5. ต้องยอมรับเพลง Soundtrack ของภาพยนต์เรื่องนี้ เป็นอีกหนึ่งที่ยกหนังขึ้นหิ้งไปเลย จากการการันตีด้วยรางวัลออสการ์ และอีกมากมาย แรกเริ่มเดิมทีคนแรกที่ได้รับการติดต่อให้มาทำดนตรีประกอบหนังคือ James Horner ซึ่งเป็นขาประจำของหนัง James Cameron ไม่ว่าจะเป็น Aleins (1996) Titanic (1997) รวมถึง Avatar (2015) ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสายกวาดรางวัลออสการ์เหมือนกัน แต่เนื่องจากตอนนั้นกำลังมีภาระกับหนังเรื่องอื่น ทำให้ Howard Shore ได้เข้ามาดูแลแทน
ซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดใจพอสมควร เพราะปกติ Howard Shore เป็นนักทำดนตรีประกอบขาประจำของ David Cronenberg ผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในภาพยนตร์แนวไซไฟสยองขวัญและความรุนแรง ซึ่ง Shore ก็โด่งดังจากการทำสกอร์ให้หนังเขย่าขวัญชั้นยอดอย่าง The Silence of the Lambs และ Seven ไม่ใช่หนังมหากาพย์ทุนยักษ์แบบนี้ แต่สุดท้าย เขาก็ได้สร้างตำนานเพลงแห่ง Middle earth ไว้ให้กับเราแล้ว
ถือว่าเป็นคนใจกล้าและทุ่มเทมากๆ โดยปกติการทำดนตรีประกอบมักจะใช้เวลาประมาณ 6 หรือ 8 วีค แต่ Howard เรียกว่าอยู่ด้วยกันกับทีมตั้งแต่ต้นจนจบ กว่าหนังภาคแรกจะออกฉาย Howard ได้อยู่กับหนังเรื่องนี้เกือบสองปีเลยทีเดียว
7. Sean Austin ที่รับบทเป็นแซม เปรียบเสมือนแซมในชีวิตจริงของ Elijah wood (โฟรโด) เลยก็ว่าได้ มีครั้งที่ Elijah ลืมกุญแจ สิ่งที่ทำคือไปบอก Sean แล้ว 45 นาทีต่อมา Sean ก็กลับมาหาพร้อมกุญแจ ไม่แปลกใจจากสี่นักแสดงฮอบบิท Sean เป็นคนเดียวที่แต่งงานและมีลูกสาวตัวน้อยด้วย (ที่เหลือเลยกลายเป็นเหล่าลุงไปโดยปริยาย) เพราะฉะนั้นทุกความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินอยู่ที่ Sean แม้ประทั่งเพื่อนๆ ที่กำลังเล่นสนุก Sean ก็เป็นคนเดียวที่ไปช่วยโบกให้เฮลิคอปเตอร์ลงจอด
นอกจากนี้ Billy Boyd (ปิ๊ปปิน) และ Dominic (เมอรี่) นอกจากคู่หูในหนังแล้ว เค้ายังกลายเป็นคู่หูนอกจอกันอีกด้วย
8. ในบรรดานักแสดงที่แคสมา Viggo ถือเป็นคนท้ายๆ เลยที่ถูกเลือกให้มารับบทอารากอน หลังปีเตอร์เพิ่งรู้ตัวว่านักแสดงคนก่อนอายุน้อยเกินไป ซึ่งเราเกือบจะไม่ได้ Viggo Mortensen มาเป็นองค์ราชันแล้ว หากไม่ได้ลูกชายของเขาที่เป็นแฟนหนังสือเรื่องนี้ (Viggo ไม่รู้จักเรื่องนี้มาก่อน) ไม่งั้นเราอาจจะได้ Stuart Townsend (ที่อายุน้อยเกินบท) ไม่ก็ตัวเลือกก่อนหน้าอย่าง Nicolas Cage ไม่ก็ Russell Crowe