28 ธ.ค. 2024 เวลา 07:15 • ความคิดเห็น

คืนหนึ่งในวันที่ 24 ธันวาคม ปีค.ศ. 1914 ของสงครามโลกครั้งที่ 1

--------------------
โลกเวลานั้นกำลังอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 คืนนั้นเป็นคืนที่ยุโรปหนาวเย็นมาก
อากาศที่หนาวเย็นจนปวดเข้าไปถึงกระดูกทำให้ สมรภูมิรบทางด้านตะวันตกในเบลเยียม ที่เคยเต็มไปด้วยโคลน หิมะ เสียงปืนใหญ่ และเสียงระเบิดที่ดังกึกก้องมาตลอดหลายเดือนเริ่มเงียบลง
จู่ๆ ทหารอังกฤษที่นั่งอยู่ในหลุมบังเกอร์อย่างเงียบเหงาท่ามกลางความมืดมิด ก็ได้ยินเสียงแหบๆ ทุ้มๆ ของผู้ชายร้องเพลง "Silent Night" (Stille Nacht) ลอยละล่องผ่านม่านหมอกและควันปืนมาจากแนวรบของทหารฝั่งเยอรมัน
"Stille Nacht, heilige Nacht, Alles schläft; einsam wacht..."
ในเวลาไม่กี่วินาทีต่อมา ก็มีเสียงของทหารอังกฤษร้องคลอตามไปด้วยเป็นภาษาอังกฤษ "Silent night, holy night, all is calm, all is bright..." เสียงประสานจากทั้งสองฝ่ายค่อยๆ ดังขึ้นในความมืด
หลายชั่วโมงต่อมา เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นในเช้าวันคริสต์มาส ทหารเยอรมันคนหนึ่งรวบรวมความกล้าแล้วโผล่ศรีษะขึ้นมาจากหลุมบังเกอร์ ชูมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าไม่มีอาวุธ และตะโกนเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงเยอรมันว่า "Merry Christmas, English! We not shoot, you not shoot!"
ภาพที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาคือ ทหารจากทั้งสองฝ่ายค่อยๆ ปีนออกจากหลุมบังเกอร์ของตน จากนั้นก็ต่างก็ค่อยๆ เดินเข้าไปหากันในพื้นที่ "no man's land" ซึ่งปกติเป็นเขตมรณะที่ไม่มีใครกล้าเดินเข้าไปเพราะจะโดนยิงตาย
ชายหนุ่มเหล่านั้นจับมือทักทายกัน ถามชื่อของอีกฝ่าย แลกเปลี่ยนของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่ญาติส่งมาให้ ทหารเยอรมันคนหนึ่งหยิบเค้กช็อกโกแลตที่ได้รับจากบ้านมาแบ่งให้ทหารอังกฤษกิน ทหารอังกฤษอีกคนเอาเนื้อกระป๋องและบุหรี่ของอังกฤษมาแชร์ให้ทหารเยอรมัน
ทหารหนุ่มเยอรมันคนหนึ่งที่เคยเป็นช่างตัดผมในเบอร์ลินก่อนถูกเกณฑ์มาเป็นทหารหยิบกรรไกรออกมาและเริ่มตัดผม เล็มหนวดให้ทหารอังกฤษ
หลายคนนำรูปครอบครัวมาแบ่งกันดูและเล่าถึงถึงบ้านเกิด ภรรยา และลูกๆ ที่รออยู่ที่บ้าน เช้าวันนั้น ชายหนุ่มเหล่านั้นสัมผัสได้ว่า ศัตรูที่พวกเขากลัวและฆ่าฟันกันมาหลายเดือน จริงๆ แล้วก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ถูกบังคับให้มาอยู่ในสงครามเช่นเดียวไม่ต่างจากตัวเขา
แต่สิ่งที่น่าจะเป็นที่จดจำมากที่สุดของเหตุการณ์ในวันนั้นเกิดขึ้นเมื่อมีทหารคนหนึ่งนำลูกฟุตบอลออกมา แล้วถอดหมวกเล็กออกมาทำเป็นโกล์รูหนู จากนั้นก็เริ่มแบ่งทีมเตะบอลกันอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะและเสียงเชียร์ดังกึกก้องไปทั่วสนามรบ
แต่เหตุการณ์ในวันนั้นก็เหมือนเป็นความฝันสั้นๆ ในวันคริสต์มาสในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
ไม่กี่วันต่อมา เสียงปืนก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทหารที่เคยแบ่งเค้กช็อกโกแลต จับมือ และยิ้มหัวเราะด้วยกัน ก็กลับมาเป็นศตรู บางคนอาจจะเสียชีวิตด้วยกระสุนของคนที่เคยนั่งเล่าเรื่องลูกและภรรยาที่บ้านด้วยกันมาก่อน
มีจดหมายฉบับหนึ่งที่ทหารอังกฤษเขียนถึงครอบครัว เขียนเล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า "แม่ครับ ผมไม่เคยคิดว่าจะได้จับมือกับคนที่เมื่อวานยังพยายามยิงผม แต่วันนี้ ผมได้เห็นแล้วว่าพวกเขาก็มีหัวใจ มีความฝัน และมีครอบครัวที่รักเช่นเดียวกับพวกเรา บางทีถ้าผู้นำของเรา ถ้าได้มาอยู่ในแนวหน้าและได้เห็นสิ่งที่พวกเราเห็นในวันนี้ สงครามคงจบลงแล้ว"
เหตุการณ์การหยุดยิงในวันคริสต์มาส หรือ Christmas Truce แบบนี้ไม่เคยเกิดซ้ำขึ้นอีกในประวัติศาสตร์สงคราม แต่ความทรงจำและเรื่องเล่าของคนที่อยู่ในเหตุการณ์แม้ว่าจะผ่านมาแเป็นร้อยปี ก็ยังเป็นสิ่งที่เหมือนเป็นความหวังว่า
แม้ในยามมืดมนที่สุด แม้ในความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุด มนุษย์ก็ยังสามารถเข้าใจความทุกข์ ความฝันและมองเห็นความเป็นมนุษย์ในกันและกันได้
ขอบคุณผู้นำเรื่องดีๆมาเล่าสู่กันฟังครับ
ปล. อยากให้ผู้ที่คิดก่อสงครามได้อ่านจัง..
โฆษณา