9 ม.ค. เวลา 05:29 • ธุรกิจ

5 ฟีเจอร์ดีต่อใจที่ซอฟต์แวร์ OCR ยุคใหม่ต้องมี

อ่านบทความฉบับเต็มคลิก : https://bit.ly/3VHAD75
ซอฟต์แวร์ OCR มีฟีเจอร์บางอย่างที่จำเป็นสำหรับขั้นตอนการทำ Data-entry ของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการรองรับเอกสารทางธุรกิจได้หลากหลายประเภท จัดประเภทของข้อความได้อัตโนมัติ และรองรับ Workflow automation วันนี้ AIGEN จะพามาทำความรู้จักกับ 5 ฟีเจอร์ที่ซอฟต์แวร์ OCR ที่ดีต้องมี
5 ฟีเจอร์สำคัญที่ซอฟต์แวร์ OCR ควรต้องมี
1. รองรับประเภทเอกสารได้หลากหลาย
แน่นอนว่าจะมีเอกสารพื้นฐานบางอย่างที่ทุกธุรกิจต้องใช้เหมือนๆ กัน เช่น ใบแจ้งหนี้ (Invoice) ใบเสร็จรับเงิน แต่ในขณะเดียวกันเอกสารบางประเภทจะเป็นเอกสารเฉพาะของแต่ละธุรกิจเอง เช่น ในธุรกิจประกันจะต้องมีใช้เอกสารการเคลมประกัน กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ เป็นต้น
หรือในธุรกิจการเงิน และธนาคารเองจะมีใช้เอกสารสมุดบัญชีธนาคาร สลิปเงินเดือน บัตรประชาชน ใบขับขี่ ที่ลูกค้าต้องใช้เป็นหลักฐานในการทำธุรกรรมกับทางธนาคาร เป็นต้น การมองหาผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ OCR ที่รองรับเอกสารที่ธุรกิจต้องการใช้งานจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้ให้บริการซอฟต์แวร์มีโมเดล AI ที่พร้อมใช้งานสำหรับเอกสารประเภทนั้นๆ อยู่แล้ว ทำให้ขั้นตอนการทำงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องมาเทรนโมเดล AI เพื่อใช้ในการอ่านเอกสารประเภทนั้นๆ ใหม่
โดยบริการ aiScript OCR จาก AIGEN นั้นรองรับประเภทเอกสารมากกว่า 11 ประเภท ทั้งเอกสารที่มีเทมเพลตที่แน่นอน เช่น บัตรประชาชน ใบขับขี่ สมุดบัญชีธนาคาร และเอกสารที่ไม่ได้มีเทมเพลตที่แน่นอน เช่น ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน หรือเอกสารเฉพาะของแต่ละธุรกิจ เรามีทีมงานที่พร้อมให้บริการสามารถ Customize ปรับแต่ง และเทรนโมเดล AI เพื่อให้ลูกค้าใช้งานได้อย่างรวดเร็ว
2. จัดประเภทของข้อความได้แบบอัตโนมัติ
อีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญของซอฟต์แวร์ OCR ที่มี AI เป็นตัวขับเคลื่อน หรือที่เรียกว่า AI-Powered OCR นั้นคือสามารถจัดประเภทของข้อความที่ดึงออกมาจากเอกสารได้แบบอัตโนมัติว่าข้อความนี้เป็นชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ วันที่ หรือจำนวนเงิน เป็นต้น โดยที่ไม่ต้องทำเทมเพลตไว้ล่วงหน้า ช่วยให้ธุรกิจประหยัดเวลาในการทำงานได้เป็นอย่างมาก และทำให้การกรอกข้อมูลลงไปในระบบต่างๆ ทำได้แบบอัตโนมัติมากขึ้น
โดยที่พนักงานมีหน้าที่ในการตรวจสอบตวามถูกต้องของข้อมูลที่ซอฟต์แวร์ OCR ดึงออกมาในขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น ซึ่งถ้าหากเป็นซอฟต์แวร์ OCR รูปแบบเดิม หรือ Traditional OCR นั้นจะไม่สามารถจัดประเภทของข้อความได้แบบอัตโนมัติโดยที่ OCR รูปแบบเดิมจะดึงข้อมูลในเอกสารออกมาทั้งหมดทีเดียว ซึ่งทำให้ยังต้องให้พนักงานมาเป็นคนจัดประเภทของข้อมูลอีกทีทำให้เปลืองเวลา และทรัพยากรที่ต้องใช้ในการกรอกข้อมูลเข้าไปในระบบ รวมทั้งทำให้ขั้นตอนการทำงานยังไม่สามารถเป็นแบบอัตโนมัติได้ทั้งหมดเหมือนกับ AI-Powered OCR
3. อัปเดตโมเดล AI อยู่เสมอ
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่สำคัญที่ธุรกิจควรพิจารณาเมื่อเลือกใช้ซอฟต์แวร์ OCR คือโมเดล AI มีการอัปเดตอยู่เสมอหรือไม่ ซึ่งหากเป็น AI-Powered OCR หรือซอฟต์แวร์ OCR รูปแบบใหม่นั้นมั่นใจได้เลยว่าโมเดล AI มีการอัปเดตให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา เพื่อทำให้การดึง และประมวลผลข้อมูลจากเอกสารประเภทต่างๆ ทำให้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น
เนื่องจากยิ่งโมเดล AI ประมวลผลเอกสารมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของโมเดล AI ดีมากยิ่งขึ้น และอีกหนึ่งเหตุผลคือเมื่อธุรกิจมีเอกสารประเภทใหม่ๆ หรือเอกสารเฉพาะที่ต้องการใช้ซอฟต์แวร์ OCR ในการดึง และประมวลผลข้อมูลสามารถใช้เวลาในการปรับแต่งโมเดล AI เพียงไม่กี่วันก็สามารถใช้งานได้เลย แต่หากเป็นซอฟต์แวร์ OCR รูปแบบเดิมนั้นแน่นอนว่าจะไม่มีฟีเจอร์นี้รองรับ
เนื่องจากหากเปลี่ยนประเภทของเอกสาร หรือเทมเพลตของเอกสารเปลี่ยนแปลงไปต้องทำเทมเพลตของเอกสารขึ้นมาใหม่เท่านั้น จึงจะสามารถดึงข้อมูลที่ต้องการออกมาได้ อาจจะไม่ตอบโจทย์กับธุรกิจที่มีเอกสารที่ต้องใช้งานหลากหลายประเภท และต้องการความรวดเร็ว หรือความยืดหยุ่นในการทำงาน
4. กำหนดขั้นตอนการดึงข้อมูลได้แบบอัตโนมัติ หรือ Workflow automation
การนำซอฟต์แวร์ OCR เข้ามาใช้งานกับธุรกิจนั้นเพื่อลดภาระการทำงานแบบแมนนวล หรือการที่ต้องใช้คนในการกรอกข้อมูลจากเอกสารเข้าไปในระบบ และเพื่อยกระดับขั้นตอนการทำงานให้เป็นอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นการมองหาผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ OCR ที่มีฟีเจอร์ Workflow automation จะตอบโจทย์ธุรกิจในเรื่องนี้ และทำให้การกรอกข้อมูลเข้าไปในระบบทำได้แบบอัตโนมัติได้มากยิ่งขึ้น โดยแต่ละธุรกิจสามารถกำหนดขั้นตอนการทำงานได้ด้วยตัวเอง
ตัวอย่างเช่น เมื่อมีไฟล์ใบแจ้งหนี้ถูกส่งเข้ามาในอีเมล ซอฟต์แวร์ OCR จะดึงไฟล์ใบแจ้งหนี้จากในอีเมล และดึงข้อมูลในฟิลด์ข้อมูลที่ธุรกิจต้องการจากในไฟล์ใบแจ้งหนี้ และนำไปใส่ใน Spreadsheet หรือระบบของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นระบบ SAP, ERP และอื่นๆ ได้แบบอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ขั้นตอนการทำงานนั้นสะดวก รวดเร็ว และลดข้อผิดพลาด เปลี่ยนหน้าที่ของพนักงานที่แต่เดิมต้องเป็นคนกรอกข้อมูลมาเป็นคนตรวจสอบข้อมูลในขั้นตอนสุดท้าย ทำให้พนักงานมีเวลาที่จะโฟกัสกับงานที่ต้องใช้การคิดวิเคราะห์ และความคิดสร้างสรรค์ได้มากยิ่งขึ้น
โดย aiScript OCR ได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดที่มีชื่อว่า “aiFlow” ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างและออกแบบ Workflow การทำ OCR ได้ด้วยตัวเองได้ง่ายๆ เพียง 6 ขั้นตอน โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาในการเขียนโค้ดขึ้นมาใหม่ สามารถเลือกใช้งานได้ทั้งผ่านหน้า Web portal ของทาง AI GEN และใช้งานผ่านบริการ API ได้เช่นกัน อีกทั้งหากธุรกิจต้องการ Customize workflow ทาง AIGEN เองมีให้บริการในส่วนนี้ให้เช่นกัน
5. เชื่อมต่อเข้ากับระบบของธุรกิจได้อย่างสะดวก
ในปัจจุบันธุรกิจไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนที่สูงเพื่อที่จะใช้ซอฟต์แวร์ OCR อีกต่อไป เนื่องจากในปัจจุบันได้มีรูปแบบการให้บริการซอฟต์แวร์ OCR ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งแบบ On-premise และ On-cloud ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ และความต้องการของธุรกิจ
ซึ่งหากธุรกิจของคุณต้องการใช้งานซอฟต์แวร์ OCR แบบที่ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายสูง AI GEN แนะนำให้มองหาผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ OCR แบบ On-cloud ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกซื้อเป็นแพ็คเกจเหมารายเดือน หรือรายปี หรือจะจ่ายเป็นตาม transaction ที่ใช้ได้เช่นกัน
โดยบริการ OCR ของ AI GEN เองนั้นเรามีให้บริการในรูปแบบนี้เช่นกัน อีกทั้งการมองหาผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ OCR ที่มีบริการเชื่อมต่อเข้ากับระบบธุรกิจได้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะเป็น บริการเชื่อมต่อผ่านทาง API หรือสามารถใช้บริการได้ผ่านทาง Web portal เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ธุรกิจควรนำมาพิจารณา เพื่อให้ขั้นตอนการทำงานของธุรกิจเป็นไปอย่างสะดวก และสร้างผลตอบแทนให้ธุรกิจได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด
Think AI Think AIGEN
ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับการนำ aiScript โซลูชัน AI-Powered OCR ไปใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำ Data-entry ให้กับธุรกิจ
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ AIGEN ได้ที่
· Facebook : AI GEN : ไอเจ็น
· Line : @aigen
โฆษณา