24 ธ.ค. 2024 เวลา 08:27 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

ทำไมถึงชอบเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนต์ The Lord of the Rings

ภาพยนต์ว่าสนุกแล้ว เบื้องหลังการถ่ายทำก็ไม่แพ้กันเลย
และนี่คือเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ สุดประทับใจ ที่กว่าจะเป็นมหากาพย์ไตรภาคนี้ เรื่องราวหลังกล้องจะบันเทิงขนาดไหนกัน
1. แน่นอนว่าหนังจะประสบความสำเร็จได้มันใช้หลายองค์ประกอบ แต่ขอเริ่มจากคนเขียนบททั้งสองคนก่อน ได้แก่ ฟราน วอลช์ (ภรรยา) และฟิลิปปา โบเยนส์ (ซึ่งไม่เคยเขียนบทภาพยนต์มาก่อน)
ทีมเขียนบทอย่างจึ้ง
ฟราน วอลช์ เรียกว่าเป็นขาประจำมือเขียนบทซึ่งจุดเด่นคือการแบ่งงานกันได้อย่างเข้าขาสุดๆ ส่วนฟิลิปปา โบเยนส์ ถึงแม้จะเป็นมือใหม่ แต่จุดแข็งคือเธอเป็นแฟนตัวยงของ LOTR ที่จะต้องได้หยิบหนังสือมันมาวนอ่านใหม่แทบจะปีละครั้งทุกปีเลยได้ตั้งแต่อายุ 16 ปี แทบจะเรียกได้ว่ากินหนังสือได้ก็กินไปแล้ว (อีกคนที่เหมือนกินหนังสือเข้าไปแล้วคือ Cristopher lee คนแสดง พ่อมดซารูแมน ซึ่งแกหัวเสียอยู่ทีเดียวที่ไม่ได้บทเป็นพ่อมดแกนดาล์ฟ)
พอฟังแบบนี้ ทีมเขียนบทก็ยังสุดจึ้งอยู่ดี
2. แม้ทีมเขียนบทจะสุดปังแค่ไหน แต่ต้องยอมรับว่าบทมีความ Agility สูงมาก แทบจะเปลี่ยนกันทุกสัปดาห์ หรือวันต่อวันเลยทีเดียว ส่งผลให้นักแสดงบางคนประสบปัญหากับการจำบทอย่างมาก
ตัวอย่างเช่น Sean Bean (โบโรเมียร์) กับท่ากุมขมับในตำนาน ซีนการประชุมกับท่านเอลรอนด์ ซึ่งท่ากุมขมับมันมาจากการที่เขากำลังอ่านบทที่แปะอยู่ตรงเข่า เนื่องจากเป็นบทพูดใหม่ที่เพิ่งได้เมื่อเช้า
3. การดัดแปลงหนังสือให้กลายเป็นบทภาพยนต์ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะหนังสือที่คนแต่งยังใช้เวลาถึง 15 ปีในการเขียน แต่ LOTR เป็นหนึ่งในเรื่องที่ทำได้ การทำหนังเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เลยที่ต้องดัดแปลงหนังสือไปบ้าง แต่ทำยังไงจึงจะเคารพต้นฉบับอยู่ หนึ่งในนั้นคือ การคงไว้ซึ่งภาษาของ Tolkien
บทภาพยนต์ พยายามใช้ประโยคพูดของตัวละครที่แทบจะไม่เปลี่ยนเลยจากหนังสือ แต่อาจจะมีเปลี่ยนคนที่จะพูดบ้าง เช่น ในหนังสือเป็นท่านเอลรอนพูด แต่ในหนังกลับเป็นอารากอน รวมถึงเพลง ก็เป็นเพลงที่บิลโบ หรือนักเขียนประพันธ์ไว้ในหนังสือ ด้วยกลลยุทธ์นี้ ทำให้กลิ่นอายของหนังสือก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหนัง เพราะทุกคนน่าจะทราบกันดีว่า Tolkien เป็นผู้ให้ความสำคัญกับเรื่องภาษามาก เขาเป็นคนที่สร้างภาษาใหม่ด้วยตัวเอง แล้วค่อยไปแต่งเรื่องราวให้กับภาษานั้นๆ อย่างจักรวาลนี้ก็เริ่มจากคำที่ Tolkien ชอบมาก คือคำว่า เออาเรนดิล
มีแต่คนแต่งเรื่องก่อนค่อยคิดภาษา นี่เล่นสร้างภาษาใหม่แล้วไปแต่งเรื่องให้ ขอคารวะ
4. ต่อมาคือทีมออกแบบฉาก ซึ่งแจ็คสันไปหาคนออกแบบก็คือคนที่วาดภาพประกอบฉากในหนังสือนั่นแหละ สิ่งที่เห็นในหนังมันจึงแทบจะเรียกว่าถอดแบบมาเลยจากหนังสือ
5. ต้องยอมรับเพลง Soundtrack ของภาพยนต์เรื่องนี้ เป็นอีกหนึ่งที่ยกหนังขึ้นหิ้งไปเลย จากการการันตีด้วยรางวัลออสการ์ และอีกมากมาย แรกเริ่มเดิมทีคนแรกที่ได้รับการติดต่อให้มาทำดนตรีประกอบหนังคือ James Horner ซึ่งเป็นขาประจำของหนัง James Cameron ไม่ว่าจะเป็น Aleins (1996) Titanic (1997) รวมถึง Avatar (2015) ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสายกวาดรางวัลออสการ์เหมือนกัน แต่เนื่องจากตอนนั้นกำลังมีภาระกับหนังเรื่องอื่น ทำให้ Howard Shore ได้เข้ามาดูแลแทน
ซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดใจพอสมควร เพราะปกติ Howard Shore เป็นนักทำดนตรีประกอบขาประจำของ David Cronenberg ผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในภาพยนตร์แนวไซไฟสยองขวัญและความรุนแรง ซึ่ง Shore ก็โด่งดังจากการทำสกอร์ให้หนังเขย่าขวัญชั้นยอดอย่าง The Silence of the Lambs และ Seven ไม่ใช่หนังมหากาพย์ทุนยักษ์แบบนี้ แต่สุดท้าย เขาก็ได้สร้างตำนานเพลงแห่ง Middle earth ไว้ให้กับเราแล้ว
ถือว่าเป็นคนใจกล้าและทุ่มเทมากๆ โดยปกติการทำดนตรีประกอบมักจะใช้เวลาประมาณ 6 หรือ 8 วีค แต่ Howard เรียกว่าอยู่ด้วยกันกับทีมตั้งแต่ต้นจนจบ กว่าหนังภาคแรกจะออกฉาย Howard ได้อยู่กับหนังเรื่องนี้เกือบสองปีเลยทีเดียว
6. อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น แต่ตัดสินใจเอาไปใช้ในฉาก ไม่ว่าจะเป็น Ian McKellen (แกนดาล์ฟ) ที่หัวโขกบ้านของบิลโบ ร้องจริง เจ็บจริงแบบเนียนๆ และที่เจ็บกว่าคือ Viggo Mortensen (อารากอน) กับซีนเตะหมวกในตำนาน เป็นซีนโมโหของภาคสองที่ท่ามกลางกองศพอพวกอ็อกที่ถูกเผา ในระหว่างถ่ายทำเตะกี่รอบก็ยังไม่เข้าตาผู้กำกับ จนสุดท้ายเป็นซีนที่ Viggo กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ซึ่งได้อารมณ์สุดๆ แต่หารู้ไม่ว่า Viggo คือนิ้วหักไปแล้ว
7. Sean Austin ที่รับบทเป็นแซม เปรียบเสมือนแซมในชีวิตจริงของ Elijah wood (โฟรโด) เลยก็ว่าได้ มีครั้งที่ Elijah ลืมกุญแจ สิ่งที่ทำคือไปบอก Sean แล้ว 45 นาทีต่อมา Sean ก็กลับมาหาพร้อมกุญแจ ไม่แปลกใจจากสี่นักแสดงฮอบบิท Sean เป็นคนเดียวที่แต่งงานและมีลูกสาวตัวน้อยด้วย (ที่เหลือเลยกลายเป็นเหล่าลุงไปโดยปริยาย) เพราะฉะนั้นทุกความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินอยู่ที่ Sean แม้ประทั่งเพื่อนๆ ที่กำลังเล่นสนุก Sean ก็เป็นคนเดียวที่ไปช่วยโบกให้เฮลิคอปเตอร์ลงจอด
นอกจากนี้ Billy Boyd (ปิ๊ปปิน) และ Dominic (เมอรี่) นอกจากคู่หูในหนังแล้ว เค้ายังกลายเป็นคู่หูนอกจอกันอีกด้วย
8. ในบรรดานักแสดงที่แคสมา Viggo ถือเป็นคนท้ายๆ เลยที่ถูกเลือกให้มารับบทอารากอน หลังปีเตอร์เพิ่งรู้ตัวว่านักแสดงคนก่อนอายุน้อยเกินไป ซึ่งเราเกือบจะไม่ได้ Viggo Mortensen มาเป็นองค์ราชันแล้ว หากไม่ได้ลูกชายของเขาที่เป็นแฟนหนังสือเรื่องนี้ (Viggo ไม่รู้จักเรื่องนี้มาก่อน) ไม่งั้นเราอาจจะได้ Stuart Townsend (ที่อายุน้อยเกินบท) ไม่ก็ตัวเลือกก่อนหน้าอย่าง Nicolas Cage ไม่ก็ Russell Crowe
แต่ที่เราทุกคนรู้คือ อารากอร์น บุตรแห่งอาราธอร์นจะเป็นใครไม่ได้เลยนอกจาก Viggo Mortensen
Viggo เป็นคนที่ขอใช้ดาบจริงทุกครั้งที่เข้าฉาก เพื่อเพิ่มความอินให้ตัวเอง นอกจากนี้เค้ายังเป็นคนมีเอกลักษณ์มาก เอาง่ายๆ คือเป็นคนอินดี้นั่นแหละ เวลาว่างไปตกปลา และชอบมีส่วนร่วมในฉากถ่ายทำคนอื่น จนบางครั้งผู้กำกับงงว่านี่ถึงคิวคุณแล้วเหรอ เขายังชอบถ่ายภาพ จนวันปิดกองรถคอนเทนเนอร์ของเขาเต็มไปด้วยภาพถ่ายจนเกิดเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่งเลย
‘เป็นเรื่องง่ายมากที่คุณจะตกหลุมรักชายคนนี้’ Miranda (เอโอวีน) พูด
อินดี้แค่ไหน มีฉากงานแต่งงานของแซม ที่ฉากจูบไม่ผ่านซักที ด้วยบรรยากาศ และ Saen ก็ค่อนข้างเกรงใจเมีย Viggo ก็เป็นคนไปปลุก Billy และให้คนอื่นมาช่วยเพิ่มสีสันให้เหมือนงานแต่งจริงๆ จน Sean สามารถแสดงฉากจูบได้ซักที แต่ระหว่างบรรยากาศชื่นมื่น Viggo ก็ไปคว้าตัว Billy ที่อยู่ใกล้ๆ มาจูบด้วยซะงั้น ไม่รู้ว่านี่ก็เพื่อสร้างบรรยากาศให้สมจริงมั้ย แต่มันก็จะสมจริงเกิ๊น!
9. เรื่องที่ตลกมากอีกเรื่องคือปู่เอียน เล่าให้ฟังว่าเมื่อเค้าบินมานิวซีแลนด์เพื่อเริ่มถ่ายทำ ฉากแรกเลยที่ได้ถ่าย คือฉากจบของภาคสุดท้ายที่ต้องจากลาเหล่าฮอบบิทเพื่อนั่งเรือสุดท้ายไปจากมัชฌิมโลก เขาต้องเล่นอารมณ์เศร้าที่ต้องจากลาเพื่อนๆ ไป ทั้งที่จริงยังไม่เคยพบพวกเขามาก่อนด้วยซ้ำ! ฮ่า
10. ยังมีเรื่องราวอีกมากที่พูดได้เป็นวัน ถ้าคุณอ่านมาได้จนถึงตรงนี้แปลว่าคุณเป็นแฟนของหนังชุดเรื่องนี้แล้วแหละ
ทิ้งท้ายด้วยกว่าจะมาเป็นหนังมหากาพย์ กับภาพโปรเจคสุดอลังการที่ต้องรวบรวมคนจำนวนมาก ไปอยู่ด้วยกัน ณ มุมหนึ่งของโลกเป็นเวลาเกือบสิบห้าเดือน เป็นโปรเจคสุดทะเยอทะยานซะด้วย แต่งบประมาณดันมีจำกัด แถมความเสี่ยงยังเยอะเกินกว่าจะล้มอีก
จึงเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพในกองถ่ายที่ผ่านไปกี่ปีก็ยังเหมือนเดิม
ที่มา
1. วาริน นิลศิริกุล. นิตยสาร The tales of Middle-earth: Everything about the hobbit & The Lord of the Rings: Middle-earth Movies.
2. Lord Of The Rings fellowship of the ring Behind The Scenes. https://www.youtube.com/watch?v=Gti51b46QD0&t=305s
โฆษณา