27 ธ.ค. 2024 เวลา 23:41 • การศึกษา

ผู้ถาม : ขอถามเกี่ยวกับการถ่ายเทอารมณ์ค่ะ

ขอพระอาจารย์สอนวิธีการถ่ายเทอารมณ์ยังไงที่ไม่ทำให้เกิดสมุทัยที่จะนำไปเกิดภพชาติหน่อยค่ะ ขอพระอาจารย์ยกตัวอย่างสักหนึ่งตัวอย่างได้ไหม
พระอาจารย์ต้น : การถ่ายเทอารมณ์น่ะมันมีการถ่ายเทกันโดยปกติอยู่แล้วระหว่างจิตกับอารมณ์ เรารับรู้รับทราบระหว่างจิตกับอารมณ์ที่รับรู้รับทราบต่อกัน มันจะมีการถ่ายเทออกมาอยู่แล้วโดยปกติ เราจะไม่อยากให้ถ่ายเทมันก็จะถ่ายเท หรือต้องการจะให้ถ่ายเทมันก็มีการถ่ายเทอยู่แล้ว
การที่พระอาจารย์พูดอย่างงี้ก็เพื่อให้เราได้เข้าใจว่า มันไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งยึดเกาะกันไปได้โดยตลอดไป จิตกับอารมณ์แม้จะกระทบต่อกันและรับรู้รับทราบต่อกัน สุดท้ายก็ต้องถ่ายเทออกจากตัวมันเอง มันเป็นกลไกหรือว่าระบบธรรมชาติอันหนึ่ง ที่มันต้องเป็นอย่างนี้ มันเป็นความจริง
เราก็แค่เข้าใจว่า อ๋อจิตเรากำลังถ่ายเทอารมณ์ อารมณ์กำลังถูกถ่ายเทออกมาจากจิต จิตกำลังถ่ายเทอารมณ์อยู่ อารมณ์กำลังถูกถ่ายเทออกมาในขณะนี้ ในจิตเรา แค่เราเข้าใจแบบนี้ว่ามันคือกำลังถ่ายเทอารมณ์นั่นน่ะ มันก็ไม่ใช่สมุทัยแล้ว แม้เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องของสมุทัยก็ตาม แต่ปัจจุบันนี้ไม่ใช่สมุทัย คือการกำหนดรู้ไม่ได้กำหนดรู้ด้วยสมุทัย แต่เรื่องราวนั้นน่ะ คือตัวสมุทัย สมุทัยก็ต้องเป็นสิ่งที่ต้องถูกรู้ อันนี้คือความจริง ทุกข์ต้องกำหนดรู้ สมุทัยก็ต้องรู้เหมือนกัน รู้ว่าคือสมุทัย
องค์ของสัมมาทิฏฐิจะทำหน้าที่เห็นทุกข์ คืออารมณ์เป็นทุกข์ เรื่องราวของอารมณ์อันเป็นสมุทัย คือประกอบไปด้วยกิเลสอันนั้นก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ก็คือสมุทัย ก็เป็นสิ่งที่ต้องถูกเห็น พอมันเกิด เกิดแล้วมันก็ดับไป ปรากฏขึ้นมาแล้วก็หายไป อันนี้ก็เป็นนิโรธ เป็นความจริงที่กำหนดไว้ ชี้ชัดว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ต้องดับ นี่คือสัจจะ การกำหนดรู้อยู่อย่างงั้นคือมรรค
เมื่อเราเจริญมรรคอยู่เนี่ย เรื่องราวที่ปรากฏให้ผ่านการรับรู้อยู่ มันจะไม่นำไปสู่ภพชาติ เพราะมันถูกรู้ มันก็จะเกิดและดับอยู่ตรงนั้น อยู่ตรงนั้นก็คือดับแล้วดับเลย ดับโดยถาวร แล้วดับโดยที่ไม่เหลือตัวของมันเอง นอกเสียจากว่าเราจะไปหลงผิด และเข้าใจว่ามันมีอยู่ในตัวเรา อันเนี้ยต่างหากที่เราต้องแก้ แก้ไขทิฐิหรือความเห็นของเราเอง อันนั้นน่ะ การเจริญมรรคก็เราก็สามารถเจริญได้อย่างนี้
โฆษณา