Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Timeless History (ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา)
•
ติดตาม
26 ธ.ค. 2024 เวลา 11:13 • ประวัติศาสตร์
“ตระกูลรอธส์ไชลด์ (Rothschild family)” รักษาความมั่งคั่งมาเป็นเวลานานนับร้อยปีได้อย่างไร?
หลายคนน่าจะรู้จัก “ตระกูลรอธส์ไชลด์ (Rothschild family)” เป็นอย่างดี
ตระกูลรอธส์ไชลด์คือตระกูลใหญ่ที่มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดตระกูลหนึ่งในยุโรป เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในธุรกิจการเงินการธนาคารมาเป็นเวลายาวนานกว่า 200 ปี
ทรัพย์สินของตระกูลรอธส์ไชลด์นั้น ว่ากันว่าอยู่ระหว่าง 350,000 ล้าน-สองล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 12 ล้านล้าน-68 ล้านล้านบาท) เลยทีเดียว หากแต่ตัวเลขที่แท้จริงนั้น ก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด
ด้วยความร่ำรวยและยิ่งใหญ่ดังที่กล่าวมา ทำให้ตระกูลรอธส์ไชลด์เป็นที่พูดถึงอยู่เรื่อยๆ ทั้งในด้านบวกและด้านลบ เกิดทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ มากมาย บางคนถึงขนาดคิดว่าตระกูลรอธส์ไชลด์นั้นครองโลกและอยู่เบื้องหลังการเงินโลก
แต่เคล็ดลับอะไรที่ทำให้ตระกูลรอธส์ไชลด์ยังคงร่ำรวยและยิ่งใหญ่มาได้เป็นเวลานับร้อยปี?
ที่ผ่านมา ตระกูลใหญ่หลายตระกูลมักจะมาสิ้นตระกูลในรุ่นหลานหรือรุ่นเหลน หากแต่ดูเหมือนตระกูลรอธส์ไชลด์จะสามารถหลีกหนีคำสาปนี้มาได้
ตระกูลรอธส์ไชลด์ทำได้อย่างไร?
ผมไปเจอบทความที่วิเคราะห์และลองหาข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง พอจะวิเคราะห์ได้ดังนี้
1.ตระกูลรอธส์ไชลด์ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่ม
แน่นอนว่าตระกูลรอธส์ไชลด์ประกอบด้วยบุคลากรที่มีความสามารถมากมาย แต่นอกเหนือจากความสามารถในการบริหารธุรกิจให้เติบโตแล้วนั้น ตระกูลรอธส์ไชลด์ยังมีสายตาที่แหลมคม และรู้จักการลงทุนที่ชาญฉลาด
นอกจากจะบริหารธุรกิจให้เติบโตได้อย่างดีแล้ว ที่ผ่านมา ตระกูลรอธส์ไชลด์ยังลงทุนในสินทรัพย์มูลค่าเพิ่มหรือทรัพย์สินที่มั่นคงอีกเป็นจำนวนมาก เช่น ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ เหรียญหายาก รวมทั้งของสะสมล้ำค่าต่างๆ
สินทรัพย์เหล่านี้จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา โอกาสที่จะล้มเหลวนั้นมีน้อย และรักษาความมั่งคั่งของตระกูลได้อย่างยาวนาน
ตระกูลรอธส์ไชลด์ครอบครองที่ดิน ปราสาท และคฤหาสน์หลายแห่งทั่วยุโรป ตลอดจนงานศิลปะล้ำค่าจำนวนมาก ซึ่งที่ดินหลายแห่งของตระกูลรอธส์ไชลด์ก็ได้ถูกเปลี่ยนเป็นไร่องุ่นหรือฟาร์มเพาะพันธุ์ม้า
ดังนั้นถึงแม้ว่าธุรกิจหลักจะเผชิญกับวิกฤต แต่ตระกูลรอธส์ไชลด์ก็ยังสามารถรักษาความมั่งคั่งร่ำรวยไว้ได้ผ่านสินทรัพย์เหล่านี้ที่ตนเป็นเจ้าของ
2.ตระกูลรอธส์ไชลด์ลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ
ที่ผ่านมา ตระกูลรอธส์ไชลด์มักจะโฟกัสไปยังธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น มีการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล อีกทั้งยังปล่อยเงินกู้แก่เหล่าไฮโซและบุคคลในวงสังคมชั้นสูงซึ่งมีกำลังที่จะจ่ายหนี้ที่กู้ยืมไปได้
นอกจากนั้น ตระกูลรอธส์ไชลด์ยังลงทุนในเครื่องเพชร โดยในเวลานั้น เพชรคือสิ่งล้ำค่ามหาศาลและยังมีการควบคุมปริมาณ
สาขาของตระกูลรอธส์ไชลด์บางสาขายังแตกแขนงเข้าไปยังธุรกิจที่ปรึกษา ซึ่งเป็นธุรกิจที่ลงทุนน้อยแต่ผลตอบแทนสูง อีกทั้งความเสี่ยงต่ำ
เรียกได้ว่าตระกูลรอธส์ไชลด์ระมัดระวังความเสี่ยงเป็นอย่างมาก และมักจะหาโอกาสที่ความเสี่ยงต่ำแต่ผลตอบแทนสูงเสมอ
3.ตระกูลรอธส์ไชลด์ส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น
“เมเยอร์ อัมเชล รอธส์ไชลด์ (Mayer Amschel Rothschild)“ ผู้ก่อตั้งอาณาจักรธนาคารของตระกูลรอธส์ไชลด์ เมื่อก่อตั้งธนาคารในแฟรงค์เฟิร์ตแล้ว เมเยอร์ได้ส่งบุตรชายทั้งห้าคนไปยังเมืองต่างๆ ทั่วยุโรปเพื่อขยายสาขาธนาคาร โดยเมเยอร์ตั้งใจจะให้ธุรกิจของครอบครัวนั้นเติบโตและยิ่งใหญ่
ในพินัยกรรมของเมเยอร์ เมเยอร์ต้องการจะให้ความมั่งคั่งวนเวียนอยู่ในตระกูลรอธส์ไชลด์เท่านั้น ดังนั้นจึงห้ามไม่ให้บุตรสาวรับสืบทอดตำแหน่งหรือรับมรดกต่อจากตน เนื่องจากไม่ต้องการให้สมบัติและความยิ่งใหญ่เปลี่ยนผ่านไปสู่คนตระกูลอื่นที่บุตรสาวแต่งงานด้วย
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ตระกูลรอธส์ไชลด์มักจะสมรสกันเองผ่านหมู่เครือญาติ และเหล่าทายาทรุ่นต่อๆ มาก็มักจะส่งต่อธุรกิจแก่ลูกหลาน รักษาความยิ่งใหญ่ของตระกูลไว้
เมเยอร์ อัมเชล รอธส์ไชลด์ (Mayer Amschel Rothschild)
และนี่ก็คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ตระกูลรอธส์ไชลด์ยังคงรักษาความมั่งคั่งไว้ได้ ไม่ยอมให้ทรัพย์สินตกไปสู่บุคคลนอก
4.ตระกูลรอธส์ไชลด์มีการฝึกงานและส่งต่อองค์ความรู้จากรุ่นสู่รุ่น
ตัวของเมเยอร์ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลรอธส์ไชลด์รุ่นแรกนั้น ก็เคยทดลองงานในธุรกิจการค้าเหรียญหายาก ก่อนจะกลับไปยังแฟรงค์เฟิร์ตเพื่อทำงานในธุรกิจของผู้เป็นบิดา
และเมื่อเมเยอร์ก่อตั้งธุรกิจธนาคารของตนเอง เมเยอร์ก็ให้บุตรชายเข้ามาฝึกงานในธนาคาร ซึ่งก็มีการนำทายาทของตระกูลเข้ามาฝึกงานในธุรกิจครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งจบท้ายแล้ว สมาชิกตระกูลรอธส์ไชลด์ก็มักจะทำงานในธุรกิจของตระกูล และทำให้ความมั่งคั่งของตระกูลไม่จางหายไป
5.ตระกูลรอธส์ไชลด์เป็นผู้บุกเบิกและนำเทรนด์เสมอ
ตระกูลรอธส์ไชลด์เป็นตระกูลชาวยิวที่ทำธุรกิจธนาคารตระกูลแรกที่ขยายสาขาธุรกิจออกไปยังเมืองต่างๆ ซึ่งต่อมา กลยุทธนี้ก็ถูกลอกเลียนแบบโดยองค์กรอื่นๆ ไม่ใช่แค่ธุรกิจธนาคารเท่านั้น แต่องค์กรธุรกิจระดับโลกต่างก็ใช้ยุทธวิธีเดียวกัน
และในยุคสมัยที่การปล่อยกู้ให้รัฐบาลยังไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ คุ้นเคย ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน ตระกูลรอธส์ไชลด์ก็มองเห็นโอกาสนี้ และได้ลงไปสนับสนุนการสร้างโครงการพื้นฐานต่างๆ ในช่วงที่อุตสาหกรรมกำลังเริ่มก้าวหน้า
และด้วยความที่เห็นโอกาสก่อนคนอื่น ทำให้ตระกูลรอธส์ไชลด์สามารถสร้างเม็ดเงินได้มหาศาล
6.ตระกูลรอธส์ไชลด์มีการปรับเปลี่ยนธุรกิจไปตามยุคสมัย
เริ่มแรก เมเยอร์ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลนั้นทำธุรกิจเหรียญหายาก ก่อนจะหันเหธุรกิจไปยังธุรกิจการเงิน ปล่อยเงินกู้แก่เหล่าขุนนางและเศรษฐี ก่อนจะปล่อยเงินกู้แก่รัฐบาล
นอกจากนั้น เครือข่ายตระกูลรอธส์ไชลด์ยังเข้าไปลงทุนในธุรกิจต่างๆ อีกมาก ทั้งธุรกิจเหมืองแร่ ธุรกิจไวน์ และธุรกิจที่ปรึกษา ซึ่งจะเห็นได้ว่าตระกูลรอธส์ไชลด์ไม่หยุดอยู่แค่ธุรกิจการเงินการธนาคาร แต่ยังเข้าไปลงทุนในทุกสิ่งที่เห็นเป็นโอกาส
โครงสร้างพื้นฐานเช่นทางรถไฟ ก็เป็นสิ่งที่ตระกูลรอธส์ไชลด์ลงทุน และยังมีการทำฟาร์มเพาะพันธุ์ม้าอีกด้วย
เรียกได้ว่าตระกูลรอธส์ไชลด์ไม่ยึดติดกับธุรกิจหลัก หากแต่สามารถปรับเปลี่ยนธุรกิจไปได้ตามกาลเวลา และเล็งเห็นว่าการมองเห็นโอกาสนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะสามารถขยายความมั่งคั่งและยิ่งใหญ่ของตระกูลได้
เมเยอร์เล็งเห็นว่าหลังจากสงครามจบลงในสมัยศตวรรษที่ 18 พันธบัตรรัฐบาลจะเป็นสิ่งที่ทำเงินได้มหาศาล ซึ่งเมเยอร์ก็สร้างผลกำไรมหาศาลจากการซื้อพันธบัตรรัฐบาลและปล่อยเงินกู้แก่รัฐบาล
เมื่อกอบโกยผลกำไรจากรัฐบาลจนอิ่ม ตระกูลรอธส์ไชลด์ก็หันเหการลงทุนไปยังการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทำให้ตระกูลรอธส์ไชลด์เป็นผู้มีบทบาทในการก่อสร้างเครือข่ายทางรถไฟสายแรกในเยอรมนี
นอกจากนั้น ตระกูลรอธส์ไชลด์ยังเปลี่ยนที่ดินกว้างใหญ่ของตนหลายแปลงเป็นไร่องุ่น ก่อนจะบุกเข้าไปยังธุรกิจเพชรพลอย สร้างผลกำไรอีกมหาศาล
และหลังจากกอบโกยจากธุรกิจต่างๆ จนพุงกางแล้ว ตระกูลรอธส์ไชลด์ก็ถ่ายทอดความรู้ต่างๆ จากประสบการณ์ของตนสู่ผู้อื่นผ่านธุรกิจที่ปรึกษา สร้างเงินอีกมหาศาลแก่ตระกูล
7.ตระกูลรอธส์ไชลด์ไม่เลือกข้าง มองแค่ผลประโยชน์ที่ตนจะได้เป็นหลักเท่านั้นโดยไม่สนว่าข้างไหน
โฟกัสหลักของตระกูลรอธส์ไชลด์ทั้งในอดีตหรือปัจจุบันนั้นมีเพียงสิ่งเดียว
“ธุรกิจ”
ถึงแม้ที่ผ่านมา ตระกูลรอธส์ไชลด์จะปล่อยเงินกู้แก่รัฐบาลต่างๆ แต่ตระกูลรอธส์ไชลด์ก็ไม่ยุ่งและไม่สนว่ารัฐบาลนั้นจะเป็นอย่างไร ชอบธรรมหรือไม่ หรือใครจะมีแนวคิดอย่างไร เลือกที่จะกอบโกยกำไรอย่างเดียว
พูดง่ายๆ คือไม่เลือกข้าง จะขวาหรือซ้ายก็ได้ ฝ่ายไหนชนะและทำกำไรให้ตนมากกว่าก็อยู่ข้างนั้น
ความคิดที่ว่ารัฐบาลใดชอบธรรมหรือไม่ชอบธรรม ใครผิดหรือถูก เรื่องนั้นเป็นเรื่องรอง เรื่องที่สำคัญกว่าคือผลประโยชน์ของตระกูล
และด้วยความที่ไม่เลือกข้าง ไม่เข้าข้างใครนี้เอง ทำให้ตระกูลรอธส์ไชลด์สามารถรักษาความมั่งคั่งและยิ่งใหญ่ของตระกูลไว้ได้
และถึงแม้ในข่วงเวลาที่ตระกูลรอธส์ไชลด์ยิ่งใหญ่เต็มที่ มีทั้งเงินและคอนเน็คชั่น มีอำนาจเต็มที่ แต่ตระกูลรอธส์ไชลด์ก็ไม่เคยออกมาสนับสนุนแคนดิเดตทางการเมืองรายใดอย่างเปิดเผย ถึงแม้เบื้องหลังนั้นอาจจะมีการร่วมมือกับนักการเมืองอยู่ก็ตาม
ซึ่งการทำเช่นนี้ก็ทำให้ตระกูลรอธส์ไชลด์พ้นจากคำครหาต่างๆ ว่าเข้าข้างใครหรือสนับสนุนใคร ฝ่ายขวาหรือซ้ายจะมากล่าวหาว่าตนนั้นเข้ากับอีกฝ่ายก็ไม่ได้
8.ตระกูลรอธส์ไชลด์ไม่หิวแสง
ในยุคสมัยปัจจุบันที่โซเชียลมีเดียแพร่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตผู้คน แต่หากจะหาข้อมูลหรือรูปภาพไลฟ์สไตล์ของสมาชิกตระกูลรอธส์ไชลด์นั้น แทบจะไม่มีเลย หาได้ยากมาก
ด้วยความที่เป็นตระกูลดังที่เป็นที่จับตามอง สมาชิกตระกูลรอธส์ไชลด์จึงเก็บเนื้อเก็บตัวเป็นอย่างมาก แทบจะไม่เปิดเผยชีวิตส่วนตัวให้สาธารณชนรู้ การให้สัมภาษณ์แต่ละครั้งก็เนื่องด้วยความจำเป็นและน้อยมากๆ
การรักษาความเป็นส่วนตัวขั้นสุดเช่นนี้ ทำให้ตระกูลรอธส์ไชลด์ไม่ตกเป็นเหยื่อของข่าวฉาวหรือถูกโจมตีมากนัก โดยเฉพาะการเข้ามาแสวงประโยชน์จากผู้ไม่หวังดีหรือมิจฉาชีพ ก็ทำไม่ได้ง่ายๆ
9.การส่งต่อตำแหน่งจะขึ้นอยู่กับความสามารถ ไม่ใช่ลำดับพี่น้อง
ตระกูลใหญ่หลายตระกูลมักจะส่งมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลแก่บุตรชายคนโต ถึงแม้ว่าบุตรชายคนโตจะไม่ได้เรื่องก็ตาม หากแต่สำหรับตระกูลรอธส์ไชลด์นั้น ตำแหน่งผู้นำขึ้นอยู่กับความสามารถ ทำให้ธุรกิจสามารถบริหารไปได้เรื่อยๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
10.ตระกูลรอธส์ไชลด์มีสายสัมพันธ์ทางธุรกิจในตระกูลที่แน่นแฟ้น
เครือข่ายตระกูลรอธส์ไชลด์สายต่างๆ จะเกื้อหนุนธุรกิจซึ่งกันและกัน ทำให้ธุรกิจเติบโต อีกทั้งยังมีการสมรสระหว่างเครือญาติเพื่อรักษาความมั่งคั่งไว้ให้อยู่ในตระกูล
และการมีสายสัมพันธ์ในครอบครัวที่แน่นแฟ้น ทำให้ตระกูลรอธส์ไชลด์แข็งแกร่งและมั่งคั่งมาได้นับร้อยปี
11.ตระกูลรอธส์ไชลด์สร้างเครือข่ายทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ตระกูลรอธส์ไชลด์เป็นเจ้าหนี้และที่ปรึกษาแก่ราชวงศ์ต่างๆ รวมทั้งราชวงศ์อังกฤษ
และสายสัมพันธ์กับบุคคลระดับชั้นปกครอง ทำให้สมาชิกตระกูลรอธส์ไชลด์หลายคนมียศศักดิ์และสามารถเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจได้มากขึ้น และส่งต่อความยิ่งใหญ่นี้ไปยังทายาท
แม้แต่ในช่วงเวลาปัจจุบัน ตระกูลรอธส์ไชลด์ก็ยังคงมีสายสัมพันธ์ทางธุรกิจกับผู้นำระดับโลกและนักลงทุนหลายราย ซึ่งทำให้ตระกูลรอธส์ไชลด์ยังคงมั่งคั่งและยิ่งใหญ่อยู่ได้ถึงปัจจุบัน
12.ตระกูลรอธส์ไชลด์ระมัดระวังอย่างมากในการคบหาหรือติดต่อสัมพันธ์กับใคร
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของธุรกิจหรือชีวิตส่วนตัว ตระกูลรอธส์ไชลด์ไม่ยอมให้ใครก็ไม่รู้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยง่ายๆ
ตระกูลรอธส์ไชลด์มักจะสังสรรค์ภายในสมาชิกตระกูลด้วยกันเอง ป้องกันไม่ให้คนนอกเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยง่ายๆ ทำให้เหล่า 18 มงกุฎหรือผู้ไม่หวังดีเข้าไม่ถึงตระกูล ไม่สามารถมาหลอกลวงหรือหาผลประโยชน์ได้
และเมื่อต้องเลือกบุคคลภายนอกตระกูลเข้ามาทำงานในบริษัท ก็จะมีการคัดเลือกอย่างดี เลือกเฉพาะบุคคลที่มีความสามารถสูง มีประสบการณ์ และไว้ใจได้เท่านั้น ซึ่งหากไปย้อนดูรายชื่อบุคคลที่เคยทำงานกับตระกูลรอธส์ไชลด์ จะมีแต่บุคคลระดับท็อปทั้งนั้น
ส่วนในเรื่องการสมรส ตระกูลรอธส์ไชลด์ก็มักจะสมรสกันเองในหมู่เครือญาติ หรืออาจจะเป็นญาติห่างๆ คนละสาย หรือหากจะต้องเป็นคนนอกตระกูลจริงๆ ก็มักจะต้องเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดา เช่น พระบรมวงศานุวงศ์จากราชวงศ์ต่างๆ หรือไม่ก็สมาชิกตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยระดับชั้นนำจากตระกูลอื่น
เรียกได้ว่าคนธรรมดาทั่วไปนั้นหมดสิทธิ
และด้วยการระมัดระวังนี้เอง ทำให้ตระกูลรอธส์ไชลด์ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการขู่กรรโชกหรือเจตนาร้ายของผู้ไม่หวังดี และสามารถรักษาความมั่งคั่งไว้ได้
13.ตระกูลรอธส์ไชลด์มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งโดยเฉพาะ
ถึงแม้ว่าตระกูลรอธส์ไชลด์จะมีการขยายการลงทุนไปยังธุรกิจหลากหลาย แต่ธุรกิจหลักของตระกูลรอธส์ไชลด์ก็ยังคงเป็นการเงินการธนาคาร
ที่ผ่านมานับร้อยปี ตระกูลรอธส์ไชลด์เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของรัฐบาลและธุรกิจต่างๆ มากมาย ได้รับผลกำไรเป็นดอกเบี้ยมหาศาล อีกทั้งยังครอบครองงานศิลปะที่ล้ำค่าอีกเป็นจำนวนมาก รวมถึงลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และที่ดินอีกนับไม่ถ้วน
ความรอบรู้ในธุรกิจการเงินนี้เอง ทำให้ตระกูลรอธส์ไชลด์ยิ่งใหญ่และมั่งคั่งได้มาเป็นเวลานานนับร้อยปี
14.ตระกูลรอธส์ไชลด์รู้จักใช้ช่องว่างทางกฎหมายให้เป็นประโยชน์
นอกจากการสร้างความมั่งคั่งและส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นแล้ว ตระกูลรอธส์ไชลด์ยังเป็นผู้สนับสนุนการกุศลรายใหญ่
ตระกูลรอธส์ไชลด์บริจาคเงินจำนวนมากแก่การกุศล อีกทั้งยังยกปราสาทและคฤหาสน์อีกหลายแห่งให้เป็นสมบัติชาติ
และด้วยการทำการกุศลอย่างหนักนี้เอง ทำให้ตระกูลรอธส์ไชลด์สามารถจ่ายภาษีในอัตราที่ต่ำได้ ซึ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเงินที่ลงไปกับการกุศล ก็นับว่าคุ้มค่ากว่าจ่ายภาษีเต็มๆ
อีกทั้งการยกอสังหาริมทรัพย์บางแห่ง เช่น ปราสาทหรือคฤหาสน์แก่รัฐบาล ก็ทำให้ตระกูลรอธส์ไชลด์สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ ไปได้ โยนให้รัฐบาลรับไปจ่ายเอง ซึ่งทรัพย์สินเหล่านั้นที่ยกให้รัฐบาล ก็เป็นไปได้ที่ในอนาคตจะกลับคืนสู่มือของตระกูลรอธส์ไชลด์ แค่ในเวลานี้ยกให้รัฐบาลจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการบำรุงรักษา ตระกูลก็ไม่ต้องเสียเงิน
และการเอาเงินมหาศาลมาลงกับมูลนิธิการกุศลต่างๆ ไม่ได้ส่งต่อแก่ทายาทโดยตรง ก็เป็นวิธีการหนึ่งในการหลบเลี่ยงภาษีมรดก และทำให้ตระกูลรอธส์ไชลด์มั่งคั่งร่ำรวยมหาศาล
นี่ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเคล็ดลับของตระกูลที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นตระกูลที่หลายคนสนใจมากที่สุดตระกูลหนึ่งในประวัติศาสตร์ ใช้ในการรักษาความมั่งคั่งและยิ่งใหญ่ของตระกูลมาได้จนถึงปัจจุบัน
References:
https://medium.com/illumination-curated/how-has-the-rothschild-family-dynasty-managed-to-remain-wealthy-for-centuries-c3533ce69988
https://www.investopedia.com/updates/history-rothschild-family/
https://www.businessinsider.com/the-early-rothschilds-built-a-fortune-2012-12
https://archive.nytimes.com/www.nytimes.com/books/first/f/ferguson-rothschild.html?module=inline
ประวัติศาสตร์
ธุรกิจ
17 บันทึก
32
2
14
17
32
2
14
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย