านโจทย์นี้ยังไม่ได้ เหมือนกับทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ในหลายๆ ฤดูกาลก่อนหน้านี้ เรามีบางสัปดาห์ที่ซิตี้พลาด แต่เราก็ดันพลาดตามอะไรแบบนั้น แต่ที่สำคัญหลังจากนี้คืออย่าให้เชลซี หรืออาร์เซนอลได้มีโอกาสทำโจทย์ดีกว่า!
ย้อนไปเกมกับนิวคาสเซิลถ้าวันนั้นชนะ ผมมั่นใจแล้วว่าสถานะเราคือลุ้นแชมป์ได้แน่ๆ ถึงโค้งสุดท้าย แต่เราปล่อยหลุดมือ ตอน 10 ตัวในเกมกับฟูแล่ม แม้จะได้มา 1 แต้ม แต่ผมแอบคิดเหมือนกันว่าถ้าเป็นซิตี้ต(ปีที่จะได้แชมป์) หรืออาร์เซนอลที่เล่นในบ้าน บางทีพวกเขาอาจจะถึงชนะได้
แต่ 2 แต้มจาก 2 เกมที่เล่นไม่ได้ดีมาก(จริงๆ เกมกับฟูแล่มเล่นดีแต่ตัวน้อยกว่า) มันมองว่าเสียหายก็เสียหาย แต่ในแง่โมเมนตัม และกำลังใจมันไม่ได้ตก มันน่าภูมิใจกว่าด้วยซ้ำ ถ้าไม่แอบคิดเทียบแบบโกงๆ อย่างที่ผมหวัง (แต่เชื่อว่ามีช่วงที่หลายคนหวังถึงชนะฟูแล่มแน่!)
ดังนั้นการเจอสเปอร์สมันคือพลาดไม่ได้เลย จริงๆ มันคือโจทย์ของเราเช่นกัน เพราะปีที่แล้วเราแพ้ ถึงน่ากังขาก็เถอะ แต่ความกังวลนี้ถูกสลัดออกไปตั้งแต่ 10-20 นาทีแรกของเกมเลย เพราะเราเล่นได้ดีมาก และสเปอร์สไม่ได้มาอุด มารับหวังแต้มเดียวอะไรแบบนั้น
สเปอร์สถ้าเป็นนักมวยก็หมัดหนัก มีทีเด็ด แต่คางเปราะ โดนเป็นยุบ มันเป็นเกมที่น่าจะหนักที่สุดบนหน้ากระดาษในรอบ 5 เกมข้างหน้า(นับจากก่อนเกม)ช่วงเทศกาล
ลิเวอร์พูลผ่านมันได้แล้ว อย่างสวยงามมาก ฤดูกาลนี้หลายคนอาจจะไปไกลถึงว่าได้แชมป์ ฝันได้เลย เส้นทางยังอีกยาวไกล ใช่ ผมไม่ได้บอกว่ามั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าจะได้ แต่โอกาสนั้นดีมากๆ
การจะยืนระยะตลอดทั้งฤดูกาลมันควรจะมีความรู้สึกนี้ด้วยเช่นกัน มันต้องมีเกมที่เล่นได้อย่างมั่นใจ ไม่ใช่ว่าลุ้นไปทุกเกม เพราะมันอาจจะพลาดได้ทุกเกมเช่นกัน นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่อาร์เน่อไม่ได้เลือกปิดเกมส่งวาตารุ เอ็นโด ที่เจอเล่นงานจนงอมในลีก คัพ ลงท้ายเกม
เอ็นโดลงเกมไหนเหมือนเป็นสัญญาณว่าจะปิดเกมแล้ว มีคนแซวในเกมลีก คัพ หรือมองการเล่นของเขาว่าเป็น Inverted midfielder หรือ Inverted defender คือตอนรับเป็นกองหลัง แต่รุกเป็นกองกลาง หรือเรียกว่า False 4 อะไรแบบนั้น!
แต่ผมมองว่าเป็น Inverted sub. หรือ False sub. มากกว่า เพราะให้ลงบ้างไม่ให้ลงบ้าง!
อันนี้หยอกๆ ยังไงก็ตามก็เคารพการตัดสินใจของอาร์เน่อ ดูผลงานสิ มีอะไรกล้าแย้ง และถึงเวลานี้หลายคนอาจจะยังไม่พูด แต่สถานะแบบเดียวกับหลายฤดูกาลกำลังจะมา
ลิเวอร์พูลลุ้น 4 แชมป์ และ ณ ตอนนี้เป็นเต็ง 1-2 ทั้ง 4 รายการด้วย
มันยากอยู่ ย้ำ และขุมกำลังของลิเวอร์พูลไม่ได้ใหญ่มาก พอดีๆ ถ้าเกิดปัญหาอะไรต่อจากนี้ อาจจะมีเสียกระบวน หรือต้องปรับชุดที่เล็กลงอย่างน้อยบอลถ้วยในประเทศ ขณะที่แชมเปียนส์ลีกรอบน็อกเอาท์อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่ละทีมเขี้ยวลากดินทั้งนั้น
ซาลาห์ยิงผ่านสถิติอองรีด้วยจำนวนเกมน้อยกว่า
แต่ในพรีเมียร์ลีก และปัจจัยสำคัญที่จะพูดถึงทิ้งท้ายคือ โม ซาลาห์
อีกสถิติที่โมแซงผ่านคืออองรีตำนานอาร์เซนอล
จำนวนนัดน้อยกว่า แต่ประตูมากกว่า และแอสซิสต์ที่มากกว่า ซาลาห์ยิงไป 229 ประตูจาก 373เกม และทำไป 103 แอสซิสต์ในเวลานั้น ขณะที่อองรียิงไป 228 ประตูจาก 337 เกม และทำ 93 แอสซิสต์ในช่วงเวลาเดียวกัน
ผมจะไม่บอกว่าใครเก่งกว่า สถิติซาลาห์ชนะ แต่ความยิ่งใหญ่แฟนปืนพูดถึงอองรีอาจจะเหนือกว่า อาจจะพูดว่าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัย (รอดูหลังจบฤดูกาลนี้ในเรื่องนี้นะ! ) หรือถ้าลิเวอร์พูลได้แชมป์ฤดูกาลนี้ อาจจะเจอการ์ดไร้พ่ายถูกหงายขึ้นมา!
อันนี้หยอกๆ แต่หลายคนพูดถูกที่ว่าซาลาห์ถูก Underated ที่แปลว่าประเมินต่ำ หรือมองข้าม หรือจะบอกว่าได้รับการชื่นชมน้อยเกินไป
อันนี้ผมว่าไม่ อย่างน้อยในประเทศอียิปต์! ความจริงสำหรับผมเปเล่ยังเป็นนักเตะที่เก่งที่สุด แม้ว่ามาราโดน่าอาจจะมีความสามารถในการแบกทีมมากกว่า หรือคนจะบอกว่าคริสเตียโน่ โรนัลโด้ หรือเมสซี่ได้บัลลงดอร์มากกว่า แต่ความทรงจำของผมมันเปลี่ยนตรงนี้ไม่ได้
ภาพของอองรีเช่นกัน จุดที่เหนือกว่าคืออองรีอยู่กับทีมชาติฝรั่งเศส ได้สร้างผลงานระดับชาติมากกว่า ความกว้างขวาง หรือแมสกว่าชัดเจน และไม่พอถ้าเอาแชมเปียนส์ลีกมานับ อองรีก็จะได้ในตอนที่เขาไปอยู่กับบาร์เซโลนา
ในแง่ถ้วยรางวัล ความสำเร็จสมบูรณ์ อย่างน้อยผมยอมรับว่าอองรีมีมากกว่า
แต่ในฐานะเด็กหงส์ ซาลาห์ยัง ยังมีโอกาสจะได้เหรียญรางวัลเพิ่มในฤดูกาลนี้ และหวังว่าประกาศต่อสัญญาอาจจะเป็นของขวัญคริสต์มาส หรือปีใหม่ของแฟนบอลลิเวอร์พูล เขายังมีโอกาสได้เพิ่ม อาจจะแซงอองรีได้
ดังนั้นถ้าเทียบความสำเร็จในพรีเมียร์ลีก ช่วงเวลาค้าแข้งในอังกฤษ ณ เวลานี้ ซาลาห์ไม่ได้ด้อยกว่าอองรีในแง่สถิติแน่ๆ แต่เหรียญรางวัลต้องดูในตอนเลิกเล่น
บางทีการอยู่ในยุคสมัยเดียวกันนั้นแหล่ะทำให้เรายังไม่เห็นความยิ่งใหญ่ของเขา จนกว่าเขาจะเลิกเล่นไป...
เหมือนกับที่ผมพูดถึงเปเล่ มันเป็นภาพจำ แต่จริงๆ มันไม่สำคัญหรอกถ้าใครจะเห็นแย้ง ฟุตบอลของผมคือเปเล่ ลิเวอร์พูลตอนนี้ยังมีภาพเอียน รัช จอห์น บาร์นส์ เจอร์ราร์ด แต่ผมชอบสตีฟ แม็คมาห์น(ไม่ใช่แม็คมานามาน) ดังนั้นจุดนี้แหล่ะมันก็เหมือนเทียบอองรีกับซาลาห์
ต่อให้ซาลาห์ได้ถ้วยทั้งหมดกับลิเวอร์พูลในอีก 2-3 ปีข้างหน้าเพิ่มอีกรอบ บางทีสำหรับแฟนปืนอองรีก็ยังเหนือกว่า
มันก็เป็นเรื่องของความรู้สึกเหมือนกับที่ผมมองเกมชนะสเปอร์ส แต่สิ่งที่แก้ไขไม่ได้จะเป็นพวกสกอร์ ตัวเลข และสถิติเท่านั้น
อองรีเติบโตมาเรื่อยๆ ในวันที่เขาพลาดการทำประตูให้อาร์เซนอลเกมแพ้เอฟเอ คัพนัดชิงชนะเลิศต่อลิเวอร์พูล วันของไมเคิ่ล โอเว่นที่ยิง 2 ประตูแซง และคว้าบัลลงดอร์ในปีนั้น ก่อนหน้านั้นอองรีเป็นกองหน้าที่ใช้โอกาสเปลืองมากๆ
อองรีหลังจากฤดูกาลนั้น โคตรเก่ง นี่คือความทรงจำของผม ดังนั้นถ้าให้เทียบกับโมตามมุมมองของผม อองรีมีช่วงที่พีคที่สุด แต่ก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้ดีที่สุด เทียบกับซาลาห์ ผมว่าความสม่ำเสมอของซาลาห์สูงกว่า แต่ช่วงพีคอองรีดูสุดจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ช่วงที่สุดของซาลาห์อาจจะเป็นฤดูกาลนี้จริงๆ ผมว่าเทียบกับฤดูกาลที่เขาไปเจ็บในแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ บางทีช่วงนี้ซาลาห์ดู “บรรลุ” มากกว่า เขาแอสซิสต์ได้มากกว่าที่เคยเป็นอย่างเห็นได้ชัด 33 ประตูกับการมีส่วนร่วมทุกอย่างในฤดูกาลนี้มันชัดเจน
ในอนาคตถ้าย้อนมองกลับมาซาลาห์ก็คงไม่ต่างจากตำนานคนอื่นๆ ที่เล่าไปชั่วลูกชั่วหลาน มีคนเอามาเปรียบกับคนนั้นคนนี้ว่าใครเก่งกว่า มันสนุก อย่ามองเป็นการบลัฟเพื่อเอาชนะคะคานเพียงอย่างเดียว และแฟนบอลิเวอร์พูลรู้ดีว่าการมีซาลาห์อยู่ในทีมนั้นดีเพียงใด
หวังว่าจะเป็นแบบนี้ต่อไป อีกฤดูกาลเดียวผมยังไม่อิ่ม ผมยังอยากสัมผัส อยากเห็นความรู้สึกแบบนี้ต่อไปอีกอย่างน้อยขออีกสักฉบับ
ถ้าจะมีอะไรต่างระหว่างซาลาห์ และอองรีขอเป็นจุดนี้ที่จะเห็นชัดๆ ตลอดอาชีพที่ดีที่สุดของซาลาห์ และขอให้เป็นกับลิเวอร์พูลทีมเดียว ไม่ต้องมีข้อเปรียบเทียบไปเอาถ้วยแชมเปียนส์ลีกจากทีมอื่น หรือแชมป์ที่อื่นมานับ
ซาลาห์จะเป็นตำนานลิเวอร์พูลที่โลกจดจำ และบันทึกไว้อย่างนี้ แค่นี้ก็มากพอแล้ว...
จินตะปัญญา
บันทึก
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย